เราต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง
เพื่อแลกกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ..
เย็นวันนึงมีโอกาสได้ไปวิ่งที่สนามกีฬาในมหาลัย
นัดเจอกับเพื่อนคนนึง เป็นเพื่อนสมัยม. 6 ที่เคยนั่งติดกันที่แถวหลังสุดของห้องเรียน
จำได้ว่าเราชอบอ่านหนังสือแนวๆเดียวกัน เลยจะเอาหนังสือเล่มหนึ่งไปให้อ่าน
‘จริงตนาการ’ที่แต่งโดย Mister Tompkin เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่อ่านง่าย แปลก และชวนคิด
ทำให้คนอย่างฉันสามารถอ่านมันได้โดยไม่เบื่อ และพอค้นตู้หนังสือที่บ้านดูจริงๆก็พบว่ามีหนังสือเล่มนี่ 2 เล่มในครอบครอง
ประเด็นคือการวิ่งวันนั้นเริ่มด้วยการเดินคุยกันไปเรื่อยๆรอบสนาม
เราคุยกันเรื่องที่ว่า 'จบแล้วจะทำอะไรต่อ?'
ฉันเป็นคนตั้งคำถามนั้น
เนื่องจากว่าเพื่อนเรียนอยู่เทอมสุดท้ายแล้ว และหลังจากจบเทอมนี้ก็จะต้องคิดละว่าต้องไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร
เพื่อนที่สนิทกันตอนม.ปลายหลายๆคนก็มักเข้ามาคุยกับฉันเรื่องอนาคตหลังเรียนจบมหาลัย
และข้อสังเกตหนึ่งของฉันก็คือ แทบทุกคนไม่อยากทำงานประจำ รวมถึงไม่อยากเรียนต่อ
แต่กลับอยากออกเดินทาง ท่องเที่ยวไปทั่ว
เป็นแบ็กแพกเกอร์ เรียนภาษา หาพาร์ทไทม์ทำ
เพื่อค้นหาว่าแท้จริงแล้วตัวเองชอบอะไร หรืออยากเป็นอะไรจริงๆ
หรือที่วัยรุ่นทั่วไปมักจะพูดออกมาเป็นประโยคเจ๋งๆที่ว่า.. ‘ออกไปใช้ชีวิต’
เพื่อนคนนี้บอกกับฉันว่า ไม่อยากทำงานที่ตรงกับสายที่เรียนมา
ฉันเองก็งงกับคำตอบนั้น จึงเผลอคิดไปว่า แล้วฉันล่ะ..อยากทำงานที่ตรงสายกับที่ตัวเองเรียนรึเปล่า
บางครั้งเราทิ้งความฝัน เพียงเพื่อทำในสิ่งที่คนอื่นทำตามกันมา
เด็กม.ปลายเลือกจะเรียนคณะที่เพื่อนเลือก สอบคณะที่พ่อแม่อยากให้สอบ
ทั้งที่ไม่เคยถามตัวเองว่าจริงๆแล้วอยากเรียนอะไร แล้วจบไปจะทำงานอะไร
ฉันบอกเพื่อนคนนั้นว่าถ้าคิดแบบนั้นจริงๆก็ออกมาทำอะไรที่อยากทำเถอะ
เรากำหนดมันได้ แต่มันก็ต้องแลกกับอะไรบางอย่างที่ต้องเสียไปเหมือนกัน
อย่างน้อยเสียดายความรู้ที่ได้เรียนไป แต่เราได้ความฝันกลับมา
บางคนเรียนวิศวะแต่อยากเปิดร้านกาแฟ
เรียนหมอแต่ฝันอยากมีฟาร์มออร์แกนิคของตัวเอง
เรียนสถาปัตย์แต่อยากปลูกต้นไม้ในขวดแก้วขาย
เราทุกคนอยากมีอิสระเป็นของตัวเอง ไม่อยากทำงานใต้บังคับบัญชาของใคร
“แล้วตกลงคิดได้ยัง ว่าจบไปจะทำอะไร”
“คงออกไปใช้ชีวิตก่อนแหละ”
บทสนทนาจบลงที่ประโยคนั้น.
Tn
09.10.2016
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in