จบสักทีสำหรับการเป็นนักศึกษาปี 1 แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ความรู้สึกเหมือน 2 เดือนที่แล้วเพิ่งประกาศผลแอดมิชชั่น (เว่อร์)  อยากเขียนรีวิววิชาบังคับมหา'ลัย ตั้งแต่เทอม 1 แต่ไม่มีเวลาว่างเลย (แงง) ตอนนีี้ปิดเทอมแล้ว เพิ่งจะมีเวลาว่างมาเขียนรีวิววววว ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่านี่เป็นรีวิวที่มาจากมุมมองของเราและประสบการณ์ส่วนตัว ย้ำ! มุมมองของเรา มีทั้งชอบและไม่ชอบ So, you should take everything I say with a pinch of salt. (ฟังหูไว้หูเนอะ)   

      วิชาบังคับของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (นักศึกษาทุกคนต้องเรียน) มีรหัสว่าวิชา TU โดยแบ่งเป็น TU100, TU101, TU102, TU103, TU104, TU105, TU106  รวมทั้งหมด 7 ตัว   เราจะรีวิวตามรหัสตัวเลขนะ   

 วิชา TU100 เป็นวิชาที่โด่งดังแห่งมธ. มีแค่ 2 เซค (เซคจันทร์บ่าย กับเสาร์เช้า) เนื้อหาหลักๆ ของวิชานี้จะเรียนเน้นเรื่องประชาธิปไตย การเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม แก้ไขปัญหาเพื่อสังคม โดยจะมีการลงชุมชมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนที่เราไปลงพื้นที่ และกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น การไปเยี่ยมชมโรงแยกขยะของมหา'ลัย (กลิ่นแรงแหละ แต่มันแค่ 15 นาทีก็ทนๆ เอานะ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น) ไฮไลท์ของวิชานี้คือ การได้ทำงานร่วมกับเด็กคณะอื่น ซึ่งทางมหา'ลัยจะจับกลุ่มไว้ให้อยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่ได้อยู่กับเพื่อนตัวเอง ฮ่าๆ  แต่ไม่ต้องกลัวจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ เพราะการเรียนจะทำให้เราเข้ากับเพื่อนได้เอง  เซควันจันทร์กับวันเสาร์จะมีเนื้อหาการเรียนเหมือนกัน  แต่วันเสาร์อาจจะมีเรียนเต็มวันประมาณ 2 ครั้ง (ไม่ได้แย่อะไรนะ วันเสาร์บางคนอาจจะอยากพักผ่อน กลับบ้านต่างหวัดไรงี้) การเลือกเซคก็ต้องใช้ดวงนิดนึง (โดยเฉพาะวันจันทร์) เพราะอาจจะเต็มได้  ส่วนเราเรียนเซควันเสาร์ เพราะตารางวันจันทร์ ชนวิชาบังคับเอก T T   พยายามเข้าเรียนให้ครบทุกครั้ง เพราะมีคะแนน participation + คะแนนสมุด (เค้าจะแจกตั้งแต่วันแรกที่เรียนเลย)  ไม่มีสอบมิดเทอม  มีแต่ไฟนอล (ไม่ยาก ถามจากสิ่งที่เรียนนี่แหละ)   คาบสุดท้าย (ที่สอบไฟนอล) เค้าจะให้เราประเมินคะแนนเพื่อนในกลุ่ม โดยมีเกณฑ์ว่า ตั้งมีคนได้ 2 คะแนน 2 คน  เราก็ต้องมาเฉลี่ยกับเพื่อนในกลุ่ม บางคนอาจจะได้ 0,1 ก็ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนในกลุ่มลงความเห็นกันว่าจะให้เท่าไหร่       

 เราได้ยินจากรุ่นพี่มาว่าวิชา TU100 เป็นวิชาที่ลำไย ก็อาจจะจริงนะ เพราะเราต้องทำโปรเจคตั่งต่างเพื่อแก้ไขปัญหาในมหา'ลัย ชุมชน โลก (เลือกมาแค่อย่างเดียว)  แล้วยังต้องรับมือกับเพื่อนในกลุ่มที่บางครั้งก็ไม่ค่อยเสนออะไร โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา บลาๆ  อิเวง เรื่องมากจริง แต่ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาทั่วไปในการทำงานกลุ่ม ขอแค่ให้ใจเย็นๆ เพราะโครงการของเราเปลี่ยนมาประมาณ 4 ครั้งได้ 5555555555 เราเรียนกับอาจารย์แนล อ.น่ารักมาก อ. ให้คำปรึกษาดี สอนสนุก เปิดเพลงคลอตลอดระหว่างเรียน  ตี 2 ยังตอบไลน์ นศ. อยู่เลยอ่ะ คิดดู  

