Aspect (n.) มุม,ด้าน,แง่มุม,ลักษณะ
ธรรมดาสามัญ ที่สิ่งหนึ่งสามารถมีได้หลายแง่มุม
และไม่น่าแปลกใจอะไร หากสิ่งเดียวกันจะถูกมองได้แตกต่างเมื่อมองผ่านตาต่างคู่ ประสาทต่างขั้ว มองผ่านม่านฝน หรือไอแดด ไม่ว่าจะเป็นแค่ภาพสองมิติไร้ด้านลึก หรือภาพหนึ่งมิติที่เป็นเพียงจุด
นับประสาอะไรกับมนุษย์ สิ่งมีชีวิตนานามิติ ที่ไม่ได้ระบุเลขมิติ ก็เพราะ มนุษย์นั้นหลากมิติจนฉันไม่กล้าฟันธง
มนุษย์ซับซ้อนกว่าภาพยนตร์4D ท่ี่มีฟีจเจอร์เขย่าเก้าอี้ให้คนดูผวาสะดุ้ง
ลึกล้ำกว่ารูปปั้นปูน3มิติโดยไม่ต้องคำนึงถึงอายุอานามบนแผ่นพื้นโลก
และที่ชัดแจ้ง แม้แต่ภาพวาดโมนาลิซ่าของดาวินชี่ ก็ไม่อาจเก็บงำปริศนาไปได้มากมายเท่า มนุษย์หนึ่งคน
หากมาลองเริ่มจากตัวฉัน ฉันเองก็ยังพบมุมมองแสนย้อนแย้งมากมาย ที่คุณคงไม่สามารถจินตนาการให้สิ่งเหล่านั้นมารวมอยู่ได้ในตัวของคนๆเดียว
บางสิ่งบางอย่างอาจเป็นของธรรมดาอย่างที่สุด ...
การเป็นนักศึกษาปีสอง การเป็นนัก(หัด)เขียน การเป็นนักกีฬาสมัครเล่น การเป็นนักอ่าน(แสนขี้เกียจ) การเป็นลูกสาว การเป็นน้องสาวคนเล็ก การเป็นหลานสาวคนเล็ก หรือแม้กระทั่งการเป็นเพื่อน
บางสิ่งบางอย่างอาจเริ่มจำแนกแยกย่อยลงลึก ...
การเป็นนิสิตนิติศาสตร์ การเป็นนักเขียนยูริ การเป็นนักกีฬาฟันดาบ การเป็นนักอ่านหนังสือสอบข้ามคืนในขณะที่สามารถดองนิยายได้ข้ามปี การเป็นใครคนหนึ่งที่มีความคิดพุ่งพล่านจนไม่สามารถกลั่นออกมาได้เป็นคำพูดหรือตัวอักษร การเป็นคนเฟรนด์ลี่และแอนตี้โซเชียลไปในคราวเดียวกัน การเป็นคนที่เติบโตไปพร้อมกับความสัมพันธ์ยาวนานหกปี หรือท้ายที่สุด การเป็นอนุรักษ์นิยมทว่ายึดหลักความเป็นเหตุเป็นผลซึ่งไร้ยุคสมัย
ถึงตอนนี้คุณอาจจะงงว่าฉันกำลังจะสื่ออะไร ... จริงๆมันไม่มีอะไรมากมายให้ต้องอธิบาย แค่เพียงจะกล่าวว่าทั้งหมดที่เอ่ยมา คือ ตัวฉัน ... ยินดีที่ได้รู้จัก
อ่า.. เข้าเรื่องกันดีกว่า ฉันตั้งใจจะใช้พื้นที่นี้เป็นไดอารี่เกี่ยวกับชีวิตฉัน แต่จะเน้นในแง่มุมหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งก็คือ การเป็นนัก(อยาก)เขียน คุณคงจะงงว่าจะอธิบายความหลากหลายของ Aspects มาทำไมตั้งมากมาย แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าแค่มุมเดียวก็ยังมีเหลี่ยมซ่อนอยู่ด้านในอีกมากมาย
ว่าด้วยแง่มุมของการเป็นเจ้าของกลุ่มคำ
จุดแรกเริ่ม
เริ่มจากตรงไหน?
ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจ อาจจะเป็นการเขียนไดอารี่เล็กๆน้อยๆตั้งแต่ประถม การอ่านนิยายทั้งไทยทั้งเทศจำนวนมาก การอ่านหนังสือเรียนจนสติแตก การเจอเพลงหรือหนังที่ถูกใจ การพบความรู้สึกแปลกใหม่ หรือแม้แต่การมีโทรศัพท์อยู่ใกล้มือ
ปัจจัยอย่างละนิดอย่างละหน่อยล้วนออกแรงดันให้ฉันลงมือ ...เขียนนิยาย
ทว่ามันก็ขอเวลาเก็บพลังไม่น้อย ถึงได้สั่งให้ฉันรั้งๆรอๆอยู่พักใหญ่กว่าจะเริ่มปล่อยนิยายให้มีคนอ่านมากกว่า1คน
หลังจากปล่อยให้เจ้ากองทัพตัวอักษรกินพื้นที่ในเมมโมรี่โทรศัพท์เครื่องแล้วเครื่องเล่าอยู่แรมปี
สุดท้ายก็ผลักฉันลงสนาม
เริ่มอัพนิยายของตัวเองในเว็บอ่านนิยายแห่งหนึ่งในช่วงแสนว่างของการเป็นนักเรียนม.5 ช่วงหนึ่งที่เต็มอิ่มกับการใช้ชีวิต พอๆกับที่เริ่มอืดตัวอักษรจากการตะบี้ตะบันอ่านนิยายจีนโบราณ ไม่ว่าจะเป็นแนววอดีต ปัจจุบัน อนาคต แฟนตาซีเทพเซียน แย่งชิงบัลลังก์ หรือล้างแค้นเผาเมือง สุดท้ายของที่อิ่มตัวก็ทนไม่ไหว ระเบิดตู้มออกมา
ฉันไม่คิดว่ามันจะเวิร์ค ... แต่สุดท้ายมันก็(เหมือนจะ)เวิร์ค
กระทั่งหยุดเขียนไปในช่วง ที่เริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบครั้งใหญ่ก่อนจบม.6 ประกอบกับความตึงเครียดของเนื้อหาที่ทำให้ฉันไปไม่ถูก ความอ่อนหัดของคนเพิ่งเริ่มที่ไม่กล้าตัดสินใจ ลังเลว่าควรจะแต่งตามใจอยากหรือตามใจคนอ่าน
เมื่อนิยายไม่ได้อยู่แค่ในNote มันก็ชักจะยุ่งยาก
จะเอานายเอก ไม่เอานางเอก หรือไม่เอาใครเลย สารพัดคำขอที่ทำเอาหัวหมุน
และมันก็หมุนจริงๆ....
ฉันนี่แหละที่หมุนตัวหนีมันไป ...
ท่ามกลางข้อดีไม่กี่ข้อของฉัน ฉันพบว่า ตัวเองเก่งในการหนีปัญหาอย่างน่าประหลาด หากว่าปัญหานั้นมันไม่กระทบคนอื่น นอกจากตัวฉันเอง
ฉันหนีเก่งจนคุณคงอยากลองตามดู ... แต่อย่าเลย
ผละจากนิยายชวนปวดเศียรแต่น่าภูมิใจเรื่องนั้น ฉันก็เปลี่ยนแนวไปโผล่อีกทวีปหนึ่ง ห่างออกไปไกลพอดู
เส้นทาง Yuri หรือ Girl Love เป็นปลายอุโมงค์ที่ฉันไปโผล่ตัว
แนวที่ฉันไม่เคยได้อ่านเป็นจริงเป็นจังจนช่วงเวลานั้น
สมัยฉันอยู่ประถมปลายถึงมัธยมต้น วงการเพลงเกาหลีแทบจะกินพื้นที่ตลาดไปกว่า80% ได้รับความนิยมจนคนที่ไม่ได้ติ่งก็ดันพลอยติ่งไปด้วย ฉันที่ไม่เคยเสียเงินให้ศิลปินคนไหนก็ยังพลอยซื้อรูปแจจุงของดงบังชินกิมาไว้ในครอบครอง และนำพาให้ฉันเริ่มอ่านนิยายวาย และซึ่งถ้าเป็นนิยายออนไลน์ ฉันก็แทบจะไม่ได้อ่านแนวอื่นเลย
