บทนำ
นิรันดร์อาจจะติดอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ยาวนานเทียบเท่าชื่อของเขา พื้นที่เล็กแคบและรกร้าง ไม่ได้ ใช้คำนั้นไม่ได้ มันแค่รกแต่ยังไม่ร้าง ข้าวของที่อัดแน่นอยู่บนชั้นวางมีคนหยิบจับอยู่เสมอ บ้างก็ซื้อกลับไปก่อนจะมีของใหม่มาเติม บ้างก็ถูกวางทิ้งไว้อย่างนั้น กลายเป็นสินค้าที่เรียกกันว่า ‘ขายไม่ออก’
ที่จะบอกก็คือ พื้นที่ที่ว่านี้เป็นเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่ต้อนรับเขา เขาสามารถหายใจอยู่ได้ในบริเวณนั้นอย่างโล่งปอด ปลอดภัย ไม่เสียเวลาเปล่า ในขณะที่ลูกค้าต้องใช้เงินเพื่อแลกของกลับไป สำหรับนิรันดร์ สิ่งที่เขาได้จากที่นี่คือเงิน แลกกับแรงงานและเวลา
ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อสาขาย่อยของนายทุนยักษ์ใหญ่ที่เปิดติดกันเป็นเบือหรอก แต่เป็นตึกสองชั้นโทรมๆ ที่เหมือนร้านขายของเก่ามากกว่า สินค้ามีทั้งของใหม่เอี่ยมที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป จนถึงสินค้าที่ขายไม่ออกตกรุ่นกันมาเรื่อยๆ สะสมกองพะเนินทับถมเป็นภูเขา
“ลูกอมคาราเมลหมดแล้วเหรอ”
คำถามของลูกค้าปลุกนิรันดร์จากความเวิ้งว้างในจิตใจ ซึ่ง สุมรวมกองสูงกว่าของขายไม่ออกนั่นอีก เขาทำงานนี้ติดต่อกันมาสองปีแล้ว การต้องทำอะไรซ้ำซากจำเจตลอดสองปีนั้นบั่นทอนหัวใจจนรู้สึกเหนื่อยหน่ายไม่น้อย ยิ่งกับคนที่ขี้เบื่ออย่างเขาด้วย ให้ตาย
“ให้ตาย”
“ครับ?”
นิรันดร์สะดุ้งเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากออกไป โชคดีที่ลูกค้าง่วนอยู่ในซอกหลืบหนึ่งของชั้นวาง จึงไม่ทันได้ฟัง “ถามหาอะไรนะครับ” เขาบ่ายเบี่ยง
“ลูกอมคาราเมล”
ลูกอมรสคาราเมลไม่เคยเป็นสินค้าที่ขายไม่ออก แต่ก็ไม่ถึงกับขายดิบขายดี เช่นเดียวกับขนมกินเล่นชนิดอื่นที่มักจะมีคนซื้ออยู่เสมอ เรื่องน่าเศร้าก็คือเขาเพิ่งขายลูกอมรสคาราเมลแท่งสุดท้ายไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง
“หมดแล้วครับ”
“หมดแล้วเหรอ” เสียงทวนคำแว่วตอบกลับมา
“สต็อกจะเติมพรุ่งนี้นะครับ” นิรันดร์บอก เผื่อว่า...แค่เผื่อน่ะ...เผื่อว่าถ้าลูกค้าคนนี้กลับมาอีกในวันพรุ่งนี้ จะได้ซื้อลูกอมรสคาราเมลได้ตามต้องการแน่นอน
“อย่างนั้นเหรอ” ลูกค้าหนุ่มพึมพำ วนไปวนมาอยู่ที่ชั้นขนม ก่อนจะหยิบลูกอมรสกาแฟสองถุงใหญ่เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อคิดเงิน
แล้วการซื้อขายของนิรันดร์กับลูกค้าวัยทำงานท่าทางภูมิฐาน ผู้ถามหาลูกอมรสคาราเมลแต่ได้ลูกอมรสกาแฟกลับไปก็จบลงตรงนั้น
อย่างที่บอกไป นิรันดร์ทำงานนี้มาได้สองปีแล้ว เป็นพนักงานประจำร้านสะดวกซื้อเก่าแก่ของคุณยายคนหนึ่งที่อายุมากกว่าตัวร้านเกินเท่าตัว ยายแกเคยเล่าให้ฟังว่าเกือบจะได้ปิดร้านทิ้งไปแล้วหลังจากมีร้านสะดวกซื้อของนายทุนเปิดใหม่อยู่ทุกหัวมุมถนน โชคยังดีที่มีร้านกินดื่มรอบดึกมาเปิดในซอยนี้จนแออัด ย่านที่เคยเปล่าเปลี่ยวก็คึกคักขึ้นมา แล้วความโบราณของร้านก็กลายเป็นจุดขายอย่างคาดไม่ถึง
