เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Dangerous Love (Deadly Companions #1)Aki_Kaze
บทที่ 5: โบรส
  • 5
    โบรส


    ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงพ่อ ผมไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาอะไรออกไป มีบางอย่างที่ผมไม่สามารถพูดออกไปได้ สิ่งที่ไม่ควรให้ใครรู้ เรื่องราวของผม ครอบครัวของผม
    ผมพยายามลืมคำถามของโดมินิคและสนใจกับเส้นทางที่ผมใช้เดินกลับมหาวิทยาลัย แต่สมองของผมยังคงคาใจกับงานของผู้ชายคนนั้น ผมรู้ว่าใครจ้างโดมินิคมา มีคนเดียวที่ผมถ่ายภาพด้วย เขาไม่ควรกังวลกับภาพถ่ายที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ผู้ชายสองคนถ่ายรูปด้วยกัน แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นภาพที่ถ่ายหลังจากที่เราร่วมหลับนอนกันแล้วก็ตาม ไม่เหมือนกล้องวงจรปิดที่จับทุกอิริยาบทยามที่เขาร่วมเตียงกับผม แต่เขาไม่รู้เรื่องนั้น ไม่มีใครรู้เรื่องนั้นเพราะผมไม่เคยเอาคลิปเหล่านั้นไปแบล็คเมลใคร ผมแค่ต้องการหลักประกันว่าถ้าเมื่อไรที่ผมตกอยู่ในอันตราย ผมจะมีทางออก
    ผมควรติดต่อคุณโกลด์โดยตรงหรือปล่อยไว้กันแน่...เห็นได้ชัดว่าโดมินิคจะไม่หยุดจนกว่าจะทำภารกิจสำเร็จ หรือผมควรทำลายภาพพวกนั้นทิ้ง เขาจะได้เลิกติดตามผม สิ่งที่ผมกังวลยิ่งกว่าคือการที่เขาขุดคุ้ยประวัติของผม ประวัติของครอบครัว
    ผมสลัดความคิดเกี่ยวกับครอบครัวทิ้ง รีบเดินเข้าอาคารเพื่อเข้าเรียนในช่วงบ่ายต่อ
    “เป็นอะไรหรือเปล่า” แจ็คสันถามขึ้นทันทีที่ผมหย่อนตัวนั่งลงข้างเขาในห้องเรียน
    ผมส่ายหน้าปฏิเสธ สายตาของเขาบ่งบอกว่าไม่เชื่อแต่ก็ยอมเปลี่ยนเรื่องไป
    “โปรเจคไปถึงไหนแล้วล่ะ”
    “ใกล้เสร็จละ ส่งสัปดาห์หน้าตามกำหนดได้แน่ๆ”
    “ฉันสงสัยจริงๆ ว่านายเอาเวลาที่ไหนไปนอน”
    “ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้นอนเยอะตั้งแต่เลือกเรียนสาขานี้แล้วนะ” ผมถอนหายใจ ได้ยินเพื่อนสนิทหัวเราะเบาๆ สมทบ
    แจ็คสันไม่ได้ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยแบบผม เขาทำพาร์ทไทม์แค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น เพื่อนของผมใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปกับการออกกำลังกายในยิมของมหาวิทยาลัย ผมเป็นสมาชิกยิมก็จริงแต่นอกจากตอนไปรับบัตรสมาชิกแล้วผมก็ไม่ได้เหยียบเข้าไปที่นั่นอีกเลย ถึงอย่างนั้นผมก็หาเวลาออกกำลังกายในบ้านเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและดูแลรูปร่างให้สมส่วน ผมอยู่ตัวคนเดียว นั่นหมายถึงผมต้องดูแลตัวเอง
    ผมไม่ได้กลับบ้านหลังเลิกเรียนเพราะไม่อยากเสียเวลาเดินทางอีกรอบเพื่อไปไนท์คลับ ผมใช้เวลาที่มีไปกับการทำงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพาของตัวเอง ห้องสมุดชั้นสี่ค่อนข้างเงียบสงบและมีมุมส่วนตัวทำให้ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร
    ผมยืดตัวบิดขี้เกียจ มองดูนาฬิกาดิจิตัลจากจอคอมก็พบว่าใกล้เวลามื้อเย็นจึงรีบเก็บข้าวของออกจากมหาวิทยาลัย ยืนรอรถประจำทางเพื่อไปยังไชน่าทาวน์ ผมแวะซื้ออาหารจีนจากร้านประจำก่อนจะเดินเข้าไปในสปาร์ค
