เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ใต้เงาบริการ กับงานสินค้าลิขสิทธิ์Prepanod Nainapat
เรื่องเล่าที่ 01 - จุดเริ่มต้น : ร้านอินเตอร์เน็ต ช่วงที่หนึ่ง
  • ย้อนเวลาไปราวช่วงปี 2000 ยุคที่เกมคอมพิวเตอร์เริ่มรุ่งเรือง และในยุคนั้นอินเตอร์ทั้งความเร็วสูงและความ เร็วต่ำก็ยังไม่ได้แพร่หลายหรือติดตั้งได้ง่ายแบบในสมัยนี้ ครอบครัวของผมจึงตัดสินที่จะเปิด อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ หรือ ร้านเน็ต ที่หลายท่านต้องเคยมีประสบการณ์เข้าไปใช้บริการกับมันบ้างแน่นอน

    ร้านเน็ตที่ครอบครัวของผมก่อตั้งขึ้น เป็นร้านที่มีคอมพิวเตอร์จำนวน 30 เครื่อง อาศัยความชำนาญของพี่ชายในการวางระบบร้าน ณ ตอนแรก ก็แทบจะเปิดร้านทันที แต่ฝั่งพ่อบังเกิดเกล้าของผมได้เช็คข้อมูลแบบดุเดือด แล้วทำการสั่งซื้อซอฟท์แวร์ลิขสิทธิ์มาที่ร้านเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีปัญหาใดๆ ในอนาคต


    นั่นคือก้าวแรกของการที่ผมได้กระโจนเข้าสู่งานบริการที่มีสินค้าลิขสิทธิ์เกี่ยวข้องด้วย


    "ทำไมฉันจะต้องมาโฟกัสความเรื่องมากของคนอื่นขนาดนี้ ?" อาจจะเป็นคำนิยามที่ใกล้เคียงกับภาวะที่เกิดขึ้น ช่วงนั้น เพราะช่วงแรกผมรู้สึกว่าชีวิตจืดชืดไม่ได้มีสีสันอะไรเลยสักนิด การเข้าร้านแล้วรอรับคนจำนวนมาก...ใครก็ไม่รู้ด้วย แถมยังส่งเสียงดังโวยวายแบบแทบจะไม่มีเหตุผลด้ย อายุก็ต่างกันจะคุยด้วยเหตุผลก็ยากเย็น พอเล่นเสร็จก็สะบัดตูดไปอีก อะไรกันนักหนา

    .

    .

    .

    .

    .


    ดราม่าไหมครับ ? เอาจริงๆ ช่วงแรกที่ผมต้องอยู่โยงร้านอินเตอร์เน็ตมันจืดชืดกว่านั้นเยอะครับเลยปั้นแต่งบรรยากาศเล็กน้อย ... กลับมาสู่ความเป็นจริงกันครับ ค่อนข้างบอกได้ว่า ตอนนั้นมันก็ไม่ได้เป็นการตัดสินใจของผมเองหรอก แต่ในเมื่อมันเป็นโองการของที่บ้าน (ผสานกับภาวะที่ไม่ยอมเรียนต่อแบบดีๆ) ไอ้เราก็เลยต้องมาช่วยดูแลร้านด้วย ... ก็ต้องยอมรับครับว่าความนอยด์เมื่อเจอคนหมู่มากแบบที่เราไม่เคยมาก่อนมันก็ต้องมีอยู่บ้างล่ะ แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้เท่าทันกว่านั้นก็คือ โปรแกรมใดที่เราสามารถลงกับคอมพิวเตอร์ในร้านของเราได้

    ถึงผมจะเกริ่นมาถึงสินค้าลิขสิทธิ์มาโดยตลอด แต่ก็ใช่ว่าผมจะเกิดมาบนโลกแล้วเข้าใจทันทีเลยว่า "สิ่งเหล่านี้เป็นของเถื่อน สิ่งเหล่านั้นเป็นของแท้" ผมเองก็มีก้าวแรกสู่สังเวียนของผมเหมือนกัน ถ้าผมจำได้ไม่ผิด สังเวียนแรกที่ผมต้องทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้คือช่วงเวลาก่อนร้านจะเปิดแบบเต็มรูปแบบไม่นานนัก คอมพิวเตอร์ 30 เครื่องที่้บ้านของเราให้ร้านประกอบคอมส่งมาให้นั้น ก็มีความประสงค์ดีจากทางร้านดังกล่าวแถมมาด้วย