จะว่าไปสองปีของเขาเทียบไม่ได้เลยกับเกือบชั่วชีวิตของยายแก้วกุดั่น เจ้าของร้านที่ติดอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มายาวนานหลายทศวรรษ
ใกล้เวลาเลิกงานของนิรันดร์แล้ว แต่พนักงานกะต่อไปยังมาไม่ถึง เขาเดินไปหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดร้าน กิจวัตรประจำวันที่น่าเบื่อหน่ายแต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไรหรอก ร้านนี้ทั้งเล็กและคับแคบ สวนทางกับปริมาณสินค้าที่อัดแน่นเต็มไปหมด เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการเลยก็ว่าได้ ยกเว้นลูกอมรสคาราเมล
ประตูร้านถูกเปิดจากด้านนอก หญิงสาวในเสื้อหนังกับกระโปรงกรอมเท้าเดินผิวปากเข้ามาอย่างอารมณ์ดี นิรันดร์เลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าผมที่เคยยาวถึงกลางหลังถูกซอยจนสั้นกว่าผมของเขาเสียอีก
“ไง?” ไพลินส่งเสียงทักทายขณะเดินไปเลือกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นหน้าเหวอๆ ของเพื่อนร่วมงาน
“สวยดี” เขาหมายถึงผม
“ก็ว่างั้น” ตอบโดยไม่หันไปมองหน้าเพราะกำลังกดน้ำร้อนใส่ถ้วยบะหมี่อยู่ เสร็จแล้วก็เดินไปที่โต๊ะเล็กๆ ข้างตู้ปลา นั่งลงกินมื้อเช้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว
นิรันดร์ลงมือทำความสะอาดร้านต่อจนเสร็จ ก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์เพื่อคิดเงินค่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไพลินกินอยู่ในราคาของพนักงาน
“ของหมดเยอะเลย”
ได้ยินเสียงบ่น ไพลินที่จ้วงบะหมี่เข้าปากจวนจะหมดถ้วยก็เงยหน้าบอก “เมื่อวานวันหยุดด้วยแหละ ของน่าจะมาเติมวันนี้แทน”
นิรันดร์พยักหน้ารับทีหนึ่ง เปิดลิ้นชักใส่เงินตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินไปหลังร้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อเตรียมตัวกลับบ้าน นาฬิกาติดผนังกำลังบอกเวลาตีห้าพอดี
ไพลินกินเสร็จแล้วตอนที่นิรันดร์เดินออกมาพร้อมสัมภาระของตัวเอง จะว่าสัมภาระก็กระไรอยู่ เพราะทั้งตัวเขามีแค่เสื้อผ้าที่สวมใส่ รองเท้าผ้าใบคู่เก่ง หมวกแก๊ป และโทรศัพท์มือถือเพียงเท่านั้น
“ไม่กินอะไรก่อนเหรอ” คนที่กำลังให้อาหารปลาทองส่งเสียงถาม ดูเหมือนจะเป็นห่วง หากไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังชูซองอาหารปลาเหมือนจะป้อนให้เขากินจริงๆ และใช่ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยของเธอนั่นแหละ
“ล้างตู้ปลาด้วยแล้วกัน” เขาฝากฝังงานชิ้นใหญ่ก่อนจะเดินเบี่ยงอาหารปลาออกจากร้านไป ได้ยินเสียง “ขอบคุณค่า” ดังตามหลังมาแว่วๆ อย่างประชดประชัน