    ช่วงเวลาที่ร้านยังไม่เปิด สถานบันเทิงแห่งนี้ทั้งสว่างและโล่งกว้าง ผมกำลังจะเดินไปยังห้องพักพนักงาน หนึ่งในบอดี้การ์ดประจำร้านก็ทักขึ้น
    “มาดามเรียกพบที่ห้องทำงาน”
    ผมแหงนหน้าไปทางห้องทำงานของเธอซึ่งมีหน้าต่างบานใหญ่สามารถมองเห็นลานด้านล่างได้ ผมไปที่นั่นบ่อยจนรู้ว่าบริเวณไหนเป็นจุดบอดของร้าน
    หลังจากเคาะประตูไม้สองที เสียงของมาดามก็ดังขึ้น เรียกให้ผมเข้าไปด้านใน
    “มาดามเรียกพบผมเหรอครับ”
    “อยู่กันเองสองคนไม่จำเป็นต้องเรียกฉันแบบนั้นก็ได้นะ” ผมคลี่ยิ้ม เดินเข้าไปนั่งบนโซฟาหนังตัวยาว “นั่นมื้อเย็นเหรอ”
    เธอมองกล่องอาหารจีนที่ผมเพิ่งวางลงบนโต๊ะรับแขก มาดามลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เดินมานั่งข้างผม
    “เธอควรดูแลตัวเองให้มากกว่านี้”
    “น้าครับ ผมดูแลตัวเอง”
    “ฉันไม่รู้ว่าระหว่างเรียก มาดาม กับ น้า แบบไหนมันดีกว่ากัน”
    “ผมไม่เรียกคุณว่าแซมหรอกนะ”
    “เราไม่ได้เป็นญาติกัน”
    ผมมองหน้าเธอก่อนจะก้มมองโต๊ะรับแขก “แต่คุณเป็นครอบครัว”
    “พูดถึงครอบครัว แอนเดอร์สันกับมิเชลเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” การไม่ตอบคำถามของผมถือเป็นคำตอบอย่างหนึ่ง มาดามถอนหายใจ “เธอไม่ควรเป็นฝ่ายที่ต้องทำแบบนี้”
    “ผมไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง”
    “ปัญหาของพวกเขาไม่ใช่ภาระของเธอนะ โบรส”
    “ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นปัญหาของพวกเขา ไม่สิ หลายครั้งเลยต่างหาก” การที่ผมเป็นลูกของแอนเดอร์สัน มิลเลอร์ ทำให้ผมกลายเป็นเครื่องมือต่อรองอย่างดี ผมถูกลักพาตัวครั้งแล้วครั้งเล่าจนตัดสินใจเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัว ตัดสินใจที่จะไม่เป็นเครื่องมือให้ใครอีก
    มาดามไม่ได้พูดอะไรต่อ อาจเพราะเราเคยคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วและผมยังคงยืนยันคำเดิม
    “ผมสบายดี” เธอพยักหน้า พยายามอย่างมากที่จะเชื่อคำพูดของผม เมื่อเห็นว่าสามารถเปลี่ยนเรื่องได้ผมจึงถามเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น “ผมเห็นคุณคุยกับโดมินิค”
    “ระวังตัวไว้ โบรส ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่เธอควรยุ่งเกี่ยวด้วย”
    “ผมไม่ใช่คนที่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวด้วย แต่เขาตามผม” ก่อนที่เธอจะทันได้ถาม ผมชิงถามขึ้นมาก่อน “เขาเป็นใคร แล้วคุณรู้จักเขาได้ยังไง”
    “มันเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว” มาดามเงียบไปราวกับกำลังทบทวนความหลัง แต่ไม่ว่าเรื่องนั้นคืออะไร เธอก็ไม่ได้พูดถึง “สิ่งที่เธอควรรู้คือเขาเป็นบุคคลอันตราย พ่อของเธอไม่เคยใช้บริการจากเขาก็จริง แต่เขาเป็นที่รู้จักดีในวงการใต้ดิน เขาเป็นคนที่สามารถตามหาสิ่งที่ไม่ควรค้นพบ และทำลายสิ่งที่ควรพบเจอ”
    “เขาเป็นอาชญากร”
    “ฉันไม่คิดว่าเธอจะเรียกเขาแบบนั้นได้นะ แต่เขาก็ไม่ใช่คนดี” เธอถอนหายใจอีกครั้ง “แต่เขาก็เป็นคนดี”
    “มันยากที่จะเข้าใจสินะครับ”
    มาดามแสดงความกังวลออกมาทางสีหน้า เธอจับมือผม “เอาล่ะ รีบกินแล้วก็รีบไปเตรียมตัวทำงานเถอะ”
    “เออ ครับ” ผมหันมองเธอที่กำลังเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน “สรุปแล้วคุณเรียกผมมาทำไม”
