เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Journalseenam13
Road to งานหนังสือ
  • รู้สึกว่ามีอะไรให้เขียนเยอะมาก แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี รู้สึกแปลก ๆ และไม่ค่อยชอบตัวเองในตอนนี้ หมดความมั่นใจ เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงก่อนหน้านี้ เรื่องที่เคยคิดว่าทำได้ดีก็...อะไรไม่รู้ละ ทำผิดพลาดตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ไปจนเรื่องใหญ่ และสะสมเอาความไม่ได้ดั่งใจ ความผิดหวังเล็ก ๆ ในแต่ละวันเอาไว้มากพอที่มันจะเริ่มกระทบกับจิตใจแล้ว

    นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาเลย "มีผมร่วงบนหมอนมากขึ้น ขนมปังของโปรดหายไปจากร้านสะดวกซื้อ การทับถมของความสิ้นหวังเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นต่างหากที่ทำให้คนกลายเป็นผู้ใหญ่" นานามิ เคนโตะ (jujutsu kaisen) 

    ตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหว ทุกอย่างก็ไหวสั่นไปหมด ภาพที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันเกินจริงที่ีสุดในชีวิต เวลานั้นเราไม่รู้หรอกว่าจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์นั้นได้หรือไม่ได้ ขณะที่กำลังเข้าสู่โหมดการทำงานแบบจริง ๆ จัง ๆ เพราะวันนั้นต้องเคลียร์งานเยอะมาก ตอนเย็นก็ต้องไปรวมตัวประชุม เลยใส่หูฟังและรวมสมาธิทำงานแบบปิดการรับรู้สิ่งรอบข้าง แต่โชคยังดีที่ใครสักคนตะโกนว่า ลงมา ก็เริ่มเห็นภาพตรงหน้าโยกไปมา สมองไม่ทันประมวลด้วยซ้ำตึกเราจะถล่มหรือแผ่นดินไหว ก็วิ่งออกไปก่อน แต่พอลงบันไดมาภาพตรงหน้าพาใจสั่นกว่าเดิม เพราะเห็นรอยแตกตรงกำแพงหน้าประตูที่วิ่งจากขวาไปซ้าย ใครเห็นแบบนี้ก็คงคิดว่าอาจเหลือเวลาไม่มากแล้ว 1 วินาทีข้างหน้าอาจไม่มีอยู่จริงก็ได้ ก็สาวเท้าไวที่สุดในชีวิต และเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองยังรักตัวกลัวตายอยู่

    แต่นี่ก็ไม่ใช่แผ่นดินไหวครั้งแรก ครั้งแรกเจอตอนไปไต้หวันเช้าวันสุดท้ายในโรงแรม ครั้งนั้นก็น่ากลัวไม่แพ้กัน แต่ทุกอย่างดูมีอะไรรองรับ มีการแจ้งเตือน ตึกก็โยกอย่างเป็นธรรมชาติ (อธิบายไม่ถูกวุ้ย มันไม่เหมือนกัน) แต่พอแผ่นดินไหวจบลงชีวิตของเราค่อย ๆ เปลี่ยนไป ทั้งการทำงานที่บ้าน และพี่กับครอบครัวก็กลับมาอยู่บ้านพร้อมแมวแปลกหน้าอีก 2 ตัว ข้าวของมากมายขนย้ายเข้ามา เจ้าแมวคงรู้สึกแปลกที่ไม่ต่างจากเรา ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่เรารับมือได้ดีมาแต่ไหนแต่ไร

    เราตัดสินใจใช้วันลาเพื่อจะปรับเพซตัวเองให้กลับมาปกติ ก็ไปทำบัตรประชาชนที่กำลังจะหมดอายุในวันเกิดที่กำลังจะมาถึง ทว่าสถานที่ที่จองไว้ดันเต็มต้องรออีก 2-3 ชม. ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ารอไม่ได้ ก็เลยเรียกรถไปเขต ระหว่างนั้นก็มีประชุมเข้ามาจะไม่เข้าก็ได้แต่ไม่อยากพลาดนี่ ถ่ายรูปเสร็จก็เสียบหูฟังฟังไประหว่างรอบัตร และพอทำเสร็จก็ถึงเวลาประชุมอีกตัวที่เราขอเลื่อนมาวันนี้เองเพราะวันก่อนชู้ตติ้งทั้งวัน ก็ข้ามถนนและเข้าร้านกาแฟ และวันนั้นทั้งวันก็ได้รับสายและต้องแก้งานมากเสียยิ่งกว่าวันที่ไม่ได้ลาอีก แต่ที่น่าหงุดหงิดไม่ใช่สายพวกนั้นแต่เป็นความรู้สึกที่ว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลและเข้าใจได้ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรที่จะให้เรารู้สึกว่ากล่าวโทษได้หรือสามารถปฏิเสธสายได้เลย 

