"โอ้ย มันปังๆๆๆๆๆ, กรี้ดออกมา!!!, แแแแแแแมมมมมม่, นี่มันที่สุดแห่ง 2020!!!!"
นี่คือ 4 วลีที่เวียนกันออกจากปากของเราตลอด 1 ชั่วโมง 45 นาทีที่ผ่านมา สดๆ ร้อนๆ
ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบดูคอนเสิร์ตมากกกกๆ เพราะชอบฟังเพลง และการได้ฟังเพลงที่ชอบสดๆ สักครั้งในชีวิตก็ถือว่าชีวิตคอมพลีทไปอีกขั้น และหากศิลปินที่ชอบจัดคอนเสิร์ตเมื่อไร ฉันต้องไม่พลาด ฉันต้องได้ดู บัตรต้องเป็นของฉัน การไปคอนเสิร์ตก็เหมือนไปเติมไฟให้ชีวิตที่เหี่ยวเฉาจากเรื่องราวแสนฟัคอัพในชีวิต
แต่แล้ว ในปีนี้ โควิด-19 ก็ได้พรากโอกาสต่างๆ ในชีวิตไปเกือบหมด เศรษฐกิจพัง ได้เห็น dark side ของสิ่งรอบตัวได้ชัดเจนขึ้น และ อดไปดูคอนเสิร์ต... อย่างไรก็ดี เมื่ออุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มปรับตัวได้ ทำตัวให้คุ้นชินกับ "new normal" หรือเราขอแปลว่า "ความปกติที่ไม่ปกติ" จึงทำให้อุตสาหกรรมเพลงได้ไอเดียใหม่ๆ ในการเสนอสินค้าให้กับผู้บริโภค ออนไลน์คอนเสิร์ตอย่างเต็มรูปแบบ (และเป็นมากกว่า online live performance ไปแล้ว) จึงถือกำเนิดขึ้น
STUDIO 2054 คือออนไลน์คอนเสิร์ตแรกของศิลปินหญิงชื่อดังระดับโลกอย่าง Dua Lipa เริ่มแสดงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2020 และจะจัดถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2020 รวมเวลา 2 วัน แบ่งเป็น 4 รอบ (streams) ด้วยกัน ซึ่งทั้ง 4 streams นี้จะมีรูปแบบการแสดงเหมือนกัน แต่เวลาแสดงต่างกันตามแต่ละภูมิภาคของโลกซึ่ง stream #1 ถ่ายทอดสำหรับประเทศอังกฤษและทวีปยุโรป, stream #2 ทวีปอเมริกาใต้, stream #3 อเมริกากลางและอเมริกาเหนือ, และ stream #4 หรือการถ่ายทอดครั้งสุดท้ายเป็นโชว์สำหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเป็นรอบที่เราดูนั่นเอง
การจำหน่ายบัตรเข้าชมการแสดงออนไลน์นี้แบ่งเป็น 2 รอบด้วยกันคือรอบ early bird เปิดจำหน่ายวันแรกวันที่ 30 ตุลาคม ถึง 3 พฤศจิกายน ซึ่งหากซื้อบัตรในรอบนี้จะได้ราคาพิเศษ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 375 บาท และหากซื้อหลังจากวันที่ 4 พฤศจิกายนเป็นต้นไป บัตรจะมีราคา 450 บาท การจำหน่ายทั้ง 2 รอบนี้สามารถซื้อผ่านเว็บ Ticketmaster และ LIVENow
แพลตฟอร์มการถ่ายทอดออนไลน์คอนเสิร์ตในครั้งนี้คือ LIVENow เว็บไซต์ถ่ายทอดสดซึ่งมีรายการหลากหลายทั้งกีฬา ดนตรี การออกกำลังกาย ทำสมาธิ และสื่อบันเทิงอื่นๆ
STUDIO 2054 ให้รายละเอียดไว้ว่า
"...เป็นคอนเสิร์ตที่จะพาผู้ชมพุ่งทะยานไปสู่ห้วงอวกาศ ละลานตาไปด้วยบอลดิสโก้ โรลเลอร์ดิสโก้ หมวกบักเก็ต จังหวะคึกคัก เสียงเบสหนักๆ และโดดไปให้สุดในวัฒนธรรมคลับระดับโลกที่ดีที่สุดตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
Studio 2054 เป็น 'ภาพยนตร์สด' ที่มากกว่าแค่การแสดงสดแบบทั่วไป มอบประสบการณ์สุดมันส์เมื่อได้รับชม Dua Lipa ทั้งร้องทั้งเต้น เคลื่อนไหวไปตามจังหวะดนตรี เยื้องย่างในห้องบอลรูม แล้วครอบครองฟลอร์เต้นรำอย่างจริงจังโดยมีเหล่าดารารับเชิญชื่อดัง นักแสดงสุดเซอร์ไพรส์ นักกายกรรม และบรรดาศิลปินในเพลงต่างๆ จากอัลบั้มเปิดตัว"Future Nostalgia" ที่มียอดขายกว่าสองล้านชุด และอัลบั้มใหม่ล่าสุด 'Club Future Nostalgia'
ปล่อยใจ ดื่มด่ำ ตามอย่าง Dua Lipa..."