    เธอส่ายศีรษะ แสร้งทำเป็นไม่พอใจ “ฉันแค่อยากคุยเล่นกับเธอก็เท่านั้น”
    “ถ้าคุณน้าเหงาขนาดนั้นควรรีบหาแฟนนะครับ”
    มาดามโบกมือไล่ ผมเลยหยิบข้าวของรีบเดินออกจากห้อง

    ผมเคยทำงานที่สปาร์คห้าวันต่อสัปดาห์จนมาดามเห็นว่ามันอาจกระทบกับการเรียนเลยเปลี่ยนให้ผมทำแค่คืนวันพุธกับวันพฤหัสบดีเท่านั้น
    ผมชอบคืนวันพฤหัสฯ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นเลดี้ไนท์ แต่ยังเป็นที่ความเงียบสงบในการทำงาน น้อยครั้งนักที่จะมีการทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้นในคืนที่มีแต่ลูกค้าผู้หญิง
    “ลูกค้าไม่เยอะแบบนี้ เธอน่าจะมาร่วมโต๊ะกับเรานะ มิลเลอร์” แคทเธอรีนเป็นลูกค้าประจำในคืนวันพฤหัสบดี
    “ไม่เป็นไรครับ พวกคุณควรสนุกให้เต็มที่ แต่เมื่อไรที่ต้องการเครื่องดื่ม ผมยินดีให้บริการ”
    “ปากหวานนะเรา ถ้าเมื่อไรคิดจะย้ายมาฝั่งนี้ ฉันยินดีรอนะ” ชารอนไม่พูดเปล่า ลูบบั้นท้ายของผมพร้อมขยิบตา
    ผมเพียงแค่ส่งยิ้มโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินกลับไปที่บาร์เหล้า ถึงจะไม่ได้ระบุว่าตัวเองเป็นเกย์แต่เมื่อพูดถึงความชอบผมคงพึงพอใจกับการอยู่ฝั่งนี้ ผมเคยหลับนอนกับผู้หญิงมาก่อนแต่อาจเพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กวัยรุ่นมันเลยไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าจดจำนัก
    “มาดามควรจัดการกับลูกค้าที่ลวนลามพนักงานของเราแบบจริงจังได้แล้วนะ” ลูอี้ทักขึ้น เขาเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่สปาร์คมาหลายปี ประจำทุกคืนวันทำงานทำให้เจอหน้ากันอยู่บ่อยๆ
    “ก็คงงั้น แต่ผมไม่ถือสาอะไรหรอก”
    “เดี๋ยวทางนั้นก็ได้ใจหรอก ดูสิ มองนายตาไม่กะพริบ”
    “ไม่เป็นไรหรอก ก็ได้แค่มองนี่” ผมหัวเราะเบาๆ ลูอี้ได้แต่ส่ายหน้าก่อนหันไปรับออเดอร์จากลูกค้า
    ผมละจากบาร์เหล้าเพื่อไปดูแลลูกค้าต่อ เก็บโต๊ะ เช็ดโต๊ะ เสิร์ฟเครื่องดื่ม ร่วมวงสนทนากับลูกค้าเป็นระยะ คืนวันพฤหัสฯ เป็นคืนที่พวกเธอสามารถสนุกสนานได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลวนลาม ถูกมอมเหล้า หรือถูกรบกวนโดยคนไม่พึงประสงค์ ลานสำหรับเต้นรำจะไม่เบียดเสียดเท่าวันอื่นๆ แต่โต๊ะนั่งจะถูกจับจองจนแทบไม่มีที่ว่าง
    ถึงจะสบายกว่าวันพุธแต่พอหลังเลิกงานผมก็พบว่าระหว่างกำลังยืนบิดขี้เกียจเสียงกระดูกตามร่างกายก็ลั่นไปแทบทุกที่
    “เจอกันวันพุธ”
    “ไว้เจอกันครับลูอี้”
    สปาร์คปิดร้านตอนตีสอง กว่าจะเก็บร้านเสร็จก็เกือบตีสาม ผมนึกทึ่งทุกครั้งที่เห็นแฟนของลูอี้มารอเขาถึงในร้าน เดิมทีเธอมักรอเขาด้านนอกของร้านแต่พอมาดามรู้ก็อนุญาตให้เข้ามาหลังร้านได้ เธอเป็นพนักงานต้อนรับที่โรงแรมในดาวน์ทาวน์ เวลาทำงานของทั้งคู่เลยเข้ากันได้
    ผมมองพวกเขาจูบทักทายกัน พูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ผมได้แต่คิดว่าถ้ามีใครสักคนรอผมกลับบ้านหรือรอคอยผมอยู่ที่บ้านคงดีไม่น้อย
    “…”
    ผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้นมาก่อน ผมไม่ต้องการลงหลักปักฐานกับใคร ไม่คิดที่จะมีความสัมพันธ์ที่มากไปกว่าความสัมพันธ์ทางกาย มันแปลกที่จู่ๆ ผมคิดแบบนั้น แปลกที่รู้สึกว่าห้องนอนของตัวเองอ้างว้าง แปลกที่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างหายไปในชีวิตทั้งที่ผมเป็นคนควบคุมชีวิตตัวเองแท้ๆ