ทว่าท่ามกลางความวายที่ถาโถม(เสริมด้วยการเรียนโรงเรียนหญิงล้วน) ฉันกลับไม่เคยอ่านยูริ
ท่ามกลางความชัดเจนก็ยังพบปริศนา ทุกวันนี้ก็ยังได้แต่แปลกใจ อะไรกันนะที่นำพาฉันมาถึงจุดเปลี่ยน
อาจจะเป็นภาพสักภาพ หรือประโยคในนิยายเรื่องใดสักเรื่อง ฉันเองก็จำไม่ได้
จุดเริ่มต้นของแต่ละเรื่องที่เขียน
งุนงงไม่แพ้เนื้อเรื่อง(ฉันละอยากย้อนกลับไปตอนที่เขียนเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรสุดๆไปเลย) แต่เท่าที่จำได้คร่าวๆ
เรื่องหนึ่งฉันเขียนเพราะ หาแนวนั้นอ่านไม่ได้ทั้งที่เป็นแนวที่ฉันออกจะโปรดปราน อาจารย์-นักศึกษา อาจจะฟังดูหมิ่นเหม่ด้านศีลธรรม แต่ไม่เลยค่ะ ฉันรับผิดชอบต่อสังคมจนตัวเองยังต้องตกใจ :)
อีกเรื่องฉันเขียนเพราะ อยากเขียนเกี่ยวกับคนที่ทำงานด้านกฎหมาย อยากเขียนด้วยสำนวนไดอารี่ เบาๆสบายๆ อยากปลดปล่อยความยียวนกวนอารมณ์ในตัวเองให้ออกมาโลดเล่นเสียบ้าง และที่สำคัญตอนนั้นฉันได้เรียนกฎหมายครอบครัว ...
ไม่ต่างจากอีกเรื่องที่ฉันเริ่มเขียนเพราะ อินท์กับวิชากฎหมายมรดกที่เรียน และเบื่อกับการอ่านหนังสือเต็มที ...
และเรื่องแรกแนวยูริที่ฉันเขียน คงเป็นเพราะ รองเท้าผ้าใบที่กินพื้นที่ในตู้รองเท้ามากขึ้นทุกวันๆเข้ามาดลจิตดลใจ เป็นนิยายที่ฉันพิมพ์ตั้งแต่ต้นจนจบเนื้อเรื่องหลักในโทรศัพท์ ...จบอย่างรวดเร็ว
ใช่ค่ะ มันฟังดูไร้สาระชอบกล แต่มันไม่จำเป็นต้องมีข้ออ้างอะไรมากมายสำหรับการเริ่มเขียนหรอกค่ะ ถึงจะมีข้ออ้างนับพันในการอัพช้า...
เมื่อเริ่มแล้ว
เหนือปัจจัยมากมายที่ควบคุมไม่ได้ ฉันรู้แต่เพียงว่าเมื่อเริ่มเขียน เรื่องราวนั้นจะกลายเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของฉัน ไม่ว่าจะต้องเข็น ต้องขุด ต้องฉุดกระชากด้วยกระบวนท่าไหน หากยังสามารถทำได้โดยไม่เดือดร้อนใคร ฉันก็ต้องจบเรื่องราวนั้นๆให้ได้
แต่เชื่อฉันเถอะ จากประสบการณ์แล้ว ถ้าหากสลัดตัวขี้เกียจและความช่างติสท์ออกไปได้ หากได้ลองนั่งลงหน้าคียบอร์ด นิ้วคุณก็จะรัวไปเอง แม้จะออกไปทะเลไปไกล แต่วนเรือไปมาเดี๋ยวมันก็เข้าที่เข้าทางเองค่ะ
ฉันบอกตัวเองให้พยายามมากขึ้น พยายามแล้วผลลัพธ์ออกมาแบบไหน ก็เป็นเรื่องของอนาคต จะไปยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้ก็ค่อยหาคนปลอบเอาข้างหน้าค่ะ :)
เมื่อเริ่มแล้ว ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
21.02.2019
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in