เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
MUSIC MAKES THE PEOPLE COME TOGETHERiikimjaebin
Madonna: Rebel Heart World Tour In Bangkok
  •           Madonna ชื่อนี้คงคุ้นหูของทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นคอเพลงสากล เพลงไทย หรือเพลงชาติไหนๆ อย่างน้อยๆก็ต้องเคยได้ยินชื่อ Madonna และเคยฟังเพลงของเธออย่างน้อยๆ 2-3 เพลงแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแฟนขาจร แฟนเดนตาย หรือแฟนศิลปินคนไหนๆ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า Madonna คือศิลปินสุดยิ่งใหญ่คนนึงของโลก มีชีวิตในวงการเพลงมากว่า 30 ปี สร้างผลงานระดับสุดยอดไว้มากมาย และตัวเธอเองก็สร้างแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครหลายทั้งคนในวงการเพลง ทั้งแฟนเพลงทั่วโลกร่วมถึงตัวเราเองด้วย 

              ช่วงนี้หลายๆคนคงจะได้ยินชื่อ Madonna ถี่ขึ้นมากกว่าเดิม ไม่ว่าทั้งทีวี วิทยุ หรือโซเชียลมีเดียทั้งหลาย นั่นก็เพราะว่าเธอกำลังจะมีการแสดงคอนเสิร์ต Rebel Heart World Tour  ในประเทศไทย! ซึ่งเป็นการแสดงในประเทศไทยครั้งแรกของเธอ  ในระหว่างวันที่ 9 ถึง 10 กุมภาพันธ์ 2559 และจบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการแสดงทั้ง 2 วัน ซึ่งเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย จึงจะขอมาบอกเล่าประสบการณ์ความประทับที่มีต่อคอนเสิร์ตครั้งนี้ให้ทุกคนอ่านกัน...



              ขอเริ่มที่ประเด็นดราม่าของค่ำคืนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ก็แล้วกันกับเรื่อง Fashionably Lated ของมาดอนน่าที่เลทไปกว่า 2 ชม. ทำเอาคนดูในอารีน่าบางคนด่ากันขรมเลยทีเดียว ส่วนตัวเราเองก็ติดตามข่าวของเธอมาตลอด เลยพอจะรู้มาบ้างว่าเธอเริ่มคอนเสิร์ตเลทเป็นประจำทุกเมือง ทุกประเทศ แล้วคิดเหรอว่าไทยแลนด์จะรอดพ้น ซึ่งในระหว่างรอองค์แม่ Madonna เสด็จนั้น ดีเจจากนิวยอร์คก็มาเปิดเพลงวอร์มอัพให้เล่าแฟนๆตื่นตัวก่อนจะเริ่มงานกันจริงๆ ซึ่งดนตรีก็โอเคเราเห็นบางคนก็เต้นโยกตามกันไป ส่วนหนึ่งก็ยังไม่เข้ามาในอารีน่า



              เวลา 4 ทุ่มตรงไฟในอารีน่าก็ดับลงพร้อมกับบรรเลงดนตรีดังกระห่ำไปทั่วทั้งฮอล วิดีโอเปิดการแสดงถูกฉายขึ้นบนจอแอลซีดี ผู้คนส่งเสียงร้องยินดี แดนซ์เซอร์ในชุดซามูไรเต็มยศโผล่ขึ้นมาบนเวที พร้อมวาดลวดลายลีลา Madonna โผล่มาในกรงขังซึ่งลอยจากด้านบนเวทีลงมาสู่ด้านล่าง เพลงแรก Iconic เริ่มต้นขึ้นเป็นการเปิดองค์แรกของการแสดงซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของการขบถของตัวตนของ Madonna ต่อโลก ศาสนา ผู้คน ความรัก Madonna แสดงความขบถโดยการพยายามจะแหกกรงขังออกอันมีนัยบอกว่าเธอกำลังฉีกกฎเกณฑ์ต่างๆอยู่นะ หลังจากออกมาเธอก็ต้องสู้กับเล่าซามูไรซึ่งเปรียบเสมือนศัตรูต่างๆที่คอยขัดขวางเธอจ้องจะทำร้ายเธอ 



              หลังจบเพลงแรกและได้รับชัยชนะจากเล่าศัตรูของเธอ เธอก็ประกาศให้โลกรู้ว่าเธอเป็นใครในเพลง Bitch I'm Madonna Madonna พร้อมแดนซ์เซอร์สาวในชุดเกอิชา ออกมาร่ายรำ จากนั้นต่อด้วยเพลง Burnin' up ในเวอร์ชั่นที่เอามามิกซ์ใหม่เป็นดนตรีร็อค Madonna ถอดเสื้อคลุมนอกออก เผยให้เป็นชุดสีดำสุดเท่ พร้อมจับกีต้าร์ไฟฟ้ามาบรรเลงระหว่างเพลง ทำให้รู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้มากความสามารถจริงๆ ต่อไปเป็นเพลง Holy Water แดนซ์เซอร์สาวในชุดแม่ชี แต่เป็นชุดแม่ชีที่ปิดแค่นมและอวัยวะเพศเท่านั้น ออกมาโหน รูดเสารูปไม้กางเขน ในช่วงท่อนสุดท้ายของเพลง Madonna ได้นำท่อนหนึ่งจากเพลงอันโด่งดังของเธอ Vogue มาแซมเพิ้ลเข้าไปด้วย พร้อมกับที่เธอขึ้นไปโหนเสาอยู่นาน



