เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รวมเรื่องสั้น: As I Was Moving Ahead Occasionally I saw Brief Glimpses of Lifeนาวสาวลูกโป่ง.
ความเป็นจริง
  •        ๑

              หากนี่เป็นหนึ่งในฉากจากหนังโรแมนติกก็คงจะเป็นตอนที่ตัวเอกทะเลาะกับคนรักมาหมาดๆ นั่งร้องห่มร้องไห้ขณะเหยียบคันเร่งรถเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฝ่าฝนที่ตกลงมาเป็นสายอย่างไม่ท่าทีว่าจะหยุด คงจะสร้างความสะเทือนใจให้ผู้ชมได้ไม่น้อย หากตัวเอกโดนรถชนเสียชีวิตก่อนที่จะได้เคลียร์กับคนที่ตนรัก

              ตัดภาพมาที่ความเป็นจริง ฝนที่ตกลงมาทำให้ท้องถนนในเมืองกลายเป็นอัมพาต อย่าว่าแต่จะเร่งความเร็วรถเลยแค่ขยับขึ้นหน้าสักหนึ่งเซนติเมตรยังยาก แทนที่จะรู้สึกเศร้ากลับกลายเป็นหงุดหงิดมากกว่า คนส่วนมากบนท้องถนนเพิ่งเอาชีวิตรอดจากการทำงานอันสาหัสสากรรจ์ แทนที่จะได้กลับบ้านทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆสบายๆละลายความรู้สึกเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน แต่กลับต้องมาติดแหง็กอยู่กลางถนนกับดีเจในคลื่นวิทยุที่พูดแต่เรื่องราวชีวิตรักรันทดของชาวบ้าน ต้องมาเจอแบบนี้ก็เริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะรายการวิทยุทำเศร้าหรอก แต่เพราะว่า ‘เหนื่อย’ ต่างหาก

               แสงไฟท้ายรถกับแสงนีออนข้างทางแข่งกันสะท้อนเม็ดฝนยุบยับจนแสบตา เสียงเครื่องยนต์กับเสียงดีเจตีกันระงมจนน่าหนวกหู ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็รู้สึกหงุดหงิดไปหมด ตอนนี้รถติดเป็นแถวยาวจนมองไม่เห็นหัวเห็นท้าย แถมยังไม่มีท่าทีว่าจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ราวกับว่าจะเป็นแบบนี้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ดวงตาหนักอึ้งค่อยๆปิดลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจหนักหน่วงเหมือนปลดปล่อยโลกทั้งใบที่แบกไว้ในอก

              รถบนถนนยังคงหยุดนิ่งราวกับปราศจากเวลา ผ่านมาแค่ห้านาทีก็รู้สึกเหมือนกับกินเวลาเกือบทั้งชีวิต ดีเจวิทยุคั่นรายการดราม่าความรักด้วยเพลงอกหักที่เคยได้ยินอยู่บ่อยๆแต่นึกไม่ออกว่าได้ยินมาจากไหน จะว่าไปชาร์ตเพลงตอนนี้ก็มีแต่เพลงรักเกลื่อนตลาดไปหมด แต่ก็นะ สมัยนี้ถ้าอยากแต่งเพลงให้มันฮิตก็ต้องเป็นเพลงรัก โดยเฉพาะเพลงอกหักเศร้าๆ ยิ่งเศร้าเท่าไรคนฟังยิ่งชอบ

               คงเป็นเพราะชีวิตคนเรามันห่วยเกินไป ผู้คนเลยโหยหาความรักเพื่อมาเติมสีสันให้ชีวิตที่แสนจะธรรมดาของตัวเอง ถ้าจะต้องใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ มันก็คงจะน่าเบื่อซะจนไม่อยากใช้ชีวิตต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว ลองนึกภาพตัวเองตื่นเช้าอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันกินข้าวออกไปทำงานรถติดกลับบ้านรถติดพอถึงบ้านก็นอน วนซ้ำๆอย่างนี้ทุกวัน กว่าจะครบหนึ่งปีก็สามร้อยหกสิบห้าวันวันละยี่สิบสี่ชั่วโมงรวมเป็นแปดพันเจ็ดร้อยหกสิบวัน แค่คิดก็ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว อย่างน้อยมีความรักเข้ามาทำให้ชีวิตปั่นป่วนนิดๆ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความรักที่ดี แต่อย่างน้อยก็คงสร้างความตื่นเต้นเล็กๆให้ชีวิตหายน่าเบื่อได้บ้าง 

