เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Miwako : It’s All Ride.
BUNBOOKISH
01 นี่มันยุคจักรยาน


  • ช่วงเรียนมหา’ลัย (ย้อนไป 3-4 ปีก่อน) เป็นช่วงที่กระแสจักรยานเฟื่องฟู หันไปทางไหนก็เห็นแต่คนปั่นจักรยาน อย่างรุ่นพี่ที่คณะก็ฮิตปั่นจักรยานฟิกซ์เกียร์ เราเองก็ได้แต่แอบหมั่นไส้เล็กๆ คิดว่าเขาขี้เก๊กมั่งล่ะ ไม่จริงจังมั่งล่ะ เวลาคุยกันก็เอาแต่อวดชิ้นส่วนจักรยานหน้าตาประหลาด พูดจาด้วยภาษาต่างดาว เช่น “ไปอัพเกียร์ เพิ่มจาน เปลี่ยนตะเกียบ เปลี่ยนกะโหลก ฯลฯ” แล้วก็กรี๊ดกร๊าดเกรียวกราว (เหมือนผู้หญิงอวดเครื่องสำอาง อุ๊ยตาย สิ่งนี้เธอได้แต่ใดมา แล้วราคาเท่าไหร่ ว้าย ว้าย) จนบางทีรู้สึกว่าโลกแห่งคนปั่นจักรยานเหมือนเป็นโลกที่เราเข้าไม่ถึง

  • ถึงจะไม่มีกระแสจักรยาน เราเองก็อยากได้จักรยานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ไม่เคยได้รับความเห็นชอบจากแม่สักที ด้วยเหตุผลว่า “ไม่ปั่นจริงจัง เดี๋ยวก็เบื่อแล้วทิ้งไว้รกบ้านเปล่าๆ”

    ถึงแม้ชีวิตของเรากับจักรยานจะโดนขัด-ขวาง แต่เราก็ยังไม่ละทิ้งความฝัน เวลาไปเที่ยวแล้วเจอร้านจักรยานให้เช่า ก็จะปรี่ไปเช่ามาปั่นแบบไม่ต้องฉุกคิด (จริงๆ ก็ฉุกคิดเรื่องราคาเล็กน้อย) แต่สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เรามีจักรยานเป็นของตัวเองสักที (นอกจากการที่แม่ไม่อนุมัติแล้ว) เป็นเพราะเรายังติดภาพว่า การปั่นจักรยานออกถนนใหญ่เป็นเรื่องอันตรายเกินไป

    แต่หลังจากเห็นคนรอบตัวหันมาปั่นจักรยานกันมากขึ้น ก็ทำให้เรารู้สึกว่าการปั่นจักรยานเพื่อเดินทางในกรุงเทพฯ มันสามารถเป็นไปได้จริง

  • พอคนรอบตัวเริ่มปั่นจักรยานมากๆ เข้า ก็เหมือนโดนสะกดจิตเห็นรุ่นพี่ในคณะปั่นฟิกซ์เกียร์กันแสนโฉบเฉี่ยวและพลิ้วไหว ก็แอบคิดว่าเราเองก็คงทำได้เหมือนกัน แต่พอมีเพื่อนเอาฟิกซ์เกียร์มาให้ลองปั่นดูเท่านั้นแหละ—ซึ้งเลย แค่จะปีนขึ้นไปนั่งบนอานก็ลำบากแล้ว (เตี้ย) พอนั่งได้แล้วจะโน้มตัวจับแฮนด์นี่ก็แสนทรมาน ตอนปั่นก็ทุลักทุเล เบรกก็ไม่ได้ ขาตั้งก็ไม่มี โอ๊ย ฉันจะไปยังไง จะจอดยังไง จะอยู่หรือไป ก็เลยคิดได้ว่าโอเค ฟิกซ์เกียร์ ชาตินี้เราคงรักกันไม่ได้...แม้ชาวฟิกซ์-เกียร์ทั้งหลายจะพยายามปลอบใจว่า เฮ้ย มันมีไซส์ที่พอดีกับคนขาสั้นอย่างเธอนะ (ขอบใจ...) แต่เราว่า เรากับฟิกซ์เกียร์คงไม่เหมาะกันจริงๆ จ้ะ ลาก่อน...