พูดมาขนาดนี้ ของจริงจะเป็นอย่างไร มาฟังรายละเอียดจากเรากัน
ด้วยความที่ตัวอัลบั้มใหม่ของดูอา ซึ่งก็คือ Future Nostalgia มี Concept ตามชื่อเลย เพลงในอัลบั้มจะมีความยุค '80s มากๆ เป็น Pop Dance (Disco) และ Soul funk/Soul disco ซึ่งดูอากล่าวว่าเธออยากเล่าเรื่องราวที่ชวนหวนคิดถึงวัยเด็กแต่ก็ยังอยู่ในยุคปัจจุบัน และต้องการสื่อสารเรื่องราวของผู้หญิง ที่เธออยากจะผลักดันให้ผู้หญิงมีอำนาจมากขึ้น และสื่อว่าผู้หญิงก็กล้าได้ เสี่ยงได้ ซึ่งเธอกล่าวว่าในวงการเพลงยังไม่มีพื้นที่ของเรื่องราวเหล่านี้มากเพียงพอ
STUDIO 2054 ให้บรรยากาศเป็น Disco Club มากๆ ครบทุก Components ในยุคที่แนวเพลง Disco เฟื่องฟู เช่น Roller Skate ไฟดิสโก้ การแต่งกายเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง Flashdance (1983) จนไปถึง Dance Movement ที่ขยับแล้วรู้เลยว่าเต้นเพลงดิสโก้อยู่แน่ๆ แม้จะลืมเปิดเพลง (อันนี้เปรียบเทียบ) แต่ที่สำคัญไม่แพ้องค์ประกอบการแสดงเหล่านั้นคือ ส่วนประกอบของดนตรีที่เก็บรายละเอียดสำคัญของ Disco ได้อย่างแยบยล ไม่ว่าจะเป็น Open Hi-Hat beat ของกลอง, การใช้ synthesizer, และไลน์ของเบสเป็นโน้ตคู่ 8 แต่ในขณะเดียวกัน Sound มีความทันสมัยมากๆ อาจจะเป็นเพราะว่า Disco และ Soul เป็นแนวเพลงที่มีซาวด์ทันสมัยตาม nature ของมัน
การแสดงตลอด 1 ชั่วโมง 45 นาทีประกอบไปด้วย 19 เพลง ทั้งเพลงจากอัลบั้ม Future Nostalgia, อัลบั้มเก่า, และเพลงจากศิลปินรับเชิญสุดพิเศษ เริ่มจาก Future Nostalgia เพลงที่ชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้ม, Levitating, Pretty Please, Break My Heart, เพลงพิเศษที่ยังไม่ได้ปล่อย ร่วมกับ FKA Twigs (ติดตามรายละเอียดได้ข้างล่าง,) Physical, Boys Will Be Boys, Hollaback Girl (Gwen Stefani,) Cool, New Rules, Prisoner (with Miley Cyrus,) Un Dia (with J.Balvin, Bad Bunny, และ Tainy,) Fever (With Angèle, One Kiss, Real Groove (With Kylie Minogue,) Electricity, Rocket Man (from Elton John,) Hallucinate, และปิดท้ายด้วย Don't Start Now.