    [ฮัลโหล สวัสดีครับ]

    [สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ากำลังเรียนสายคุณอะไรคะ]

    [เอครับ]

    [เอาล่ะค่ะ คุณเอคะ วันนี้คุณเออยากระบายกับเราเรื่องอะไรค่ะ]

    [ผม...เคยแอบชอบเพื่อนสนิทตัวเองครับ พอดีว่าไม่นานมานี้มีโอกาสได้เจอกัน…]

              บนถนนสายหลักมุ่งสู่ชานเมืองในที่วันฝนตกมีทั้งเสียงฟ้าฝนที่เทมาแข่งกับเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์รถและโหวกเหวกโวยวายของผู้คนข้างทางฟังแล้วช่างแสนจะวุ่นวาย หากแต่ภายในรถเก๋งสีขาวกลับมีเพียงบทสนทนาในวิทยุคลอไปกับความเงียบ

  •           มองออกไปข้างฟุตบาทปรากฎกลุ่มเด็กวัยรุ่นสวมชุดนักเรียนสามสี่คนเดินคุยกันอย่างสนุกสนานมีฉากหลังเป็นตึกสูงแสะแสงไฟยามค่ำคืนของเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหลและสายฝนที่ตกลงมาเอื่อยๆ เป็นภาพที่ทำให้โลกนี้ดูสดใสขึ้นนิดหน่อย ก็คงจะจริงอย่างที่เขาว่า ‘เมื่อไรที่เรารู้สึกอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เมื่อนั้นเราได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์แล้ว’ ฉันในตอนนี้คงจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว

               กลุ่มเด็กวันรุ่นวันนี้ทำให้ฉันนึกถึงเมื่อวานที่มีโอกาสได้ไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่ชาตินึงจะรวมตัวกันได้สักที สมัยก่อนยังเล่นกันเป็นเด็กๆอยู่เลย ตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว รู้สึกแปลกดีเหมือนกัน

              ความจริงแล้วเพื่อนกลุ่มนี้มีกันประมาณสิบกว่าคน แต่แค่นัดกันมาได้เกือบสิบคนก็นับว่ามีบุญมากแล้ว ลำพังหลังจบมัธยมต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปเรียนต่างสาขา ต่างคณะ ต่างมหาลัยก็แทบจะไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เข้าวัยทำงานกันหมด จะหวังให้มากันครบองค์ประชุมก็คงต้องพึ่งปาฏิหาริย์

              “มึงๆ ได้ข่าวว่าได้เลื่อนตำแหน่ง ดีใจด้วยนะ”

              “ขอบใจมาก”

              “ได้เงินเดือนเพิ่มด้วยล่ะสิ อย่างนี้ต้องเลี้ยงเพื่อนแล้วล่ะ”

              “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ได้เพิ่มก็ใช้เพิ่มอยู่ดี”

              “แหม! กูก็ล้อเล่น ทำเป็นจริงจังไปได้”

              ท่ามกลางเสียงหัวเราะเฮฮาหยอกล้อของกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงสมัยที่เรายังเป็นนักเรียน พวกผู้ชายพากันไว้ผมยาว ไว้หนวดไว้เครา ไม่มีใครตัดลองทรงอีกต่อไป พวกผู้หญิงก็ไม่มีใครที่ยังคงถักเปียและผูกโบว์อีก ชุดเครื่องแบบนักเรียนก็ไม่มีใครใส่แล้ว นอกจากแก่ลงนิดหน่อยตามอายุ หน้าตาทุกคนก็ไม่ได้ไปต่างจากเดิมสักเท่าไร ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่อะไรบางอย่างบอกกับฉันว่า ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกับในภาพทรงจำของฉันไม่เว้นแม้แต่ตัวฉันเอง

              “เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม”

              “ก็เรื่อยๆ แล้วแกล่ะ”

              “ก็ดี”

              “ไม่เจอกันตั้งนาน กลายเป็นพนักงานเงินเดือนไปซะแล้ว”

              “ไม่ต่างกันหรอก แล้วที่ทำงานใหม่เป็นยังไงบ้าง”

              “ก็ดี...งานหนักคุ้มกับเงินเดือนดี”

              “เหรอ”

              “อืม”

              “...”

