วัยเด็กของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
ได้เล่นสนุกกับเพื่อน ๆ มั้ย
ได้มีความสุขหรือเปล่า
หลาย ๆ ท่านคงจะตอบว่า ‘ก็ดีนะ’ หรือไม่ก็ ‘ก็โอเค’
แต่ท่านเคยคิดไหม ว่าวัยเด็กได้สอนอะไรเราบ้าง
วัยเด็กของคนคนหนึ่งที่กำลังจะถูกบอกกล่าวเองก็คงไม่ต่างจากของท่านอื่น ๆ นัก แต่สิ่งที่สามารถทำให้เรื่องราวนี้แตกต่างจากเรื่องราวอื่น ๆ ได้นั้นคือมุมมองและแนวคิด
‘ลาพิส’ (นามสมมติ) เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชีวิตทั่วไป เรียบง่าย และสุขสบาย
เธอเกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง ฐานะค่อนข้างดี และเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนมาตลอดช่วงชีวิตเกือบยี่สิบปี
ในช่วงมัธยม เธอมีผลการเรียนที่โดดเด่นและมีเพื่อน มีสังคมที่มีความสุข ชีวิตของเธอเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีอนาคตที่ดีหากเธอตัดสินใจเรียนต่อตามความต้องการของสังคม
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?
ชีวิตไม่ได้สวยงามและโรยด้วยกลีบกุหลาบ
ในตอนที่ลาพิสยังคงอายุเพียงสามขวบ เธอได้เข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลชื่อดัง ที่ใคร ๆ ก็อยากส่งลูกเข้าเรียน
สิ่งนี้ทำให้เธอได้รู้จักกับคำว่า ‘ความเครียดและความเศร้า’
ลาพิสเองมีกลุ่มเพื่อนอยู่กลุ่มหนึ่งที่มักจะเล่นด้วยกันเสมอ และรู้จักกันมาตั้งแต่เข้าเรียน
กลุ่มนี้เป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ของเด็กสี่คน แต่เธอกลับรู้สึกว่ากลุ่มนี้มีแค่สามคน
เธอคือคนที่สี่ เป็นคนที่เหมือนส่วนเกินของกลุ่ม ไม่มีใครพูดอะไร แต่เธอกลับรู้สึกได้ผ่านการกระทำ ต่อให้ขาดเธอไป คนอื่นก็เหมือนจะไม่ได้รู้สึกอะไรนัก
ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งหรือสองครั้ง แต่กลับเกิดขึ้นในเกือบทุก ๆ วัน แต่ในตอนนั้นลาพิสรู้สึกเศร้าอยู่ในใจเล็ก ๆ แต่กลับไม่ได้มองว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด และคิดว่านี่เป็นสิ่งที่คนเราจะรู้สึกในตอนที่มีเพื่อนก็เท่านั้น
ตอนเธออายุประมาณสี่ขวบเธออาศัยการนั่งรถรับส่งของโรงเรียนเพื่อไปเรียนในทุก ๆ วัน เธอได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ จากต่างห้อง ต่างชั้น
เธอได้รู้จักกับคำว่า ‘น่านับถือ’
เพื่อนร่วมรถคนใหม่ของเธอมีด้วยกันทั้งหมดสองคน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน แม้ในวัยที่ใกล้เคียงกัน แต่ทั้งสองคนนี้กลับทำให้เธอได้เรียนรู้ในหลาย ๆ เรื่องที่เธอไม่เคยได้รู้ และได้รู้จักการมีเพื่อนแบบที่ไม่ต้องรู้สึกว่าถูกละเลย
เธอนับถือเพื่อนคนพี่ของเธอมากและก็ชอบใจเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อายุเท่ากันมากเช่นเดียวกัน น่าเสียดายที่พวกเธออยู่กันคนละห้องทำให้มีโอกาสเจอกันแค่ตอนไปกลับโรงเรียนเท่านั้น
ถ้าได้ย้อนกลับไปเธอเองก็อยากจะจดจำชื่อและใบหน้าของพวกเขาไว้ให้ได้เช่นกัน
สังคมเล็ก ๆ ที่เธออยู่คาดหวังให้เด็ก ๆ เป็นเด็กที่เก่งและฉลาด แม้ในวัยอนุบาล เพื่อที่เด็กเหล่านี้จะสามารถสอบเข้าโรงเรียนชั้นนำในอนาคตได้ และเป็นที่ภาคภูมิใจของครอบครัว
แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้
สุดท้ายแล้วเธอก็ออกจากโรงเรียนในวัยห้าขวบ ด้วยเหตุผลที่ว่าการเรียนการสอนของโรงเรียนมันหนักหนาเกินกว่าที่เด็กห้าขวบคนหนึ่งจะรับไหว
ถ้าลาพิสในวัยมัธยมปลายได้กลับไปอยู่ในจุดจุดนั้น เธอก็คงจะตั้งคำถามกับค่านิยมเหล่านี้ว่า เราจะบังคับให้เด็กอนุบาลเก่งไปทำไม แล้วศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของครอบครัวมันสำคัญที่สุดแล้วจริง ๆ หรือ