ความงดงามของการแสดงที่เราอยากบอกต่อ
1. Collaboration กับศิลปินมากมาย
- The Blessed Madonna ดีเจ นักดนตรี และโปรดิวเซอร์ ที่ก่อนหน้านี้ได้ร่วมงานกับดูอาในอัลบั้ม Remix ล่าสุด คือ Club Future Nostalgia ในการแสดงครั้งนี้ The Blessed Madonna ได้ rearranged เพลงของดูอาให้มีสีสันมากขึ้น เช่น Boys Will Be Boys จากแนว Chamber Pop Ballad ให้กลายเป็น Edm remix เผ็ดๆ ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเริ่มแรก เพลงดังกล่าวใช้เครื่องดนตรีจำพวกเครื่องสาย เช่นไวโอลิน และใช้เปียโน กลอง รวมถึงมีเสียงประสาน หรือ Harmony ที่หนักแน่น ส่วนแบบ remix ก็ได้กลายเป็นเพลงแดนซ์กระจาย ซึ่งก็เพราะไปอีกแบบ นอกจากนี้ The Blessed Madonna ได้หยิบเพลง hip hop สุดฮิตในช่วงปี 2000 อย่าง Hollaback Girl ของ Gwen Stefani มา remix ใหม่ กลายเป็น EDM เช่นเดียวกัน
- FKA Twigs เป็นศิลปินนักร้องนักแต่งเพลง การแสดงครั้งนี้เธอมาโชว์เพลงใหม่ที่ร่วมทำกับดูอา โดย FKA Twigs แสดง Pole Dance ที่งดงามมากๆ ประกอบกับเพลง collab ใหม่นี้
- Miley Cyrus นักร้องชาวอเมริกัน เธอแสดง Prisoner เพลงใหม่ที่ร่วมสร้างสรรค์กับ Dua Lipa ตัวเพลงได้ปล่อยมาเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้เอง โดยในโชว์นี้เป็นการแสดงของทั้ง Miley และ Dua ผ่านจอโทรทัศน์แบบอนาล็อก ล้อไปกับ Music Video ของเพลง
- J.Balvin, Bad Bunny, และ Tainy ศิลปินทั้ง 3 คนได้ร่วมงานกับดูอาในเพลง Un Dia ยอดวิวและสตรีมเพลงนี้ถล่มทลายดังนั้นจึงพลาดไม่ได้ที่จะไม่นำเพลงนี้มาแสดงในงาน โดยศิลปินทั้ง 3 คนได้ร่วมแสดงในออนไลน์คอนเสิร์ตนี้เช่นกัน
- Angèle นักร้องชาวเบลเยียมที่เพิ่งมีผลงานร่วมกับดูอาไปในเพลง Fever เพลง collab ของดูอาที่เราชอบที่สุด ในการแสดงนี้เธอได้ร้องร่วมกับดูอาแบบตัวจริงๆ มาแบบ physical เลย ซึ่งทำให้เรารู้สึกคอมพลีทมาก เพราะชอบเสียงของทั้งสองคนเวลาร้องด้วยกันมากๆ
- Kylie Minogue ศิลปินและนักแสดงผู้โด่งดัง เธอได้แสดงเพลง Real Groove ที่เป็นเพลงของเธอเอง โดยในเวอร์ชั่นนี้ ดูอาได้ร่วมร้องด้วย
- Elton John ศิลปินผู้เป็นตำนานจากประเทศอังกฤษ แสดงเพลง Rocket Man ในคอนเสิร์ตครั้งนี้
2. บรรยากาศและสถานที่ถ่ายทอดสด
ห้องสตูดิโอที่ใช้แสดง มันมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าสามารถเล่น roller skate ได้ 10 คนสบายๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะชนกัน ทั้งคอนเสิร์ตมีหลายโซนมาก ดูอาเต้นๆ เดินๆ พาเราไปที่โซนต่างๆ ซึ่งไม่รู้สึกว่าซ้ำกันเลย และการตกแต่ง props แสงสีต่างๆ มีีความ 80s มากๆ เช่นช่วงแรกเป็นภาพฟุ้งๆ แต่งตัวสีเงินๆ ระยิบระยับ การแต่งกายของ dancers
3. Choreography
ทีมแดนซ์นำเสนอท่วงท่าที่ดูแล้วรู้สึกเอนจอยไปกับพวกเขาได้ง่ายๆ เป็นท่าเต้นที่สื่อถึงยุค 80s ได้ดีมาก มันรวบรวมมูฟเม้นการขยับตัวเต้นใน disco club ผลิตมาเป็นท่าเต้นที่สวยงามและ refreshing
