ลาพิสอายุสิบสี่
เธอย้ายโรงเรียนมาตั้งแต่ตอนอายุสิบสอง ตอนที่เธอจบชั้นประถม เธอเลือกที่จะมาเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งหนึ่งที่ต่างจากโรงเรียนเดิมโดยสิ้นเชิง โรงเรียนนี้ไม่ใช่นานาชาติหรือกึ่งนานาชาติเหมือนแต่ก่อน แต่ก็เป็นโรงเรียนเปิดใหม่ที่มีชื่อเสียงในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี
ที่โรงเรียนนี้เธอมีทั้งเพื่อน มีสังคม ได้มีความสุขกับชีวิตวัยรุ่นที่เด็กทุกคนสมควรจะได้รับ ถึงแม้ว่าในด้านการศึกษาอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ในด้านสังคมและกิจกรรมต่าง ๆ ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ชีวิตเกือบสามปีในโรงเรียนมัธยมเป็นชีวิตที่มีทั้งความสุข ความเศร้า ความตื่นเต้นของการได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ในทุก ๆ ปี
ในปีแรกเธอได้ทำความรู้จักกับเพื่อนที่อยู่ในห้องเดียวกันและได้เป็นเพื่อนกัน
กลุ่มเพื่อนของเธอเป็นกลุ่มใหญ่ราว ๆ สิบห้าคน ซึ่งในตอนแรกเธอมีีความสุขมากที่ได้รู้ว่า เธอจะได้อยู่กับคนเหล่านี้ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้มีเพื่อนมากมายขนาดนี้
ชีวิตของเธอดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนานและมีความสุข แม้มีในบางจังหวะที่เธอรู้สึกโหวง ๆ อยู่ในใจเวลาที่อยู่กับเพื่อน แต่เธอกลับไม่ได้ใส่ใจกับจุดนี้และเลือกที่จะมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียมากกว่า
จนกระทั่งเธอได้มาร่วมห้องกับเพื่อนที่เธอรู้จักมาตั้งแต่ชั้นปีแรกของมัธยมอีกสี่คน ตอนช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 3
ความรู้สึกในครั้งนั้นมันช่างแตกต่างจากครั้งที่ผ่าน ๆ มาเหลือเกิน
เธอรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เธอได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมจากเพื่อน ๆ ที่รักกัน และไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังเลยแม้แต่คนเดียว แตกต่างจากคำว่า ‘เพื่อน’ ในตอนที่เธอยังเด็กไปมากโข
ในตอนนั้นเธอคิดได้ว่ากลุ่มใหญ่ที่เธออยู่ในตอนนั้นอาจไม่ใช่ที่ของเธอ และตัดสินใจถอยตัวเองออกมาเงียบ ๆ
เธอไม่ถือโทษโกรธใครที่ความสัมพันธ์ในตอนนั้นไม่ใช่แบบที่เธอมาเข้าใจในภายหลัง และเชื่อว่านั่นไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นบทเรียนที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต
ช่วงเปิดเทอมช่วงแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นช่วงที่เธอมีความสุขกับการอยู่กับเพื่อน ๆ ทั้งในกลุ่มและในห้องเรียนมากที่สุดในช่วงปีนั้นแล้ว
เพื่อน ๆ ในห้องต่างก็เป็นเพื่อนที่นิสัยเหมือน ๆ กัน เข้าใจกัน มีความสุขด้วยกัน
เธอวาดฝันชีวิตของปีนั้นไว้อย่างสวยงาม และคาดหวังว่าปีนั้นจะเป็นปีที่เธอได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่และมีความสุขที่สุดหลังจากที่อยู่ผิดที่ผิดทางมาแสนนาน
จนกระทั่งเธอได้รู้ว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่
เพื่อนร่วมห้องที่เคยรู้สึกว่าสนิทกัน และเข้าใจกัน ความจริงแล้วกลับเป็นแค่คนที่รู้จักกันแค่ภายนอก และพร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์กันตลอดเวลา
ในงานละครเพลงห้องที่ต้องทำงานร่วมกัน พวกเราทุกคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง และพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อย่างน้อยตัวเธอก็พยายามอย่างสุดความสามารถ
ทุกอย่างในตอนนั้นเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น จนถึงวันแรกของการซ้อม ทุกคนยังคงมีความสุข และสนุกสนาน แต่จุดที่หายไปและแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักคน คือคุณภาพและความคืบหน้าของงาน