  วิชานี้เปลี่ยนมุมมองเราในเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องขยะ บางทีสิ่งรอบตัวที่เรามองว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่มันสามารถก่อให้เกิดปัญหาที่ใหญ่โตกับโลกใบนี้ได้ (ดูเวอร์จัง) ไม่เสียใจที่ได้เรียนวิชานี้  เราอาจจะถูกไซโคมาทางลบ แต่พอหลังเรียนมันเปลี่ยนความคิดเราไปเลย  

  วิชาทียูหนึ่งศูนย์หนึ่งเป็นวิชาที่สอนให้เรารู้เรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นในโลก อาเซียน และไทย เช่น ปัญหาโลกร้อน เรื่องก่อการร้าย  การเมือง การเหยียดในรูปแบบตั่งต่าง ฯลฯ ทำไมถึงเกิดแบบนี้ขึ้น? จะแก้ไขปัญหาได้อย่าไร?   วิชานี้แบ่งออกเป็นเซคพุธ เช้า กับ พุธบ่าย  เป็นเซคใหญ่ เรียนรวมหลายคณะ ถามว่าต่างกันอย่างไร?  เนื้อหาการเรียนต่างกัน  สอบมิดเทอมกับไฟนอล เช้า:อัตรนัยล้วนๆ บ่าย:ปรนัยล้วนๆ  เราเรียนพุธเช้า เราโอเคกับข้อสอบเขียนนะ  เพราะเราความจำไม่ดี ข้อเขียนมันสามารถโยงเรื่องที่เราเรียน ตามความเข้าใจของเราได้  ของเซคเช้า จะมีงานชิ้นใหญ่ๆ เลยคือการอ่านหนังสือ แล้วอัดเสียงโดยเราต้องมีการ discuss ให้โยงกับสิ่งทีี่เราเรียน ตั้งแต่ก่อนมิดเทอม และหลังมิดเทอม เป็นงานกลุ่ม ! (อีกแล้ว) แต่โชคดีว่า เค้าให้เราจับกลุ่มกันเอง ก็อย่าตีกันเองในกลุ่มละกัน ฮ่าๆ    มิดเทอมกับไฟนอลข้อสอบไม่ยาก ข้อเขียนได้คะแนนกันเยอะ (เลื่อนดูคร่าวๆ)   วิชานี้มี Quizzes (เซคเช้านะ) ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยจะบอกไว้ในตารางแล้ว ซึ่งดีมากๆ  จะโดดก็เช็ควันหน่อยละกันนะ ควิซก็จากที่เรียนนั่นแหละ เขียนให้มันเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียนก็ได้คะแนนแล้ว    

  เราเรียนอ. อดิศร เป็นอาจารย์จากภาควิชาประวัติศาสตร์ ของคณะศิลปศาสตร์ เราชอบที่อ. ไม่ได้มาปลุกฝังว่า คุณต้องเชื่อแบบนี้ๆ นะ แต่อ. สอนให้เรารู้จักคิดมากกว่า อ. inspire เราให้เราอยากติดตามข่าวมากขึ้น  รู้จักวิเคราะห์เหตุการณ์ทางการเมืองบลาๆ (เพราะปกติไม่ค่อยอ่านข่าวอะไรที่มันเป็น common knowledge เลย)   

หลังเรียน 

 ความรู้ทั่วไปก็เพิ่มขึ้น มองโลกหลายด้านมากขึ้น  

TU102 เราขอไม่รีวิว เพราะมันเรียนหลายแขนงมาก เรียนไปตอนเทอม 1  จำไม่ได้ ฟฟฟฟฟฟฟ 

TU103 เป็นวิชาที่เน้นเกี่ยวกับ SDGs หรือ Sustainable Development Goals. หรือแปลเป็นไทยว่า "การพัฒนาที่ยั่งยืน"  เข้าเรียนทุกครั้ง เพราะเช็คชื่อจากการทำงานส่งในห้อง เน้นงานกลุ่ม (จับเอง) เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ ขออนุญาตข้าม    