    ผมหลับลึกจนไม่ได้ยินเสียงมือถือปลุกในตอนเช้าและคงกดเลื่อนปลุกไปโดยไม่รู้ตัวแต่มันกำลังแผดเสียงลั่นจนผมสะดุ้งตื่น
    หน้าจอบอกเวลาเกือบเก้าโมง นั่นหมายถึงผมมีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงสิบนาที เมื่อคืนผมหลับไปโดยไม่ได้อาบน้ำ ตอนนี้ตัวผมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่กับกลิ่นเหล้าทำให้ต้องกุลีกุจอเข้าห้องน้ำ ผมหยิบเสื้อผ้าจากตู้มาใส่โดยไม่ได้มอง อย่างน้อยมันก็ออกมาเข้ากัน อาจเพราะเสื้อผ้าในตู้ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก
    ผมมองเวลาจากหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง ถึงจะทำใจไว้แล้วว่าคงเข้าเรียนสายแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะเอ้อระเหยได้ ทันทีที่รถบัสจอดหน้ามหาวิทยาลัยผมก็รีบวิ่งไปอาคารเรียน ก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นจนมาถึงห้องเรียน
    ผมชะเง้อมองข้างในห้องผ่านหน้าต่างบานเล็กของประตูก่อนจะเปิดเข้าไปแบบเบาเสียงที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ อาจารย์กำลังบรรยายอะไรบางอย่างพร้อมฉายสไลด์อยู่ด้านหลัง ผมมองหาแจ็คสัน รู้ดีว่าเขาเลือกที่นั่งบริเวณไหน
    “ฉันพลาดอะไรไปบ้าง” ผมถามทันทีที่นั่งลงข้างเพื่อนสนิท
    “อาจารย์เชิญบุคลากรพิเศษมาบรรยาย เขาชื่อเรจินัล วู้ดส์ ได้ทุนเรียนต่อปริญญาเอกตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ดแต่กลับปฏิเสธ ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำงานอะไรอยู่แต่ได้ยินว่าอยู่เบื้องหลังบริษัทชั้นนำหลายแห่งในประเทศ”
    เสียงปรบมือดังขึ้น เรียกความสนใจของผมไปทางหน้าชั้น ชายหนุ่มรูปร่างผอม ตัดผมทรงอันเดอร์คัต สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้ากับเนคไทสีน้ำเงินเข้มมีลวดลายและกางเกงขายาวสีดำ สวมแว่นตากรอบสีดำ ท่าทางเก้งก้างเหมือนกำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง น้ำเสียงของเขาเข้มกว่าที่ผมคิดไว้และทันทีที่เขาก็ยิ้มก็เหมือนทำให้นักศึกษาทั้งห้องผ่อนคลาย
    เขาบรรยายเรื่องความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ ถึงจะเป็นเรื่องที่เคยเรียนมาแล้วแต่วิธีพูดของผู้ชายคนนี้น่าสนใจกว่าตอนที่ผมเรียนปีหนึ่ง ลักษณะท่าทางอาจไม่เหมาะกับการเป็นอาจารย์ก็จริงแต่นักศึกษาตั้งใจฟังเขามากกว่าอาจารย์ผู้สอนด้วยซ้ำ
    เกือบสี่สิบนาทีที่เขาบรรยาย ผมได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น วู้ดส์ตอบคำถามจากนักศึกษาคนแล้วคนเล่าทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบรรยายและไม่เกี่ยวข้องกัน เขาคงมีชื่อเสียงในวงการไม่ใช่น้อยเพราะบางคำถามก็เหมือนพวกเขาคุยรู้เรื่องกันเองในกลุ่ม
    กระทั่งหมดชั่วโมงเรียนแล้วผู้ชายคนนั้นยังคงมีนักศึกษาล้อมรอบ ผมจับใจความได้เล็กน้อยว่าเขาเป็นผู้พัฒนาเกม
    ขณะที่ผมกับแจ็คสันกำลังเดินออกนอกห้องเรียนเสียงของวู้ดส์ก็ทักขึ้น
    “แอมโบรส มิลเลอร์”
    เขาหันกลับไปกล่าวลาคนอื่นๆ ก่อนจะสะพายกระเป๋าเดินตรงมาหาผม
    “ครับ?”