              “ไม่ไปคุยกับพวกนั้นเหรอ”

              “กะว่าดื่มหมดแก้วแล้วจะไป”

              “โอเค งั้นตามมานะ”

              การพูดคุยเริ่มต้นและจบลงอย่างราบเรียบ ช่างเป็นบทสนทนาระหว่างเพื่อนสนิทที่จืดชืดเสียจริง ไม่มีเรื่องวีรกรรมสมัยเด็กที่เป็นแก๊งตัวป่วนประจำห้อง ไม่มีเรื่องที่ต้องลาครูให้ตอนที่มันโดดเรียน ไม่มีเรื่องที่ซุบซิบกันหลังห้องจนครูไล่ออกไปคุยกันข้างนอก ไม่มีเรื่องที่แอบหลับหลังห้องคาบวิทยาศาสตร์ ไม่มีเรื่องทีเอาของขวัญวาเลนไทน์ที่รุ่นน้องให้มาแบ่งกันกิน ไม่มีเรื่องโกรธกันเพราะงานกีฬาสี ไม่มีเรื่องออกทริปขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยกัน ไม่มีแม้กระทั่งความพยายามที่จะรื้อฟื้นเรื่องราวความหลังที่เคยส่งข้อความบอกชอบมันในวันเอพริลฟูลส์เดย์ ปล่อยให้คำสารภาพกลายเป็นคำโกหกที่ถูกลืมไปพร้อมกับวันเมษาหน้าโง่ของปีนั้น

              ในหนังที่เคยดูบอกไว้ว่า “จะก้าวไปข้างหน้า ต้องทิ้งบางอย่างไว้ข้างหลัง” การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็คงจะไม่ต่างกัน

  •           ฉันเคยมีความฝันว่าอยากเปลี่ยนโลกอันแสนโสมมนี้ให้มันน่าอยู่ขึ้น เผื่อจะทำให้รู้สึกอยากอยู่ต่อนานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ก็เป็นแค่ความฝันเพราะความจริงแล้วมนุษย์เราไร้กำลังเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แม่กระทั่งเราตัวเอง

              มนุษย์ถูกสร้างมาให้ใฝ่ฝันถึงอิสรภาพ เมื่อครั้งยังเด็กฉันเฝ้าคอยวันที่ตัวเองจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ฉันจะสามารถใช้ชีวิตตามที่ใจปรารถนา นั่นคือความหมายของอิสรภาพในมุมมองของฉันในวัยเด็ก

              ตอนเข้าเรียนมหาลัย ฉันมั่นใจว่าฉันเข้าใกล้คำว่า ‘อิสรภาพ’ มากที่สุด ถ้าไม่ติดเรื่องที่ถูกบังคับให้สวมชุดนักศึกษา เรื่องที่ต้องเข้าร่วมพิธีต่างๆเพื่อแลกกับคะแนนกิจกรรม เรื่องที่เสนอความคิดไม่ได้แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่อาจารย์เน้นย้ำเสมอว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้อยู่ดี ฉันคิดว่าถ้าจบไปแล้วกลายเป็น ‘ผู้ใหญ่จริงๆ’ ก็คงจะไม่ต้องสวมชุดนักศึกษา ไม่ต้องเข้ากิจกรรม แถมยังแสดงความคิดตัวเองได้อย่างเต็มที่ เมื่อถึงเวลานั้นฉันคงจะมีอิสระมากกว่าที่เป็นอยู่

              จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ทั้งๆที่ฉันก็โตขึ้นมากจากเมื่อก่อน แต่อิสรภาพก็ยังคงเป็นสิ่งที่ฉันเฝ้าฝันหา แม้ว่าไม่เคยจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมันสักครั้งเดียว เรื่องน่าขันคือตั้งแต่เล็กจนโต อิสรภาพก็ยังคงเป็นเพียงภาพความฝันอันเลือนรางที่คอยย้ำเตือนให้ฉันยังมีความหวังกับโลกใบนี้

              ฉันเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ไม่รวมเสาร์อาทิตย์ที่เป็นวันหยุดแต่ก็ต้องมาทำงานนอกเวลาอยู่ดี บางครั้งอยากจะออกไปเที่ยวก็ไม่มีเวลา บางทีก็คิดอยากจะลาออกงานให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ถ้าทำอย่างนั้นครอบครัวก็คงจะลำบาก ไหนจะตัวเอง ไหนจะพ่อแม่ ไหนจะน้องที่ยังเรียนไม่จบอีก หยุดคิดไปได้เลย

              ว่ากันว่า ‘ความจริงมันโหดร้าย’ โลกใบนี้ได้สอนฉันให้รู้ถึงความจริงอันโหดร้ายที่สุดแล้ว ความจริงที่ว่า ‘อิสรภาพเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก’

              พอมาลองคิดดูดีๆ อิสรภาพได้หมดไปตั้งแต่ฉันถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้แล้ว สุดท้ายโลกนี้ก็เป็นกรงขังดีๆนี่เอง เป็นกรงขังที่มีเวลาคอยกัดกินพลังชีวิตให้หมดไปอย่างช้าๆ

              จากเคยเป็นเด็กที่สะพรั่งด้วยพลังแห่งชีวิต รู้ตัวอีกทีฉันก็กลายเป็น ‘ผู้ใหญ่’ แบบที่ฉันเคยเกลียดไปเสียแล้ว มืดมน ห่อเหี่ยว ตื้นเขิน และไร้ชีวิตชีวา ตื่นมาตอนเช้าไปทำงาน เย็นมาก็กลับบ้าน วันๆเอาแต่คิดเรื่องความสำเร็จ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องเงิน มีเพียงเปลือกให้คนนอกมองเห็นเพียงเท่านั้น สุดท้ายแล้วฉันก็กลายเป็นฉันในแบบที่ตัวเองไม่เคยต้องการ

              ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่ไม่มีสิทธิตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลงนี้ ฉันเพิ่งรู้ตัวเมื่อบทสนทนาของกลุ่มเพื่อนมัธยมที่เคยสนุกสนานและไร้สาระถูกแทนที่ด้วยการพูดคุยที่จริงจังเกี่ยวกับเรื่องงาน เรื่องปากท้อง เรื่องครอบครัว เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง เรื่องเงิน…

    ทำงานอะไร

    ตำแหน่งอะไร

    ได้เงินเดือนเท่าไร

    แต่งงานมีลูกหรือยัง

              สิ่งที่น่าเศร้าก็คือเราทุกคนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในกลไกนี้ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่และไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม

  •           ภายใต้ความกดดันจากสังคมและคนรอบข้างที่ทับถมลงมาจนแทบหายใจไม่ออก ตัวฉันยังคงมีชีวิตอยู่ แม้จะทรมาณแสนสาหัสจากความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ แต่ตราบใดที่ร่างกายภายนอกยังมีลมหายใจ ฉันยังคงมีชีวิตอยู่

              สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตสั่งให้เอาตัวรอดด้วยการใช้จิตนาการมาเป็นสิ่งเติมเต็ม ภาพงานแต่งงานอันสวยหรู ชุดเจ้าสาวสีขาวฟูฟ่องประดับประดาด้วยดอกไม้สีขาวงดงามดังภาพวาด ช่อดอกไม้หลากสายพันธุ์ในมือเป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวที่มาร่วมงาน เจ้าบ่าวสวมชุดทักซิโด้สีขาวดั่งเจ้าชายจากดินแดนแห่งความฝัน ทั้งสองจับมือกันก่อนเจ้าบ่าวจะจุมพิตเจ้าสาวเหมือนเป็นคำสัญญาว่าเจ้าชายที่จะพาเจ้าหญิงไปพบความความสุขชั่วนิรันดร์กาล