ช่วงก่อนที่จะลาออกจากโรงเรียน เธอมักไปเรียนและกลับบ้านมาด้วยอาการปวดท้องอยู่เสมอ ๆ จนพ่อแม่คิดเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้น และสุดท้ายนี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้เธอลาออกจากโรงเรียนเสียก่อน ทั้งที่อีกแค่หนึ่งปีก็จะเรียนจบแล้วแท้ ๆ
เคราะห์ดีที่พ่อแม่เข้าใจ และพาเธอไปสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนใหม่
ต่อมาเธอก็เข้าเรียนในโรงเรียนกึ่งนานาชาติแห่งหนึ่งในเมือง
โรงเรียนแห่งนี้มีการเรียนการสอนที่แตกต่างจากที่อื่น ไม่เน้นวิชาการ แต่เน้นพัฒนาการของเด็ก ๆ ทำให้เธอได้พัฒนาตัวเองไปในแนวทางที่ดีขึ้น
เธอเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ตอนช่วงอนุบาลสาม ซึ่งป็นชั้นปีที่เธอรู้สึกมีความสุขมาก ๆ ในตอนนั้น เพราะเธอได้มีเพื่อนที่ไม่ละเลยเธอ และได้เจอกันในห้อง แตกต่างจากก่อนหน้านั้น
ความสุขครั้งใหม่นี้กลับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่สั้นที่สุด
ไม่นานหลังจากลาพิสเข้าเรียน เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็มากพอที่จะทำให้เด็กห้าขวบคนหนึ่งเข้าใกล้คำว่า ‘ความตาย’ ได้
อุบัติเหตุครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่รุนแรง
ลาพิสจำเป็นต้องหยุดเรียนไปสองเดือนเพื่อพักรักษาตัว สองเดือนนั้นเป็นสองเดือนที่เธอควรจะได้ใช้เวลากับเพื่อน ๆ และทำความรู้จักกัน
น่าเสียดายที่สิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น
หลังจากการพักรักษาตัว เธอกลับมาเรียน แต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตตามปกติได้ไปสักระยะหนึ่ง
ชีวิตของเธอดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างค่อนข้างเป็นปกติสุข
จนกระทั่งเธอขึ้นชั้นประถม
เธอมาค้นพบในวันก่อนเปิดเทอมว่าเพื่อน ๆ ทุกคนในกลุ่มของเธอลาออกกันไปหมดทุกคน เหลือแค่เธอเพียงคนเดียวอีกครั้ง
ราวกับว่าความสุขของเธอได้พังทลายลง
และความสุขที่หายไปนี้ ก็เป็นเหมือนชนวนเหตุของเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของเธอ
ในตอนขึ้นชั้นประถมเป็นช่วงเวาที่พูดได้ว่า เธอไม่มีเพื่อนเลยซักคน อย่างมากก็คือเพื่อนร่วมห้อง เธอพยายามอย่างมากในการเข้ากับทุกคนให้ได้ และพยายามอย่างมากเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและชื่นชอบของเพื่อน ๆ เธอเคยแม้กระทั่งทำบัตรคำถามที่ถามว่า ‘คุณจะเป็นเพื่อนกับฉันไหม?’ และนำไปยื่นให้กับเพื่อนร่วมชั้น
น่าเสียดายที่ความพยายามของเธอไม่เคยเห็นผลเลย
อาจเป็นเพราะความแตกต่างรวมถึงอายุที่ยังน้อยมาก ๆ ของทั้งเธอและเด็กคนอื่น ๆ ทำให้เพื่อนร่วมห้องมองเห็นจุดที่แตกต่างออกไปนั้นของเธอ และเกิดการกลั่นแกล้งขึ้น
จากตอนช่วงแรกที่เป็นแค่การมองด้วยสายตา ก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการพูดแซะ และเริ่มเป็นการพูดจาดูถูก และภายในระยะเวลาสามปีก็แปรเปลี่ยนเป็นการทำร้ายร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักจะปิดจบด้วยการบอกว่าเป็นการหยอกล้อเล่นกันเท่านั้น
แต่คนถูกกระทำไม่เคยรู้สึกล้อเล่นเลยสักครั้ง
ในตอนนั้นเธอมองว่านี่อาจเป็นเรื่องปกติของการมีเพื่อนก็ได้
เธอในเวลานั้นอาจหลงลืมไปว่า
เพื่อนไม่ใช่ใครที่จะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด
ภายในเวลาสี่ปีเธอมีคนที่เธอเชื่อว่าคือเพื่อนสนิท เพื่อนคนนั้นเป็นคนที่เก่ง ฉลาด และน่ารัก ซึ่งตอนนั้นเธอมองว่าต่างกับเธอที่เป็นคนเรียนไม่เก่ง ไม่ได้หน้าตาน่ารักหรือดูดีเหมือนคนอื่น ๆ
แต่เธอสนิทกับเขา แล้วเขาสนิทกับเธอหรือเปล่า ?