    “อาจารย์ของคุณให้ผมดูตัวอย่างงานที่คุณออกแบบ” ผมประหม่าทุกครั้งเวลาที่มีคนพูดถึงงานของผม แม้ว่าวู้ดส์กำลังกล่าวชมผมก็ตาม
    “ขอบคุณครับ”
    “จะว่าอะไรไหมถ้าผมอยากดูงานออกแบบของคุณเพิ่ม”
    “ยินดีครับ ผมเชื่อว่าคุณจะต้องประทับใจในงานของเขา” แจ็คสันแทรกขึ้น เขาตบบ่าผมพลางส่งยิ้มให้ก่อนจะชิงหนีไป ปล่อยให้ผมยืนอยู่กับวู้ดส์ตามลำพัง จะปฏิเสธก็ไม่ได้ จะตอบตกลงก็กะไรอยู่
    “ผมเห็นร้านกาแฟใกล้ๆ เราไปที่นั่นกันไหม”
    “ครับ” ผมได้แต่ขานรับ เดินเคียงข้างวู้ดส์ไป อายุของพวกเราต่างกันไม่กี่ปีแต่ผมกลับรู้สึกกดดันเวลาสนทนากับเขา ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ความมีชื่อเสียงของเขาสร้างความประหม่าในแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน
    ผมสั่งกาแฟร้อนก่อนที่พวกเราจะเดินมานั่งที่โต๊ะเล็กสำหรับสองที่นั่ง ผมเปิดคอมพิวเตอร์แบบพกพาขึ้นมา เข้าไฟล์งานที่ทำค้างไว้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าเขาเป็นสะพานให้ผมทำงานในสายนี้ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี
    “ผมรบกวนหน่อยได้ไหม ช่วยหยิบน้ำตาลให้ที”
    “ได้ครับ”
    ผมลุกจากที่นั่ง เดินไปยังเคาน์เตอร์ที่มีทั้งน้ำตาล หลอดและทิชชูไว้สำหรับบริการลูกค้า ผมกำลังยื่นมือไปหยิบซองน้ำตาลก็ชนเข้ากับมือของคนข้างๆ ที่หมายจะหยิบน้ำตาลซองเดียวกัน
    “ขอโทษครับ” พอผมเห็นว่าผู้ชายข้างๆ เป็นใครก็ถึงกับอยากคืนคำขอโทษทันที “คุณมาทำอะไรที่นี่”
    โดมินิคฉีกซองน้ำตาลใส่กาแฟร้อนของตน หยิบไม้มาคนอย่างอ้อยอิ่ง เขาสวมแว่นตากันแดดทั้งที่อยู่ในที่ร่ม กลิ่นบุหรี่ยังคงติดตัวน่าจะเพิ่งสูบไปไม่นานแต่มีกลิ่นของไม้ซีดาร์ที่น่าจะมาจากน้ำหอมของเขาปะปนมาด้วย
    “ตามเธอมาไง” มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย
    “ผมบอกแล้วไงครับว่าผมไม่คืนรูปให้ บอกคุณโกลด์ว่าไม่ต้องกังวล ผมไม่เอารูปไปทำอะไรที่ไม่สมควรอยู่แล้ว”
    “เธอรู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า”
    “นอกจากเรื่องที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่ออกข่าวอยู่บ่อยๆ กับเรื่องที่มีครอบครัวอยู่แล้วผมก็ไม่ทราบอะไรไปมากกว่านี้แล้วล่ะครับ”
    “เธอรู้ว่าเขามีครอบครัว”
    “ผมไม่ได้เป็นฝ่ายเรียกร้อง” ผมจ้องหน้าโดมินิคแม้ไม่อาจมองเห็นดวงตาของเขาได้ก็ตาม “เขาต้องการความสุข ความมีชีวิตชีวา ผมมอบให้เขาได้ มันก็เท่านั้น”
    “เธอเดือดร้อนเรื่องเงินเหรอ”