    วันนั้นแทบจะเป็นวันที่แย่ที่สุดอีกวัน เพราะโดนยกเลิกนัดที่จะไปงานหนังสืออีก แต่ไม่เป็นไรเราไปคนเดียวได้อยู่แล้ว ดีซะอีกจะได้เดินได้แบบไม่เกรงใจใคร แต่กว่าจะไปถึงศูนย์สิริกิติ์ได้ ก็ก้าว 3 ถอย 2 กางคอมอยู่หลายทีกว่าจะไปถึง ไม่มีแพลนอะไรมากนักนอกจากเดินดูเรื่อย ๆ แต่นึกขึ้นได้ว่านักเขียนที่เราตามอยู่มาเปิดบูทนี่นา ลองส่องทวิตดูดีกว่า โชคดีมาก เค้าโพสต์ว่าอยู่ที่บูทอาทิตย์ละเล่มเมื่อ 20 นาทีที่แล้ว ก็เดินไปดู อยู่จริง ๆ ด้วย ทำไงดีๆ แค่อยากเห็นหรือจะซื้อหนังสือให้เซ็นด้วยดี แต่เล่มที่วางขายเราก็มีเกือบหมดแล้ว 

    ก็วนๆ เวียนๆ จนพนักงานถาม ก็บอกไปว่า มีเล่ม "นักอ่านคนสุดท้าย" มั้ย เค้าบอกเพิ่งหมดไป เหลือเล่มสุดท้ายที่เป็นไปได้แล้วคือ "อันกามการุณย์" ยังไม่อยากอ่านตอนนี้เลยมันหนักแน่ ๆ แต่เอาวะ ก็เอาเล่มนี้ยื่นให้คุณลาดิิดเซ็น "ชื่ออะไรคะ" "XXX ค่ะ" "เคยให้เซ็นมาก่อนมั้ยคะ เหมือนจะจำชื่อได้" "ไม่เคยค่ะ" (ในใจตอนนั้นคิดว่าเค้าถามว่าเคยเจอกันมั้ย ไม่เคยสิ) "แต่ชื่อคุ้นมากเลยนะคะ" "อ่อเคยค่ะ เคยตอนโปสการ์ดปีใหม่" (ตอนนั้นเริิ่มพูดไม่เป็นภาษาแล้ว พูดไม่รู้เรื่องเลย) "เลือกภาพถ่ายได้ 1 ภาพนะคะ เป็นภาพที่เราถ่ายตอนไปอยู่ฟลอเรนซ์" ก็เลือกอยู่นานและก็เปลี่ยนอยู่หลายรอบ "เราชอบนะคะที่ตั้งใจเลือก เพราะเราตั้งใจถ่ายมาก" และตัวเราก็จากไปเงียบ ๆ ไม่ได้ถ่ายรูปหรือคุยอะไรอีก แต่ได้เห็นสายตาแบบนั้น เรามีความสุขมากจริง ๆ

    (ได้เวลาแฟลชแบ็ก POV แบบในหนังแล้ว)
    ตอนเห็นคุณลาดิดนั่งในบูทครั้งแรก โอ้ เหมือนในภาพที่เคยเห็นในทวิตเป๊ะ แต่ดูดีกว่า จริง ๆ เราเป็นนักอ่านของคุณมาตั้งแต่เล่มแรก เบลล่าโบ (Beau) 4-5 ปีที่แล้วเห็นจะได้ (ยังมีรีวิวในนี้อยู่เลย) ตั้งแต่คุณยังพิมพ์หนังสือและเปิดขายและส่งของเอง (เหตุผลที่คุณจำชื่อได้ ไม่แปลกเลย) ตั้งแต่คุณยังไม่ลาออกจากการเป็นนักศึกษาแพทย์มาทำงานเขียนเต็มตัว ตั้งแต่สำนักพิมพ์ Ladys and Moonscape ยังไม่ถือกำเนิด ไม่สิ ตั้งแต่ Ladys กับ Moonscape ยังไม่รู้จักกันเสียด้วยซ้ำ กระทั่งนักเขียนที่เราชอบทั้งสองคนทักคุยกันในทวิตเตอร์เป็นครั้งแรกและทำสนพ.ด้วยกัน ดีใจแทบบ้า 

