แสงเย็นส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างรถ ฉันจินตนาการถึงลมเย็นข้างนอกที่เคลื่อนไหวหยอกล้อกับท้องฟ้าปลอดโปร่งของวันนี้ ช่วงปลายปีมาเยือนอีกแล้ว เหมือนที่ฉันกลับมาเยี่ยมที่บ้านอีกครั้ง เหมือนที่ใครหลายคนจะกลับมาเจอกัน
ฉันมองออกไปที่นอกหน้าต่าง สูดภาพของบ้านเกิดให้เต็มปอด รถของพ่อเคลื่อนตัวช้าๆเข้าไปในซอยโรงน้ำชาซึ่งซ่อนตัวถัดไปจากถนนเส้นหลักเพียงเล็กน้อย ลารถที่ขวักไขว่จากถนนเส้นใหญ่ สู่โรงน้ำชาสองสามหลังซึ่งตั้งอยู่อย่างสงบและพึ่งพิงกันใต้ร่มไม้ใหญ่ ลูกสุนัขบ้างวิ่งเล่นในสนาม บ้างนอนอิงแอบใต้ร่มไม้เดียวกับหนุ่มสาวอีกหลายคนที่นั่งสนทนาน้ำชายามบ่าย
ฉันมองไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่ตั้งแอบอยู่ตรงมุมหน้าโรงน้ำชา...โต๊ะที่เพื่อนสมัยเรียนมักมานั่งเล่นกัันเสมอ
เพียงเสี้ยววินาทีที่ภาพทุกอย่างช้าลง เพียงเสี้ยววินาทีที่ทำให้ฉันต้องทบทวนระหว่างความจริงกับความฝัน ในเสี้ยววินาทีนั้นฉันเห็นเขาอยู่ตรงนั้น นั่งหัวเราะด้วยใบหน้าสดใส โดดเด่นท่ามกลางเพื่อนที่ฉันรู้จัก
ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนของฉัน...เพียงแต่เขาเป็น "เพื่อน" ที่ต่างไปจากนั้น
-เพื่อนเก่า-
เปิดเทอมแรกของปีสุดท้ายในชีวิตมัธยมต้น…
ปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการและเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน เพราะแบบนี้วันแรกจึงไม่ควรต้องมีอะไรผิดพลาด ไม่แม้แต่ก้าวเท้าผิดข้างออกจากบ้านในเช้าวันนั้น ไม่เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรมาสายในเช้าวันแรกของเปิดเทอม เสี้ยววินาทีที่มาถึงโรงเรียนช้าไปนั่นหมายถึงความเป็นไปได้ที่
หนึ่ง: จะต้องถูกผลักไปนั่งข้างหน้าเพราะที่นั่งข้างหลังถูกจับจองไปหมดแล้ว
สอง: ต้องนั่งกับใครบางคนที่ไม่รู้จักโดยเฉพาะเด็กที่ย้ายมาจากห้องอื่นตามการจัดลำดับการ เรียน นักเรียนในแต่ละชั้น
ฉันพลาดเกือบทั้งหมด!!
เริ่มต้นที่ตื่นสายเหมือนปกติ กินข้าวบนรถระหว่างทางไปโรงเรียนด้วยความเร็วแสง สะพายกระเป๋าในหนึ่งร้อยเมตรสุดท้ายก่อนรถของพ่อจะชะลอถึงหน้าโรงเรียน ยัดอาหารคำสุดท้ายเข้าปากเมื่อถึงระยะที่ห้าสิบเมตรและพุ่งลงจากรถทันทีในระยะ 3 2 1….วิ่ง! วิ่งงงงงงงงงงงงงงง!!!! อย่า หยุด วิ่งงงงงง !!!!!!!!!!!
ปัง!
ฉันโยนกระเป๋าที่หนักรวมกันราวสิบห้ากิโลกรัมลงบนโต๊ะตัวสุดท้ายริมหน้าต่างพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เพื่อนสนิทที่สละชีพตื่นเช้ามาจองที่นั่งทำเลทองไว้ให้
“เหนื่อยชิบหาย” คำทักทายแรกในเช้าวันนั้น
“ไปเข้าแถว” เพื่อนผู้น่ารักยัดของทั้งหมดลงใต้โต๊ะแล้วลากมือฉันไปหยิบรองเท้าเพื่อเดินลงจากตึกไปเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า ฉันที่ยังไม่ทันหายเหนื่อยสูดหายใจเข้าลึกๆ วิ่งตามเพื่อนที่ค่อยๆเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนมากมาย
นั่นแหละเช้าวันนั้น
.
.
แต่ยัง…ยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเรื่องที่ฉันจะเล่าหรอก
เรื่องมันมีอยู่ว่า…นายคนนั้นที่มาจากห้องบ๊วยต่างหากล่ะ
.
ในบรรดาเด็กที่เลื่อนห้องมาอยู่ห้องเดียวกันกับฉัน ไม่มีใครพิเศษให้ต้องพูดถึงเท่ากับนายคนนี้
เดิมทีเขาอยู่ห้องบ๊วยมาก่อน พอปีที่สองถึงขยับข้ามมาสองห้องแล้ว ตูม!! ปีสุดท้ายก็มาอยู่ห้องควีนจนได้ ความพิเศษของนายคนนี้เลยอยู่ตรงที่ทั้งระดับชั้นมีเขาทำได้คนเดียว ท่ามกลางพวกเราที่แค่รักษาระดับว่ายากแล้ว ให้เลื่อนมาจากแรงค์ต่ำสุดขนาดนี้เลยไม่ต่างอะไรกับเล่นเกม The Sims
นั่นแหละ ความทรงจำของฉันที่มีต่อ “ภูเขา” เริ่มต้นที่ประมาณนี้และไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ในช่วงมัธยมต้น นอกเสียจากของขวัญที่พี่แกแจกในวันปัจฉิมนิเทศมัธยมต้น
ก็เล่นซื้อแว่นตากันแดดสีฉูดฉาดแล้วติดรูปนักเรียนตัวเองลงไปตรงเลนส์แว่น เสร็จแล้วเอามาไล่แจกเพื่อนๆทั้งระดับชั้น เดินผ่านใครก็ใส่แว่นที่มีรูปของตานี่ทั้งวัน ใครจะจำไม่ได้วะ
นั่นแหละความทรงจำสุดท้าย
เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปเรียนคนละห้องในตอนมัธยมปลาย ทางนี้สายศิลป์ ส่วนทางนั้นสายวิทย์ ไม่มีวันบรรจบกันหรอกชีวิต เลือนหายกันไปซะอย่างนั้น ไม่สลักสำคัญอะไรเลย
ไม่จริงหรอก…
To be continued........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in