เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
MemorirNattawadee Kongsang
#HappyMyOldYear หนึ่ง – เพื่อนร่วมห้อง

  •      แสงเย็นส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างรถ ฉันจินตนาการถึงลมเย็นข้างนอกที่เคลื่อนไหวหยอกล้อกับท้องฟ้าปลอดโปร่งของวันนี้ ช่วงปลายปีมาเยือนอีกแล้ว เหมือนที่ฉันกลับมาเยี่ยมที่บ้านอีกครั้ง เหมือนที่ใครหลายคนจะกลับมาเจอกัน

         ฉันมองออกไปที่นอกหน้าต่าง สูดภาพของบ้านเกิดให้เต็มปอด รถของพ่อเคลื่อนตัวช้าๆเข้าไปในซอยโรงน้ำชาซึ่งซ่อนตัวถัดไปจากถนนเส้นหลักเพียงเล็กน้อย ลารถที่ขวักไขว่จากถนนเส้นใหญ่ สู่โรงน้ำชาสองสามหลังซึ่งตั้งอยู่อย่างสงบและพึ่งพิงกันใต้ร่มไม้ใหญ่ ลูกสุนัขบ้างวิ่งเล่นในสนาม บ้างนอนอิงแอบใต้ร่มไม้เดียวกับหนุ่มสาวอีกหลายคนที่นั่งสนทนาน้ำชายามบ่าย

         ฉันมองไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่ตั้งแอบอยู่ตรงมุมหน้าโรงน้ำชา...โต๊ะที่เพื่อนสมัยเรียนมักมานั่งเล่นกัันเสมอ 

         เพียงเสี้ยววินาทีที่ภาพทุกอย่างช้าลง เพียงเสี้ยววินาทีที่ทำให้ฉันต้องทบทวนระหว่างความจริงกับความฝัน ในเสี้ยววินาทีนั้นฉันเห็นเขาอยู่ตรงนั้น นั่งหัวเราะด้วยใบหน้าสดใส โดดเด่นท่ามกลางเพื่อนที่ฉันรู้จัก

         ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนของฉัน...เพียงแต่เขาเป็น "เพื่อน" ที่ต่างไปจากนั้น

         -เพื่อนเก่า-


     "
    ไฟสีอุ่นที่ประดับเมือง
    ลมเย็นในช่วงปลายปี
    และการกลับมาเจอกันของใครบางคน
    ...ที่เคยกลายเป็นเพียงความทรงจำ
    "


    เปิดเทอมแรกของปีสุดท้ายในชีวิตมัธยมต้น

         ปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการและเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน เพราะแบบนี้วันแรกจึงไม่ควรต้องมีอะไรผิดพลาด ไม่แม้แต่ก้าวเท้าผิดข้างออกจากบ้านในเช้าวันนั้น ไม่เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรมาสายในเช้าวันแรกของเปิดเทอม เสี้ยววินาทีที่มาถึงโรงเรียนช้าไปนั่นหมายถึงความเป็นไปได้ที่ 


              หนึ่ง: จะต้องถูกผลักไปนั่งข้างหน้าเพราะที่นั่งข้างหลังถูกจับจองไปหมดแล้ว

              สอง: ต้องนั่งกับใครบางคนที่ไม่รู้จักโดยเฉพาะเด็กที่ย้ายมาจากห้องอื่นตามการจัดลำดับการ                         เรียน นักเรียนในแต่ละชั้น


         ฉันพลาดเกือบทั้งหมด!!

         เริ่มต้นที่ตื่นสายเหมือนปกติ กินข้าวบนรถระหว่างทางไปโรงเรียนด้วยความเร็วแสง สะพายกระเป๋าในหนึ่งร้อยเมตรสุดท้ายก่อนรถของพ่อจะชะลอถึงหน้าโรงเรียน ยัดอาหารคำสุดท้ายเข้าปากเมื่อถึงระยะที่ห้าสิบเมตรและพุ่งลงจากรถทันทีในระยะ 3 2 1….วิ่ง! วิ่งงงงงงงงงงงงงงง!!!! อย่า หยุด วิ่งงงงงง !!!!!!!!!!!

         ปัง!

         ฉันโยนกระเป๋าที่หนักรวมกันราวสิบห้ากิโลกรัมลงบนโต๊ะตัวสุดท้ายริมหน้าต่างพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เพื่อนสนิทที่สละชีพตื่นเช้ามาจองที่นั่งทำเลทองไว้ให้

         “เหนื่อยชิบหาย” คำทักทายแรกในเช้าวันนั้น

         “ไปเข้าแถว” เพื่อนผู้น่ารักยัดของทั้งหมดลงใต้โต๊ะแล้วลากมือฉันไปหยิบรองเท้าเพื่อเดินลงจากตึกไปเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า ฉันที่ยังไม่ทันหายเหนื่อยสูดหายใจเข้าลึกๆ วิ่งตามเพื่อนที่ค่อยๆเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนมากมาย

         นั่นแหละเช้าวันนั้น

         .

         .

         แต่ยังยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเรื่องที่ฉันจะเล่าหรอก

         เรื่องมันมีอยู่ว่านายคนนั้นที่มาจากห้องบ๊วยต่างหากล่ะ

         .

         ในบรรดาเด็กที่เลื่อนห้องมาอยู่ห้องเดียวกันกับฉัน ไม่มีใครพิเศษให้ต้องพูดถึงเท่ากับนายคนนี้

         เดิมทีเขาอยู่ห้องบ๊วยมาก่อน พอปีที่สองถึงขยับข้ามมาสองห้องแล้ว ตูม!! ปีสุดท้ายก็มาอยู่ห้องควีนจนได้ ความพิเศษของนายคนนี้เลยอยู่ตรงที่ทั้งระดับชั้นมีเขาทำได้คนเดียว ท่ามกลางพวกเราที่แค่รักษาระดับว่ายากแล้ว ให้เลื่อนมาจากแรงค์ต่ำสุดขนาดนี้เลยไม่ต่างอะไรกับเล่นเกม The Sims แล้วแอบกดสูตร Motherlode เลยสักนิด 

         ปรบมือ

         นั่นแหละ ความทรงจำของฉันที่มีต่อ “ภูเขา” เริ่มต้นที่ประมาณนี้และไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ในช่วงมัธยมต้น นอกเสียจากของขวัญที่พี่แกแจกในวันปัจฉิมนิเทศมัธยมต้น 

         ก็เล่นซื้อแว่นตากันแดดสีฉูดฉาดแล้วติดรูปนักเรียนตัวเองลงไปตรงเลนส์แว่น เสร็จแล้วเอามาไล่แจกเพื่อนๆทั้งระดับชั้น เดินผ่านใครก็ใส่แว่นที่มีรูปของตานี่ทั้งวัน ใครจะจำไม่ได้วะ

         นั่นแหละความทรงจำสุดท้าย 

         เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปเรียนคนละห้องในตอนมัธยมปลาย ทางนี้สายศิลป์ ส่วนทางนั้นสายวิทย์ ไม่มีวันบรรจบกันหรอกชีวิต เลือนหายกันไปซะอย่างนั้น ไม่สลักสำคัญอะไรเลย

         ไม่จริงหรอก


    To be continued........

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in