    น้องสาวกับแม่รู้จักชื่อคุณเพราะเราเอาหนังสือให้อ่านและพูดถึงบ่อย ๆ พอคุณให้เลือกรูปที่ถ่ายที่ฟลอเรนซ์ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าคุณเขียนอันกามการุณย์ที่นั่น และเราเคยโควตทวิตร่วมสนุกและได้รางวัลเป็นโบฉบับแปลอิ้งด้วย โปสการ์ดปีใหม่ก็เคยได้ และเรายังทวีตคุยกันครั้งสองครั้ง แต่เราก็พลาดที่จะได้ไปพบคุณนักเขียนในช่วงงานหนังสือ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน ในมุมของคุณนักเขียนเราก็เป็นเพียงนักอ่าน 1 คน แต่ในมุมของนักอ่านคุณเป็นนักเขียนที่เราติดตามมาตลอดตั้งแต่เล่มแรก กระทั่งวันนี้ที่หนังสือของคุณได้เข้าชิงซีไรต์ โฮ มันเป็นการเดินทางที่เราเห็นมาตลอด ดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอ แม้จริง ๆ จะไม่ชอบแสดงตัว แต่อยากให้รู้ว่ามีนักอ่านของคุณอยู่จริง ๆ 

    เราชอบงานหนังสือเพราะแบบนี้เลย ตั้งแต่เด็กเราเป็นเพียงนักอ่านตัวน้อย ที่ได้รับนิสัยการอ่านมาจากพ่อ ตอนเป็นเด็กประถมทุกเย็นวันศุกร์ พ่อจะพาไปเลือกหนังสือนิทานคนละเล่ม 2 เล่มที่ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ (แก่ชะมัด) พ่อชอบเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน แต่เล่าเรื่องเดิมทุกคืน เช่น หนูน้อยหมวกแดงแต่ละคืนไม่เคยซ้ำกันเลย พ่อเปลี่ยนรายละเอียดไปเรื่อย ๆ เราชอบอ่านชนิดที่ว่าเคยได้รางวัลอ่านมากที่สุดในโรงเรียนแบบงงๆ เพราะอ่านหนังสือนิทานตอนกลางวันทุกวันแล้วลงชื่อไว้ และทุกปิดเทอมแม่จะพาไปงานหนังสือ มีงานหนังสือครั้งหนึ่ง เราน่าจะอยู่สัก ป.6 ไม่ก็ ม​.1 ตั้งใจจะไปซื้อแฮร์รี่เหมือนเคย แต่พ่อฝากให้เรากับแม่ไปซื้อหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า "โรงรับจำนำหมายเลข 8" และบอกว่าให้นักเขียนเซ็นมาด้วย แต่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังสือเกี่ยวกับอะไรและนักเขียนเป็นใคร แต่จำได้รางๆ เราไปต่อคิวกันอยู่นานเพราะคิวยาวมาก นักเขียนเป็นผู้หญิงชาวไต้หวัน เธอยิ้มอย่างใจดีและถามว่าให้เซ็นให้ใคร (ชื่ออะไร) ก็ให้เราเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษให้ เค้าก็เซ็นมา Dear (XXXชื่อพ่อ) และอีกสองสามประโยค

    ปัจจุบัน หนังสือเล่มนั้นได้ย้ายมาอยู่ในชั้นหนังสือของเรา อ่านครั้งแรกตอนม.ต้น และอ่านอีกหลายครั้งมาก ๆ มันเกี่ยวกับการขายวิญญาณเพื่อแลกกับสิ่งที่อยากได้ เป็นอีกเล่มที่ดีที่สุดในชีวิต  พอมองย้อนกลับไป บรรยากาศความทรงจำแบบนั้นอะไรก็แทนไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นเป็นวันที่ดีที่สุดไม่ได้แย่ที่สุดอีกต่อไป
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in