              หากนี่เป็นละครก็คงจะจบเอนเครดิตด้วยภาพครอบครัวในฝันพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในปราสาทหลังใหญ่พร้อมรถครอบครัวเจ็ดที่นั่งสำหรับขี่เล่นในวันหยุดสุดแสนพิเศษ แต่เปล่าเลย ความเป็นจริงไม่เคยมีเจ้าชายและเจ้าหญิงแบบในนิยายรักแสนโรแมนติก ชีวิตดำเนินต่อไปด้วยการทำงานหาเงินผ่อนรถผ่อนคอนโดที่ใช้เวลาเกือบค่อนชีวิต ไหนจะเปิดซองงานแต่งจ่ายค่าจัดงาน จัดแจงเรื่องค่าสินสอด เตรียมบัญชีเลี้ยงลูก ไม่มีอะไรเลยสักอย่างที่พอจะนิยามได้ว่าโรแมนติก นิยายรักส่วนมากสร้างภาพสวยหรูของความรักที่จบลงด้วยการแต่งงานอย่างมีความสุข แต่ไม่เล่าเหตุการณ์หลังจากนั้น เหตุการณ์ที่ความรักถูกกลืนกินด้วยความห่วยใยจากผู้คนใกล้ตัวจนแปรเปลี่ยนเป็นความกดดันและแตกสลายในที่สุด

              ฉันอยากจะเปิดประตูลงจากรถ แล้ววิ่งฝ่าฝนออกไปทิ้งรถที่ยังผ่อนไม่หมดไว้ข้างหลัง ท่ามกลางสายฝนที่ยังตกอย่างต่อเนื่อง น้ำฝนเย็นชุ่มฉ่ำช่วยปลอบประโลมหัวใจที่สุดแสนจะอ่อนล้าของชนชั้นกลางผู้หาเช้ากินค่ำ ฉันโยนรองเท้าคัชชูชุ่มน้ำทิ้งไปแล้วเดินด้วยเท้าเปล่า นาฬิกากันน้ำจากตลาดที่เริ่มมีไอเกาะบนหน้าปัดก็ถอดทิ้งไป สองขาเริ่มออกวิ่งไปบนฟุตบาทสวนทางกับรถยนต์นับแสน ไอร้อนจากพื้นถนนทำให้น้ำที่ขังอยู่กลายเป็นน้ำอุ่น ความอบอุ่นจากปลายเท้าที่สัมผัสพื้นกระจายไปทั่วทั้งร่างราวกับจะฟื้นฟูชีวิตที่แห้งเหี่ยวให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง สองแขนที่ค่อยๆกางออกกลับสยายกลายเป็นปีกสีขาวบริสุทธิ์ตัดกับท้องฟ้าสีดำนิลกาล สองปีกโหมกระพือพาร่างกายและจิตใจอันหนักอึ้งลอยเหนือพื้นดินสู่ความไม่สิ้นสุดของท้องฟ้ายามค่ำคืน เมฆฝนค่อยๆแหวกออกเผยให้เห็นถึงดวงดาวนับล้านที่แข่งขันส่องแสงประกายระยิบระยับตระการตา

    ชั่วขณะนั้น ฉันได้เข้าใจความหมายของ ‘อิสรภาพที่แท้จริง’

    ฝนเกือบหยุดตกแล้ว แอ่งน้ำบนพื้นสะท้อนแสงไฟบนท้องถนนวูบวาบจนปวดตา กลิ่นฝนเคล้ากับไอร้อนจากพื้นถนนทะลักล้นกระแทกจมูก กระจกรถของรถเก๋งสีขาวประปรายด้วยหยดน้ำฝนเผยให้เห็นภาพรางๆของคนขับที่อยู่ภายในซบหน้าแนบกับพวงมาลัย บทสนทนาจากวิทยุดังอู้อี้ลอดออกมานอกรถก่อนจะถูกคั่นด้วยเพลงอีกครั้ง ขบวนรถเริ่มขยับหลังจากผ่านไปนานเท่าไรก็จำไม่ได้ เพลงฝนของเบิร์ดกะฮาร์ทจากวิทยุที่เปิดให้เข้ากับบรรยากาศในวันฝนตกกลบเสียงสะอื้นอันเปลี่ยวเหงาของบรรดาตึกระฟ้าที่ตั้งตระหง่านกลางมหานครแห่งน้ำตา


    จบ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in