  • หมดหวังกับฟิกซ์เกียร์ได้ไม่นาน ใครบางคนก็นำพา ‘จักรยานพับ’ เข้ามาในชีวิต เขาคือ พี่หล่ง รุ่นพี่คนหนึ่งที่สนิทกัน วันนั้นพี่หล่งเดินเข้ามาในมหา’ลัย พร้อมจักรยานหน้าตาคล้ายสกู๊ตเตอร์
    ดูไม่เหมือนจักรยานทั่วไป แถมล้อก็เล็กจิ๋วดูน่ารัก (ไม่เข้ากับผู้ชายไว้หนวดผมยาวรุงรังอย่าง
    พี่หล่งสักนิด) พี่หล่งบอกว่านี่คือ ‘จักรยานพับ’ มือสองที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นในขณะที่เรายังงงว่าจักรยานพับคืออะไร พี่หล่งก็เลยโชว์พับจักรยานให้ดูเป็นขวัญตา แล้วเจ้าจักรยานหน้าแปลกก็เปลี่ยนรูปแปลงร่างราวกับบัมเบิ้ลบีใน ทรานส์ฟอร์เมอร์ จากจักรยานสองล้อกลายเป็นท่อนเหล็กขนาดกะทัดรัดที่สามารถหิ้วได้ด้วยมือเดียว

    ฉับพลัน เรารู้สึกเหมือนกำลังมีความรัก แก้มแดงระเรื่อ หัวใจเต้นระรัว หายใจฟืดฟาด ทำอย่างไรดี อยากสัมผัสเจ้าสิ่งนี้ อยากทดลองเคลื่อนที่ไปพร้อมกับมันเหลือเกิน (เริ่มโรคจิต) เมื่อพี่หล่งสังเกตเห็นความหวั่นไหวในใจเรา พี่หล่งเลยถามว่า “ลองปั่นดูมั้ย”

    ก็เอาสิ…


  • เราลองปั่นวนไปวนมาในสวนแก้ว (สวนเล็กๆ ในมหา’ลัยศิลปากร ไม่ใช่วัดสวนแก้วนะ) ปั่นไม่ถึงนาทีก็วนได้รอบสวนแล้ว (เล็กจัด) ความรู้สึกครั้งนี้แตกต่างกับครั้งที่เราได้ลองฟิกซ์เกียร์มาก อาจจะเพราะขนาดตัวของเราเล็กพอๆ กับตัวพี่หล่ง ก็เลยพอเหมาะพอดีกับจักรยานของพี่หล่งไปด้วย ยิ่งได้ลองปั่นแล้วก็ยิ่งหลงรัก พอหลงรักแล้วก็ตัดใจคืนจักรยานให้พี่หล่งไม่ได้ เลยแกล้งบอกว่ากำลังจะไปซื้อของที่ท่าพระจันทร์พอดี ขอยืมปั่นไปเลยได้มั้ย (เลว) พี่หล่งก็ให้ยืมง่ายๆ แค่ตะโกนตามหลังมาว่า “ระวังโดนรถเมล์สอยนะ” (นี่ไม่รู้ว่าเตือนด้วยความหวังดีหรือสาปแช่ง)



  • มัวแต่ดีใจที่ได้ยืมจักรยานพี่หล่งออกมาเผชิญโลกกว้าง แต่ดันลืมคิดไปว่าต้องเจออะไรบนท้องถนนข้างนอกบ้าง พอปั่นออกมาพ้นประตูมหา’ลัยปุ๊บก็เหวอรับประทาน เพราะถนนแถวนั้นมีรถใหญ่เยอะมาก (รถใหญ่จริงๆ นะ รถเมล์ รถทัวร์นี่วิ่งกันเพียบ) เรียกว่าสตาร์ทเกมมาก็เจอด่านยากเลย มือใหม่หัดปั่น (ออกถนน) อย่างเรา รู้กฎจราจรก็แค่ไฟเขียวไป ไฟแดงหยุด ไฟเหลืองเร่ง (อันนี้ไม่ใช่ละ) แต่ไม่รู้ว่าควรปั่นเร็วหรือช้า ต้องชิดขวาหรือซ้าย หรือว่าปั่นมันตรงกลางถนนไปซะเลยดีมั้ย!

    หลังจากจอดตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก็ปั่นออกมาด้วยทฤษฎีมั่วๆ ของตัวเองว่า ปั่นช้าๆ ชิดฟุตปาธเข้าไว้  ยังไงก็น่าจะปลอดภัย ภาพที่ทุกคนเห็นจึงเป็นผู้หญิงเซ่อซ่าปั่นจักรยานแซะฟุตปาธด้วยอัตราความเร็วเทียบเท่ากับจูงรถเดิน

    หลังจากดื่มด่ำกับประสบการณ์อันแปลกใหม่บนท้องถนน เราก็ปั่นจักรยานกลับมาคืนพี่หล่งได้โดยสวัสดิภาพ แล้วก็ไม่ลืมซื้อพู่กันติดมือกลับมาด้วยนะ (เดี๋ยวไม่เนียนที่อุตส่าห์ขอยืมจักรยานเขาไปซื้อของ) และความสัมพันธ์ระหว่างเรากับจักรยานพับ (ของคนอื่น) ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่า เราก็ปั่นจักรยานออกถนนใหญ่ได้นี่หว่า!





  • ความคิดอยากซื้อจักรยานเป็นของตัวเองเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่นอกจากแม่จะไม่สนับสนุนแล้วยังหมั่นบั่นทอนกำลังใจต่างๆ นานา ประกอบกับช่วงนั้นอยู่ปีสาม เป็นช่วงเรียนหนัก กิจกรรมเยอะ ก็เลยบอกตัวเองว่า ถ้าซื้อมาตอนนี้ก็คงจะไม่มีเวลาปั่นจริงๆ นั่นแหละ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง กลับมีใครบางคนที่ก้าวข้ามข้อแม้ต่างๆ ของเราไปแล้ว นั่นคือหมิว—เพื่อนสาวร่วมคณะที่บ้าหลุดกาแล็กซี (เกินกว่าบ้าหลุดโลก) เพราะหมิวเป็นคนที่ปั่นจักรยานระยะทางกว่าหกสิบกิโลเมตรจากบ้านมามหา’ลัยแทบทุกวัน ที่สำคัญคือระยะทางขนาดนั้นแต่หมิวปั่นด้วยจักรยานแม่บ้านธรรมดาๆ นี่เอง!

    การปรากฏตัวของหมิวและจักรยานแม่บ้านของเธอยิ่งทำให้เราอยากสานฝันมีจักรยานเป็นของตัวเองเสียที





  • ความฝันที่จะได้มีจักรยานเป็นของตัวเองยังคงค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นจนเรียนจบ พอเริ่มทำงานฟรีแลนซ์ ก็เลยไม่มีออฟฟิศให้ไป จะนั่งทำงานอยู่บ้านก็เบื่อ เลยทำตัวเป็นวิญญาณเร่ร่อนหาที่นั่งทำงานไปเรื่อยเปื่อย

    ปกติเราจะนั่งรถเมล์ไปสิงสถิตอยู่ที่จามจุรีสแควร์ (บ้านเรากับจามจุรีสแควร์ห่างกันแค่ราวสองกิโลเมตร) แต่หลังๆ เริ่มไม่อยากขึ้นรถเมล์แล้ว เพราะต้องรอนาน แถมถ้ารถติด (ซึ่งติดทุกวัน) กว่าจะถึงบ้านก็เกือบชั่วโมง (อ่านวงเล็บที่แล้วอีกที—บ้านเรากับจามจุรีสแควร์ห่างกันแค่ราวสองกิโลเมตร) เพราะงั้นวันไหนเหนื่อยก็จะนั่งแท็กซี่ หรือถ้ารีบก็จะใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซค์

    จนวันหนึ่งขณะที่นั่งซ้อนพี่วินฯ อย่างเคย ก็เกิดความสว่างทางปัญญา ตระหนักรู้ถึงการสูญเสียรายได้จำนวนมากไปกับการเดินทาง ทั้งที่บ้านเราก็แสนจะใกล้ แต่ใจคอของพี่วินฯ ทำด้วยอะไรถึงได้คิดเงินเรา 40 บาท แล้วยังต้องเจอความหวาดเสียว ฉวัดเฉวียนเจียนตาย แบบไร้หลักประกันใดๆ ในชีวิตอีก ความอดทนสุดท้ายจึงหมดลง วันนั้นกลับถึงบ้านพร้อมไฟอันลุกโชน บอกกับแม่ด้วยเสียงอันดังและหนักแน่นว่า “ไม่ไหวแล้ว จะซื้อจักรยานแล้ว!”


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in