ชายหนุ่มเดินออกมายืนอยู่หน้าร้าน สูดอากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยมลพิษของเมืองหลวง แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ยังคงมืดสนิท แสงไฟข้างทางติดๆ ดับๆ เหมือนคืนก่อน ทั้งที่เจ้าของร้านแจ้งหน่วยงานให้มาซ่อมตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งที่ต้องรอก่อนเสมอ
นิรันดร์ก้มลงมองก้อนสีดำที่เดินเข้ามาคลอเคลียขาของเขา เป็นแมวจรขาประจำของร้านที่มักจะเข้าไปนอนตากแอร์บ่อยๆ ถ้าเป็นเวลางานเขาคงไล่มันไปแล้ว แต่เพราะตอนนี้ไม่ใช่ เขาจึงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
ไม่นานมันก็เดินนวยนาดหายลับไปกับความมืด นิรันดร์ไม่นึกจะตามไป ไม่มีวันนั้นเสียหรอก เขาทำอย่างที่ควรจะทำคือเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองซึ่งจอดแอบอยู่ข้างร้าน ความจริงแล้วเป็นมอเตอร์ไซค์คันเก่าของเจ้าของห้องแถวที่เขาอาศัยอยู่ มันถูกจอดทิ้งไว้อย่างนั้นหลังจากใช้งานไม่ได้แล้ว นิรันดร์ที่ไปเจอเข้าก็ขอนำกลับมาซ่อมจนใช้ได้อีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเขาก็ถือตนเป็นเจ้าของสมบัติชิ้นเดียวที่เรียกได้ว่าพอมีค่าอยู่บ้างในชีวิตเส็งเคร็งนี้
ชายหนุ่มบิดมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยมีความสลัวของตรอกลับโอบรับ เสียงเพลงและเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังออกมาจากร้านรวงเป็นระยะ คนเมามาย ขยะเหม็นหึ่ง อ้วกเกลื่อนถนน รุ่งอรุณของเขาเป็นเช่นนี้เสมอ
วันนี้ก็ควรจะเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าขณะที่กำลังบิดคันเร่งผ่านถนนคอนกรีตแคบๆ อยู่นั้น กลับมีร่างของใครคนหนึ่งวิ่งออกมาจากข้างทางอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าจะหักหลบทัน เขาขับรถชนใครคนนั้นเข้าอย่างจัง
ทั้งเขาทั้งรถลงไปกองกับพื้น แต่ด้วยความตระหนกเกินขีดจำกัด นิรันดร์แทบไม่รู้สึกถึงแผลถลอกที่แขนข้างซ้าย เขารีบลุกขึ้นไปดูคนที่นอนคุดคู้อยู่บนถนนด้วยความตกใจ
ไม่แน่ใจว่าประโยคแรกที่ถามคืออะไร อาจจะ “เป็นอะไรหรือเปล่า” “ตายไหม” หรือไม่ก็ทั้งสอง เขาสับสนเกินกว่าจะจดจำวินาทีโกลาหลนั้นได้
ร่างนั้นเหมือนลูกหมาข้างถนน เขาหมายถึงเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าเต็มไปด้วยร่องรอยสกปรกที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุเมื่อครู่เพียงเท่านั้น แต่น่าจะผ่านเหตุการณ์อะไรสักอย่างมาก่อนหน้านี้แล้ว
นิรันดร์เห็นว่าอีกฝ่ายยังหายใจอยู่ อีกทั้งร่างกายยังไม่มีเลือดออกแต่อย่างใด อันที่จริงเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อเขาขับมาด้วยความเร็วชนิดที่เรียกได้ว่าเดินเอาก็ได้
“ลุกไหวไหม” เขาถาม เอื้อมมือไปจับแขนของคู่กรณีอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่มีเสียงร้องโอดโอยเลยสักคำ เขาได้ยินเพียงเสียงหายใจเหนื่อยหอบ ก่อนร่างที่นอนคว่ำอยู่นั้นจะพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นิรันดร์กวาดสายตาสำรวจร่างกายของชายหนุ่มจนแน่ใจว่าไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด ทว่าโล่งใจได้ไม่นานก็กังวลเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก เขาจะโดนเรียกค่าทำขวัญหรือเปล่า เงินเดือนยังไม่ออกด้วยสิ