ทุกครั้งที่ต้องมีการจับกลุ่มกัน ความรู้สึกในวัยเด็กของเธอก็มักกลับมาเสมอ ๆ เป็นความรู้สึกของการถููกทิ้งไว้ข้างหลัง เป็นดั่งส่วนเกินที่ไม่มีใครต้องการ แม้จะเสียใจ แต่เช่นเดียวกับในวัยเด็ก เธอรับรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเสมอในความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘เพื่อน’
ในหลาย ๆ ครั้งที่เพื่อนร่วมชั้นมักกลั่นแกล้งเธอ เพื่อนคนนั้นไม่เคยช่วยหรือปกป้องเธอเลย เธอเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่อง แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เธอกลับรู้สึกเสียใจ และตั้งคำถามกับตัวเองและความเป็นมนุษย์ว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร ถ้าเกิดมาแล้วจะต้องเสียใจกับชีวิต จะอยู่ไปทำไม
นี่ไม่ใช่คำถามเชิงประชดชีวิตหรือตัดพ้อ แต่คือคำถามที่ถามมาจากใจเด็กสิบขวบคนหนึ่ง
ถ้าเลือกได้ ณ ตอนนั้นเธอก็อยากจะลองหายตัวไปเฉย ๆ และเฝ้ามองปฏิกิริยาของคนรอบตัว
เพื่อน ๆ จะเสียใจหรือเปล่านะ จะมีใครตามหาเธอไหม หรือจะมีใครร้องไห้ให้กับเธอไหม
สุดท้ายแล้วสิ่งนี้ก็เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เธอไม่ใช่คนที่กล้าพอที่จะลงมือทำอะไรที่เป็นไปได้ยาก
ชีวิตของเธอดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้พิเศษอะไร ถ้าเปรียบเป็นรสชาติไอศกรีม ก็คงจะเป็นรสช็อคโกแลต ที่มีทั้งรสขมปนหวาน และธรรมดา
ยิ่งอายุมากขึ้น ลาพิสก็ได้เรียนรู้กับชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองมากขึ้น เด็กคนนี้เกิดการรับรู้ว่า ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีเหตุผล มีจุดเริ่มต้น และทำความเข้าใจกับจุดเริ่มต้นของสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ตัดสิน
อย่างการที่เธอถูกกลั่นแกล้ง เธอเข้าใจว่าเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของสัตว์ที่จะข่มเหงตัวที่ดูอ่อนแอกว่า ไม่แปลกใจเลยถ้าเธอจะถูกรังแกสารพัด เพราะการปรากฏทั้งภายนอกและภายในของเธอคือคำว่า ‘อ่อนแอ’
และเธอก็เข้าใจว่าคนที่มอบความทุกข์ให้กับผู้อื่น คือคนที่มีความทุกข์ และต้องการคนรับฟัง แค่มีการแสดงออกแบบผิด ๆ
เพื่อนร่วมชั้นที่รังแกเธอเองก็มีความทุกข์ มีมุมที่รู้สึกว่าตัวเองด้อย จึงจำเป็นที่จะต้องทำให้คนอื่นด้อยกว่าเพื่อดันตัวเองให้สูงขึ้น
เหตุการณ์เดิม ๆ ที่เมื่อเปลี่ยนมุมมองก็ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์นั้นเปลี่ยนไปและทำให้ชีวิตเธอรู้สึกมีความสุขมากขึ้น
ชีวิตในวัยเด็กอาจไม่ได้สวยงาม แต่ด้วยการเรียนรู้และการเติบโต เราสามารถทำให้ชีวิตของเราในปัจจุบันและอนาคตมีความหมายมากขึ้นได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in