จนถึงในครั้งที่สอง เธอและเพื่อนอีกห้าคนก็เริ่มเอะใจขึ้นมาเรี่องนี้ และตัดสินใจที่จะลองคุยกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในห้อง ด้วยความคาดหวังว่าเราจะสามารถปรับแก้ไข และช่วยกันหาทางออกไปด้วยกันได้
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความโกรธเคืองลับหลัง
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่มนุษย์เราจะมีอารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษเมื่อ ถูกกระทบ และก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพื่อน ๆ จะไม่พอใจในสิ่งที่เธอและเพื่อนพูด และเข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกวิจารณ์ ไม่แปลกใจเลยถ้าพวกเขาจะลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองด้วยอารมณ์โกรธและไม่พอใจ
เธอเข้าใจในจุดนี้ดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ที่เพื่อนตอบรับกลับมาด้วยความรู้สึกด้านลบ
เธอไม่ได้เข้าใจมันด้วยใจจริง
จากการไม่พอใจเล็กน้อยของอีกฝ่ายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการด่าทอ และใส่ร้ายป้ายสีเพื่อให้ฝ่ายตัวเองกลายเป็นผู้ถูกกระทำ
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสังคมโรงเรียน แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกที่ มนุษย์มีสัญชาติญาณในการปกป้องตัวเองเหมือนกับสัตว์ ไม่ใช่แค่ทางกายภาพแต่ทางจิตใจก็เช่นกัน
ในตอนนั้นเธอกลับไม่ได้มองเช่นนี้
เธอรู้สึกเศร้าเสียใจและผิดหวังกับแทบทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และในบางจังหวะก็คิดว่า ‘เราไม่ควรมาเจอกันเลย’
ชีวิตแสนสุขที่วาดฝันไว้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีเพื่อนที่รักและคอยอยู่เคียงข้างกันเสมอ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าขาดเพื่อน ๆ เหล่านี้ไปเธอคงอยู่ในจุดที่ตกต่ำเสียยิ่งกว่านี้เป็นแน่
ความขัดแย้งนี้ไม่เคยได้รับการคลี่คลาย แม้จะผ่านมากว่าสามปีแล้วก็ตาม ซึ่งเธอมองว่าเป็นความผิดพลาดในอดีตอย่างหนึ่งที่ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไข
แต่ในเมื่อเราไม่สามารถแก้ไขอะไรในอดีตได้แล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการอ้าแขนรับมันด้วยความยินดี และวางมันลงด้วยการยอมรับ
การคิดวนกับตัวเองกับความผิดพลาดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทำให้เธอได้ค้นพบสัจจะธรรมเรื่องหนึ่งของชีวิตว่า
‘ถ้ายอมรับได้ ก็จะวางได้’
ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ วัน แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ๆ ยอมรับ และเข้าใจ แต่ไม่เอาใจไปข้อง
ต้องยอมรับว่า แค่เพียงแนวคิดนี้แนวคิดเดียวก็สามารถส่งผลทางบวกให้กับชีวิตของเธอมาก ๆ แล้ว
สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการคิดเรื่องเดิมซ้ำ คิดถึงความผิดพลาด คิดถึงเรื่องน่าอายที่ตัวเองเคยทำ และรู้สึกสมเพชกับสิ่งที่ตัวเองที่ได้กระทำลงไป ชีวิตเช่นนี้ไม่เคยมีความสุขเลย เป็นเพราะว่าเธอไม่เคยยอมรับสิ่งเหล่านั้น และปฏิเสธที่จะยอมรับมันโดยไม่รู้ตัว
ความขัดแย้งนี้ไม่เคยได้รับการยอมรับเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งเธอเข้าใจเรื่องนี้ สามปีที่ผ่านมาเธอคิดถึงแต่ความเกลียดชัง และผิดหวังในเพื่อนร่วมห้อง แต่เมื่อเข้าใจ นั่นคือการวางลงและรับรู้เพียงเท่านั้น
บทเรียนชีวิตครั้งนี้อาจเป็นครั้งที่เจ็บปวดที่สุด แต่จะเป็นครั้งที่เธอจำไม่ลืมไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in