    ความประสงค์ดีน้ันก็คือ ทุกเครื่องติดตั้ง Windows และ Microsoft Office มาแล้ว พร้อมยังลงเกมดังในช่วงนั้นมาอย่างเพียบพร้อม ไม่ใช่แค่นั้น ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องยังบรรจุเพลง mp3 สุดฮิตเอาไว้อีกมากกว่า 500 เพลงอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้งานแรกของร้านจึงไม่มีทางเป็นสิ่งอื่นใดนอกจากการไล่ Format เครื่องใหม่ ลง Windows ใหม่ และลงเกมใหม่หมดทั้ง 30 เครื่องครับ...

    ถ้าในยุคนี้ที่ Windows 10 ตัวล่าสุดสามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็วราวกับ วิน ดีเซล กระทืบคันเร่งรถยนต์ในภาพยนตร์ชุด Fast & Furious ผมกับพี่ชายก็คงไม่รู้สึกสลดโศกาอะไรมากครับ แต่เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ที่ แม้แต่ Windows XP ยังใช้ชื่อรหัส Whistler อยู่ หรือระบบที่ทำให้ลงโปรแกรมผ่านวง LAN เพียงคลิกเดียวก็ยังเป็นเพียงภาพฝันของโปรแกรมเมอร์ในยุคนั้น การต้องหิ้ว CD-Rom Drive ไปติดกับเครื่อง (คอมฯ 30 ตัวนั้นไม่ได้ติดตั้ง CD-Rom Drive ไว้เพื่อกันคนมาลงโปรแกรมมั่วซั่วครับ) แล้วทะยอยไล่ลงโปรแกรมทั้งหมดทีละเครื่องจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ... และการอดนอนเพื่อกระทำกิจกรรมข้างต้นก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

    ค่ำคืนนั้น ผมเริ่มจดจำได้ว่า สินค้าลิขสิทธิ์ ที่ร้านของเราสามารถใช้สิทธิ์ได้เต็มที่ ประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้

    - Microsoft Windows 98se
    - Microsoft Windows ME (หรือ Many Error / Multi Error ของหลายๆ ท่าน)
    - Half-Life ภาคแรกสุด
    - Half-Life ภาคเสริม Opposing Force
    - Starcraft
    - Starcraft Brood War
    - Diablo II
    - Warcraft II

    สมัยนั้น Windows ที่จะมาใช้สิทธิ์กับคอมพิวเตอร์ใหม่ หรือที่เรียกว่า OEM ราคาตกแผ่นละ 3,000 - 4,000 บาทได้ครับ (ผันผวนตามค่าเงิน และแพงระยับถ้าเทียบกับ Windows แท้สมัยนี้) ส่วนเกม 6 เกมนั้นต้องเสียเงินค่าสิทธิ์มูลค่า 2,300 บาท ต่อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องนะครับ ที่ตลกที่สุดก็คือพนักงานขายของ บ.เกม กลับแจ้งร้านเน็ตแทบทุกร้านว่า จ่าย 2,300 บาท แล้วใช้สิทธิ์เกมของบริษัทเกมใดๆ ก็ได้ในอนาคตด้วยล่ะ ... ซึ่ง บ.เกมแห่งนั้น มีดราม่าต่อยาวๆ ที่เราอาจจะได้พูดถึงกันในภายหลังครับ

    แต่ตอนนี้คงต้องขอตัดบทกันไปก่อน เพราะแค่นึกย้อนไปว่าลงโปรแกรมใหม่หมดทุกเครื่องมันชวนง่วงขนาดไหน หัวผมก็อยากจะแตะลงบนหมอนเสียแล้วล่ะครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in