              Madonna ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาแสวงหาทางออกในเพลง Devil Pray โดยมีแดนซ์เซอร์ชายแต่งกายเป็นบาทหลวงนั่งรอเธออยู่กลางเวที ระหว่างร้องเพลงเธอก็แสดงท่าทีว่ากำลังสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า ช่วงสุดท้ายของเพลงมีการจัดฉากให้คล้ายกับภาพพระกระยาหารมื้อสุดท้าย ซึ่งเธอก็เข้าไปนัวเนียกับเหล่าแดนซ์เซอร์ที่แต่งตัวเลียนแบบพระอัครสาวก กลิ้งไปมาบนโต๊ะอาหาร ก่อนจบเพลงเธอก็เอาเชือกมามัดมือตัวเองนอนนิ่งบนโต๊ะอาหาร เป็นอันจบองค์แรกของโชว์ ระหว่างรอมาดอนน่าเปลี่ยนชุดก็มีแดนซ์เซอร์ชายออกมาร่ายรำกับผ้าที่พลิ้วไหวในเพลง Messiah หลังจากหลุดพ้นแล้วก็ต้องพบเจอกับความรัก 

              เปิดองค์ที่สองด้วยเพลง Body Shop Madonna กับลุคสวยๆน่ารักยุค 80's พร้อมฉากหลังเป็นทะเลทราย กำลังร้องบอกว่าตัวเธอเหมือนเครื่องยนต์ ให้มาลองเครื่องกับเธอสิ True Blue เพลงที่พูดถึงช่วงเวลาที่ความรักกำลังเบ่งบานสุดๆ เธอร้องเพลงนี้พร้อมกับเล่นอูคูเลเล่ มีความรักก็ต้องลุ่มหลงในความรักกับเพลง Deeper and deeper เพลงยุค 90's ที่แฟนคลับวัยดึก เต้นตาม ร้องตาม ได้อย่างครึกครื่น มีรัก มีลุ่มหลง ก็ต้องมีอกหักในเพลง Heartbreak City พอถึงตรงนี้ก็มีบันไดเวียนลอยมาตั้งอยู่กลางเวที Madonna ร้องเพลงนี้พร้อมกับที่เดินขึ้นสู่บันไดขันบนสุด มีนัยว่าพวกผู้ชายต่างใช้เธอเสมือนบันไดในการก้าวขึ้นไปจุดสูงสุด เธอขบถโดยการผลักแดนเซอร์ชายที่เต้นอยู่บนบันไดกับเธอหล่นลงมาจากจุดสูงสุด และจากนั้นเธอก็ประกาศให้โลกรู้ถึงเรื่องราวความรักของเธอในเพลง Like a virgin ซึ่งเธอร้องเพลงนี้โดยยืนอยู่บนเวทีคนเดียว ไม่มีแดนเซอร์ ไม่มีฉาก ซึ่งแน่นอนว่าเธอเอาอยู่! เธอควบคุมทั้งฮอลได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่มีใครทำได้นอกจากเธอคนเดียวแน่นอน ก่อนจะปิดฉากด้วย S.E.X. โชว์นัวเนียบนเตียงของเหล่าแดนซ์เซอร์ 



              ธีมหลักของทัวร์นี้อยู่ที่ Living For Love ถ้าดูจากเวทีจะเห็นว่าเป็นรูปกางเขนซึ่งมีด้ามปลายเป็นหัวใจ ซึ่งตั้งแต่เปิดโชว์แรกก็เหมือนกับการเดินทางที่ผ่านอะไรมากมาย ทั้งความสุข ความทุกข์ และความผิดหวัง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรหัวใจที่ไม่ยอมแพ้จะทำให้เราก้าวต่อไปได้ มาดอนน่าเปิดองก์นี้ในมาดมาทาดอร์ ในหลายประเทศที่ผ่านมาช่วงนี้ของโชว์จะมีเมดเล่ยเพลงยุค 80’s แต่บ้านเราเป็นพิเศษกว่าโซนอื่นที่ Madonna เลือกร้อง Take A Bow เพลงฮิตทำนองจีนที่ร้องในคอนไทเปมาก่อนหน้า ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง คนร้องตามกันทั้งฮอล แถมยังส่องไฟมือถือกันทั้งอารีน่า จนเธอถึงกับบ่นเอาว่าทำไมหน้าเวทีไม่ส่องไฟเหมือนข้างบนเลย เอาแต่ถ่ายฉันจนแบตหมดเหรอ!