    วิชา TU106 แบ่งเป็นเซคบ่ายวันพฤหัสบดี กับเช้าวันศุกร์ 2 วันนี้จะเรียนไม่เหมือนกัน  เราเรียนบ่ายวันพฤหัสฯ เน้นทำงานกลุ่ม โดนจับแยกกับเพื่อน แต่จับเองในเซคที่เรียนด้วยกัน (อาจจะมีเพื่อนในสาขาหรือคณะเดียวกันปะปนอยู่บ้าง)  การเรียนอาจารย์จะปูพื้นฐานเกี่ยวกับ การสร้างไอเดีย จากใกล้ตัว แล้วนำมา apply ให้มัน hybrid  งงมะ?? 555555555 เช่น  ลิปสติก+ยาหม่อง = ลิปสติกยาหม่อง (บิดออกมากลายเป็นอย่างหมอง แทนที่จะเป็นแบบเปิดฝาไรงี้อ่ะ)  เซควันพฤหัสฯบ่าย จะให้ทำโปรเจคตั่งต่าง เป็นงานกลุ่ม กลุ่มละ 13-15 คน  ถ้าไอเดียกลุ่มไหน Hybrid ก็จะได้คะแนนไปรัวๆ  ไม่มีสอบมิดเทอม ไฟนอลเป็นข้อเขียน เขียนจากสิ่งที่เรียนมานั่นแหละ เข้าเรียนทุกคาบ ทำงานกลุ่มกับเพื่อน ก็ทำข้อสอบได้แล้ว  

       มาถึงกันที่ส่วนพิเศษ วิชา TU104  (ภาษาไทย) กับ TU105 (ภาษาอังกฤษ) เป็นวิชาที่สามารถ exempt (เซ้ม) ทีี่แปลว่า การยกเว้นวิชา = ได้ A ไปเลยไม่ต้องเรียน แต่ว่า ! ต้องสอบ Thammasat Competency Test Center หรือที่รู้จักกันว่าสอบ TCTC นั่นเอง การจะเซ้มทั้ง 2 วิชานั้นจะต้องสอบให้ได้คะแนน 85 ขึ้นไปจาก 100  คะแนน แต่ส่วนใหญ่ก็เรียนกัน เพราะข้อสอบค่อนข้างยาก อย่างภาษาอังกฤษ ก็วัด multi skills ของนักศึกษา    ภาษาไทยก็แนว 9 วิชาสามัญ แต่ยากกว่ามาก เรียนก็ไม่เสียหายอะไรนะ ปล. คณะศิลปศาสตร์ ปี 60 เซ้มภาษาอังกฤษแค่ 2 คนอ่ะ LOL  มันยากเจงๆ 

  

   วิชานี้ลำดับเซคจะจัดตามลำดับคะแนนที่ได้ เซค 1, 2, 3, 4, and so on  แต่ละคณะจะเลือกเวลาเรียนไม่เหมือนกัน อย่างคณะศิลปศาตร์ จะเรียนตอนเทอม 1  เป็นวิชาภาษาไทยที่เรียนเกี่ยวกับการคิด อ่าน เขียน นั่นแหละตามชื่อเลย พอเราเรียนพื้นฐานเสร็จ  อ. จะให้เรานำสิ่งที่เราเรียนมาใช้กับการเขียนบทความยาวๆ และการเขียนบรรณานุกรม  เป็น term paper ส่งแค่งานเดียว โดยเขียนเลือกหัวข้อที่เราสนใจ และอ้างอิงหนังสือมา 5 เล่ม   เข้าเรียนทุกครั้ง เพราะมีเช็คชื่อ  มีงานในห้อง (ส่วนใหญ่เป็นงานคู่)  ไม่มีสอบมิดเทอม ไฟนอลเหมือน 9 วิชาสามัญเลย ไปอ่านตีความในห้องสอบ มีสมาธิ และสติในการทำข้อสอบพอ