4. การจัดลำดับภาพ
กล้องในงานมีหลายมุม แล้วลำดับภาพฟีลเหมือนดูภาพยนตร์อยู่จริงๆ ไม่เหมือนดูสดเลย จังหวะการเปลี่ยนมุมกล้องดีมากๆ ทำให้การแสดงไม่น่าเบื่อ
5. Transition จากเพลง Hallucinate มายัง Don't Start Now
เพลง Hallucinate เป็นเพลงก่อนสุดท้ายของออนไลน์คอนเสิร์ตนี้ เพลงนี้อยู่ในคีย์ B Flat Minor ซึ่งตอนช่วงท้ายของเพลงได้ rearrange ใหม่โดยทำให้ตอนท้ายบรรเลงดนตรียาวขึ้น โดยเริ่มจากการกด chords คีย์บอร์ด เป็น rhythm ของเพลง Don't Start Now ในคีย์ B Flat minor ซึ่งเหมือนเป็น spoiler นำไปสู่เพลงต่อไป หลังจากกดคอร์ดสปอยล์มาแล้ว ก็ต่อด้วยโซโล่กลองแบบ Open Hi-Hat beat จังหวะดิสโก้สุดคลาสสิก แทรกด้วยเสียงซินธ์ กีตาร์ และหยอด percussion และซาวด์ของ Don’t Start Now จนในที่สุดก็ได้เข้าสู่เพลงจริงๆ ดนตรีเปลี่ยนเป็นคีย์ B minor สูงกว่าเพลงก่อนหน้าครึ่งเสียง เริ่มด้วยการกดคอร์ดด้วย rhythm ที่เป็นเอกลักษณ์ของเพลงนี้ เราว่าเป็นช่วงที่ครีเอทีฟดี transition ระหว่างสองเพลงนี้ละมุนมาก และมันส่งให้ Don't Start Now มีพลังมาก สมกับที่เป็นเพลงที่ปังที่สุดในอัลบั้ม ทั้งยอดสตรีมใน Spotify ที่พุ่งสูงเกิน 1.2 พันล้านสตรีม และไต่ชาร์ท Billboard Hot 100 ได้สูงสุดที่อันดับ 2 และล่าสุดได้รับเสนอชื่อเข้าชิง Grammy Awards ถึง 3 รางวัลด้วยกัน โอโห Song of The Year ชัดๆ เลยนะเนี่ย
กลับมาต่อที่รายละเอียดเพลง Don't Start Now, เป็นเพลงแนว Soul Funk/Soul Disco ที่เชื่อว่าหลายๆ คนได้ยินแล้วร่างกายขยับโดยอัตโนมัติ จังหวะของเพลงมันเชื้อเชิญให้เราเต้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ bass line ที่โดดเด่น เล่นคู่ 8 หรือโน้ตเดียวกันสลับ octave ไปมา จริงๆ ในเพลง original ใช้เบส plug-in รวมถึงเสียงกลอง แต่ในออนไลน์คอนเสิร์ตครั้งนี้ใช้เครื่องดนตรีจริงทุกชิ้นในการบรรเลง Don't Start Now aka SOTY และที่น่าสนใจอีกประการคือได้เพิ่มช่วง Breakdown เข้าไป ปล่อยดนตรีโซโลแบบสวยๆ เพราะม้ากกกกกก ส่วนการแสดงตอนนี้ก็เต้นแบบคู่ ฟีลเต้นรำ โซสเปเชียล
STUDIO 2054 คือออนไลน์คอนเสิร์ตที่ดีที่สุดแห่งยุค
Performances ที่เอเนอจี้ไม่ตก หลากหลาย และพีคขึ้นเรื่อยๆ สถานที่ถ่ายทำแสนเริ่ด และดนตรีที่เล่นประกอบกับเสียงร้องของ Dua Lipa ประกอบกันทำให้ผู้ชมรู้สึกเอนจอยเหมือนมาดูเองที่ STUDIO 2054 จริงๆ
Dua Lipa ผสมผสานเรื่องราววันเก่าๆ ให้ออกมาเป็นบรรยากาศราวกับอยู่ใน Future Disco Club หากใครได้รับชมคงรู้สึก nostalgic และอยากพุ่งทะยานสู่อนาคตไปพร้อมกับเรา
p.s ตอนนี้สามารถซื้อวิดีโอรับชม STUDIO 2054 ย้อนหลังได้แล้วในเว็บไซต์ live-now.com หรือคลิก ที่นี่
*บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 2737110 Music Appreciation
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in