              Madonna เป็นกันเองกับคนดูมาก พูดคุยแซวกัดตลอดเวลา เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจจริงๆ นอกจากจะเป็นคนที่เฉียบขาดในเรื่องของการแสดงแล้ว ไหวพริบและมุกตลกยังแสบมันส์ฮาสุดๆ อย่างตอนที่เธอคุยกับแฟนๆ ข้างเวทีที่มีคนแต่งตัวเป็นเธอในยุคต่างๆ และที่น่ารักมากคือถามสาวหล่อชาวสเปนที่สักแขนเป็นรูปเธอว่าอยากแต่งงานกับเธอไหม แล้วหลอกถามว่ามีรอยสักรูปเธอกี่อัน สาวหล่อตอบว่าสาม ป้าก็สวนกลับเลยเชียว เธอต้องมีรอยสักมากกว่านั้นถึงจะแต่งกับฉันได้ แต่เอาเถอะ ฝากเบอร์ไว้แล้วกัน แล้วจะติดต่อไป ความน่ารักเป็นกันเองและอารมณ์ขันที่เธอเล่นกับคนดูทำให้รู้สึกได้เลยว่า Madonna คือเอนเตอร์เทนเนอร์หมายเลขหนึ่งของโลกอย่างไม่ต้องมีข้อกังขา

              Rebel Heart เป็นเหมือนเพลงสรุปการเดินทางจากการอยู่ได้ด้วยรัก ความปรารถนาใน La Isla Bonita และการบอกลาใน Take A Bow Madonna ยืนอยู่บนเวทีรูปหัวใจพร้อมกับกีต้าร์หนึ่งตัว เธอบอกเราว่าเธอเดินทางมาแสนไกล ฝ่าฟันและเผชิญกับอะไรๆ กว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้



              บทสุดท้ายของการเดินทางเปิดด้วยทัศนคติสุดโต่งของ Madonna ต่อผู้มีอำนาจบนจุดสูงสุดของโลกที่แก่งแย่งชิงดีกันสุดท้ายก็ไม่พ้นคนตัวเล็กๆ บนพื้นที่ต้องรับกรรมใน Illuminati โชว์ที่ทำให้ทุกคนฮือฮามากที่สุดด้วยกายกรรมปีนเสาน่าหวาดเสียวพอๆ กับที่ Madonna โชว์พาวไปก่อนหน้านั้นด้วยท่า Vogue ที่ปีนขึ้นไปบนกางเขนแล้วหมุนตัว

              ต้องบอกว่าโชว์แต่ละองก์ในทัวร์นี้สวยเด่นและชัดเจนมาก โดยเฉพาะธีมยุค 1920 ที่แน่นมากทั้งคอสตูม กราฟฟิค และแสงสีทองซึ่งหรูหรามากๆ กับภาคดนตรีใหม่ของเพลงฮิตอย่าง Music และ Candy Shop และ Material Girl ในแบบที่ช้าลงกว่าเดิม La Vie En Rose เป็นโชว์แรกที่ร้องเพลงภาษาฝรั่งเศสด้วย เพราะเพลงนี้พูดถึงเรื่องความรักและการรอคอยซึ่งเป็นธีมหลักของทัวร์นั่นเอง แต่ถึงจะเป็นเพลงที่ใครไม่ได้ร้องตามกันง่ายนัก Madonna ก็ยังสามารถทำให้คนร้องตามได้อยู่ดี


     

              Unapologetic Bitch เป็นไฮไลท์ทิ้งทวนที่โดนใจแฟนชาวไทยที่สุดก็ว่าได้ เพราะมีการดึงเอาสาวกของเจ๊แม่ที่อยู่ติดเวทีขึ้นไปร่วมแจม และด้วยความที่ภาษาไทยมีหลายเสียง พอถามชื่อไป Madonna จึงเรียกน้องโตว่า “น้องนิ้วเท้าสองนิ้ว”  Two Toes  ไปเสียอย่างนั้น โชว์นี้มันส์มากจนวิกผมบลอนด์ของน้องหลุด ทำเอาควีนต้องเก็บให้แถมยังให้แดนซ์เซอร์ชายมายืนบังทำทีเหมือนสุภาพสตรีกำลังเปลี่ยนชุด เรียกได้ว่าเป็นความน่ารักและประทับใจคนดูจริงๆ ส่วนน้องโตน่ะเหรอ… คงไม่มีวันลืมโมเมนท์นี้ไปชั่วชีวิต

              ปิดท้ายทัวร์ด้วยเพลง Holiday ที่คุ้นเคยกับการโบกสะบัดผืนธงไตรรงค์ที่ต้องบอกเลยว่าไม่มีดราม่าแน่นอน เพราะงานนี้สปิริตล้วน มันคือการเฉลิมฉลองและความสุขที่ Madonna อยากมอบให้กับแฟนๆ และเชื่อเถอะว่ามันจะอยู่ในหัวใจของทุกคน ลึกลงไปในหัวใจขบถของคนไทย



    ความประทับใจ : ★★★★★

    ความคุ้มค่า : ★★★★★

    _________________________________________

    สามารถไปพูดคุยกันได้ที่ทวิตเตอร์ @iikimjaebin

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in