“ให้พาไปหาหมอไหม” ถามไปกี่รอบแล้วนะ แต่ทำไมยังไม่ได้รับคำตอบเลยสักคำ เอาเถอะ อย่างน้อยทำตัวดีๆ ไว้ก่อน เผื่อจะตกลงกันได้แล้วจบๆ ไป
ไฟสลัวทำให้เขามองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ไม่ชัด แต่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน “เมื่อกี้คุณวิ่งตัดหน้ารถผมเองนะ” ว่าแล้วก็เจ็บแขนเลย แขนข้างซ้ายที่ใช้ค้ำตอนรถล้มปวดแปลบจนต้องก้มลงมอง มีรอยถลอกอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับร่องรอยบนตัวของอีกฝ่าย เขาอาจจะเจ็บมากกว่าด้วยซ้ำ
มาถึงตอนนี้ คู่กรณีก็ยังนิ่งเงียบ นั่งมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้นจนนิรันดร์คิดว่าด่ากันสักคำน่าจะดีกว่า เขาหันซ้ายหันขวา เห็นว่าข้างทางที่ชายหนุ่มวิ่งออกมาเมื่อครู่เป็นซอยเปลี่ยวมืด
“ถ้าไม่เป็นไรงั้นผมขอตัวนะ แล้วทีหลังก็อย่าไปวิ่งตัดหน้ารถใครอีก” นิรันดร์บ่นอย่างไม่จริงจังนักขณะพยุงร่างสูงใหญ่ขึ้นยืน ชายหนุ่มยังคงหันไปมองซอยมืดเป็นระยะ แม้จะด้วยสีหน้านิ่งสงบดังเดิม แต่นิรันดร์ก็พอจะอ่านท่าทางนั้นออก
“หนีอะไรมาเหรอ” เขาถามโดยไม่คาดหวังคำตอบ แต่อีกฝ่ายกลับหันมาสบตาเขา แวบหนึ่งที่สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ความเงียบที่ได้รับทำเอานิรันดร์ชักจะกังวลอยู่เหมือนกัน อุบัติเหตุเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มความจำเสื่อมไปแล้วหรือเปล่า ถ้าถึงขั้นนั้นเขาต้องรับผิดชอบอย่างไร
นิรันดร์กังวลเองแล้วก็หายเอง เขาเดินกลับไปยกรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นอีกครั้ง ความชำรุดเดิมของมันทำให้ดูไม่ออกว่าได้รอยใหม่มาจากอุบัติเหตุเมื่อครู่หรือเปล่า เขาสตาร์ทเครื่องอยู่นาน โชคดีที่สุดท้ายยังใช้งานได้อยู่
“เดี๋ยวขับรถไปส่ง”
ร่างที่ยืนงุนงงอยู่หันไปมองคนพูด รอยยิ้มผ่อนคลายของชายหนุ่มที่กำลังบิดคันเร่งไม่ให้เครื่องดับทำให้รู้สึกเบาใจลงได้บ้าง และรอยยิ้มนั้นเองที่เชื้อเชิญให้เขาขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายโดยไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วนเลยด้วยซ้ำ
นิรันดร์ขับรถพาใครก็ไม่รู้ออกไปจากซอยลับ เมื่อเข้าสู่ถนนใหญ่พระอาทิตย์ก็ขึ้นพอดี ยามเช้าเลือนรางพอๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับฝัน เขาเกือบคิดว่านี่เป็นเช้าอีกวันที่ไม่มีอะไรน่าจดจำ จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงศีรษะที่ทิ้งตัวพิงบนแผ่นหลังของเขาอยู่
นิรันดร์จึงรู้ตัวว่าเขาได้รับเอาความยุ่งเหยิงก้อนใหญ่เข้ามาในชีวิตแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in