    “จะซื้อผมเหรอครับ” ผมสวนกลับเร็วเกินไปจนกลายเป็นการตอบข้อสงสัยของเขา ใบหน้าของผมร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
    โดมินิคมองผมโดยไม่ได้พูดอะไร ความเงียบสร้างความอึดอัดได้ดียิ่งกว่าเสียงพูด เขาถอดแว่นกันแดดออกเผยให้เห็นดวงตาสีเทา ผมหลบสายตาก่อนที่เขาจะรู้เรื่องของผมไปมากกว่านี้ ก่อนที่ผมจะแสดงปฏิกิริยาไปมากกว่าที่ควร
    “ฉันสนใจ” ผมรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ “เรื่องของเธอ”
    เสียงโทรศัพท์ของโดมินิคดังขึ้น ขัดอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา เขาขอตัว มือข้างหนึ่งหยิบกาแฟ อีกข้างรับโทรศัพท์เดินออกไปนอกร้าน ผมลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินมาที่นี่ทำไม
    “ขอโทษด้วยครับพอดีเจอคนรู้จัก” ผมวางซองน้ำตาลลงข้างวู้ดส์ เขาระบายยิ้มอย่างไม่ถือสา “คุณอยากดูงานออกแบบของผมเหรอครับ”
    “ถ้าคุณจะกรุณา”
    ผมลากนิ้วลงบนแป้นสัมผัสแต่ยังไม่ทันทำอะไรหน้าจอของผมก็ดับลง ผมลองเปิดเครื่องแต่หน้าจอยังคงมืดสนิทเหมือนเดิม
    “ผมเพิ่งชาร์จแบตมานี่นา” ผมต่อสายชาร์จเข้ากับตัวเครื่อง ไฟสีเขียวติดขึ้นบ่งบอกว่าแบตเตอรีของคอมพิวเตอร์พกพายังเต็มอยู่
    “ผมขอดูได้ไหม” วู้ดส์เสนอก่อนจะเข้ามาช่วยดูให้ เขาสามารถเปิดเครื่องได้อีกครั้งแต่หน้าจอกลับไม่เหมือนเดิม
    “คอมฯ ผมเป็นอะไรไป” หัวใจของผมเต้นระส่ำเพราะงานทุกอย่างอยู่ในเครื่องนี้เป็นหลักโดยเฉพาะโปรเจคที่ต้องส่งสัปดาห์หน้า ถึงจะมีไฟล์สำรองที่คอมพิวเตอร์ในบ้านแต่ก็ไม่ใช่ไฟล์งานล่าสุดที่ทำค้างไว้
    “ผมว่าผมซ่อมได้แต่มันต้องใช้เวลา” วู้ดส์พูดขึ้น “คุณทิ้งเครื่องไว้กับผมได้ไหม ผมรู้ว่ามันแปลก เราเพิ่งรู้จักกันแต่ผมไม่คิดว่าคุณจำเป็นต้องเอาไปให้ไอทีของมหา’ลัยในเมื่อผมเองก็ทำเป็น”
    “เดี๋ยวผมต้องเข้าเรียนต่อจนถึงเย็น คุณต้องใช้เวลานานขนาดไหน”
    “ทันตอนที่คุณเลิกเรียนแน่นอน” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ จู่ๆ เขาก็ถอดนาฬิกาข้อมือออกมา “เก็บไว้ จะได้รู้ว่าผมไม่เอาคอมฯ ของคุณไปไหนแน่”
    “ไม่จำเป็นหรอกครับ” ผมปฏิเสธ หวังว่าตัวเองจะเชื่อใจคนไม่ผิด “ถ้ายังไงฝากคอมฯ ผมด้วยนะครับ ผมต้องขึ้นเรียนแล้ว”
    “ผมจะอยู่นี่ตอนที่คุณเลิกเรียน”
    ผมมองคอมพิวเตอร์พกพาของตัวเองอีกครั้งก่อนจะหยิบเป้ขึ้นพาดไหล่ คว้าแก้วกาแฟแล้วเดินออกจากร้านไป ได้แต่หวังว่าตอนกลับมาอีกทีผู้ชายคนนี้จะยังอยู่ที่นี่
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in