เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
PAPAYAH's ARCHIVERocket man
ทางกลับบ้าน และ การผจญภัย : ‘เขียนไขและวานิช’
  • สัมภาษณ์ & ถ่ายภาพ : กฤษฎ์ พรหมใจรักษ์


                      ผมไม่ได้เป็นแฟนเพลงโฟล์ก ไม่ได้ติดตามซีนดนตรีทางเลือกกำลังได้รับความนิยมในฝั่งนี้มากนัก และแม้ตัวผู้เขียนออกเคยออกผลงานที่น่าจะเข้าข่ายและสามารถจัดเข้าไปอยู่ในหมวดของแนวเพลงดังกล่าวได้ รวมถึงเคยออกทัวร์กับศิลปินแนวนี้จริงๆ จังๆ อยู่พักหนึ่ง แต่ถ้าพูดกันจริงๆ คือไม่ค่อยอิน แต่ผมมีความสนใจในศิลปินโฟล์กอยู่ท่านหนึ่ง เป็นคนที่อาจจะเรียกได้เลยว่าคือหนึ่งในผู้นำพาความนิยมและจุดกระแสให้ดนตรีแนวนี้ในบ้านเราได้แบบไม่เคอะเขินเลย และสิ่งที่ทำให้สนใจและติดตามศิลปินคนนี้ไม่ใช่ตัวเพลงของเขา แต่กลับเป็นความคิดและทัศนคติของเขาที่มีต่อความสำเร็จและผลตอบรับที่เขาได้รับในฐานะศิลปินโฟล์กผู้มีเพลงฮิตในระดับเดียวกับ ‘Bodyslam’ นี่คือบทสนทนาระหว่างผม กับ โจ้-สาโรจน์ ยอดยิ่ง หรือที่คนทั้งประเทศรู้จักในนาม ‘เขียนไขและวานิช’ เจ้าของเพลงที่ใครได้ยินก็ต่างต้องหลงรักอย่าง ‘แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร’ ที่ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับตัวเขาที่ผมมีมาตลอดจนสามารถให้ข้อสรุปให้กับตัวเองได้ความว่า ‘ไอ้นี่แม่งของจริง’    





    คุณพอจะจำได้ไหมว่ามาเล่นขอนแก่นไปกี่รอบแล้ว


    โจ้ : เอาจริงๆ จำไม่ได้ น่าจะประมาณ 7-8 รอบ


    พอจะจำครั้งแรกที่มาเล่นที่นี่ได้ไหม ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย


    โจ้ : ครั้งแรกที่มาเล่นที่ขอนแก่น…...น่าจะเป็นข้างๆ….มันเป็นโซนนักศึกษาเที่ยวกันเยอะๆ อะพี่ ( ผู้สัมภาษณ์ : อ๋อ มันคือโซนหลังมอครับ ) ครั้งแรกที่มาเล่นนี่คือไม่ได้เรื่องเลยครับ มีกันสองคน แห้งๆ กรอบๆ แต่ลุยหมด ใครจ้างให้ไปเล่นที่ไหนเราก็ไป อยากเที่ยว นั่งรถทัวร์มากันเอง ตอนนั้นมาเล่นแค่โชว์เดียวใช่ไหม มีเล่นแค่วันเดียว แต่กว่าจะกลับจริงๆ คืออยู่กันต่ออีก 4 วัน เราโชคดีตรงที่เรามี เขาเรียกว่าอะไรวะพี่ ถ้าเชิงหลักการเขาเรียกอะไรนะ คอนเน็ก ใช่ไหม (ผู้สัมภาษณ์ : คอนเน็กชั่น) คือพวกเรามีรุ่นพี่ที่สนิทกันเขาปักหลักอยู่ที่นี่ เวลาเรามาที่จังหวัดขอนแก่นเราเลยจะอยู่กี่วันก็ได้ ก็ให้พี่เขาพาเที่ยว ช่วงนั้นทัวร์ยังไม่ถี่มาก ส่วนครั้งที่ 2 นี่น่าจะเป็นร้านพี่จักร ( ‘พี่จักร’ อีกหนึ่งบุคคลากรผู้ผลักดันซีนดนตรีและศิลปะในจังหวัดขอนแก่น เจ้าของร้านแผ่นเสียง ซีดี เทป มือสอง ที่หมายมั่นอยากให้ร้านเขาเป็นห้องสมุดทางดนตรีประจำจังหวัด ในนาม Zaab Record’ และ ซอยลุงจักร’ คาเฟ่ลับแห่งบ้านโนนม่วงที่โคตรเท่ หาทางไปกันเอาเองนะ ) เป็นคาเฟ่กับร้านแผ่นเสียง เป็นโชว์ที่ดีมากๆ เลย เขาเจ๋งมาก ผมไม่เคยไปโชว์ที่ไหนที่ผู้จัดยึดโทรศัพท์ทุกคนที่มาร่วมงาน ยึดโทรศัพท์ ห้ามคุย ห้ามถ่ายรูป แล้วก็ต้องเงียบ ผมจะชอบโชว์แบบนี้มาก ผมมองว่ามันเป็นการให้เกียรติคนเล่นและเป็นการให้เกียรติคนฟังคนอื่นด้วย เจ๋งดี นี่น่าจะเป็นงานที่เรียกได้ว่าเป็นงานโฟล์กของจริงที่ผมเคยเล่นมา เบียร์ กินได้ นั่งฟังไป แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ หลังเพลงจบ แลกเปลี่ยนกัน ยกมือ ขอโทษครับ ขอถามหน่อย เพลงนี้แต่งเพราะอะไร ได้โต้ตอบกัน โชว์แบบนี้มันความสุขนะผมว่า ชอบมาก ซึ่งพักหลังหลายๆที่ก็เริ่มทำแบบนี้กันเยอะขึ้นแล้ว



    กลับมาที่ปัจจุบันบ้างดีกว่า เริ่มกลับมาทัวร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก่อนหน้านี้ไปเล่นที่ไหนมาแล้วบ้าง


    โจ้ : ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทัวร์มา 4 เดือน เริ่มกลับมาทัวร์ตั้งแต่...วันที่ 29 กรกฎาคม เล่นที่ไหนนะ….อ่อ ที่ลพบุรีครับพี่ ก็ได้พักมาประมาณสามวัน คืนนี้ (5 สิงหาคม 2020) เป็นที่แรกของทริปนี้ครับ 



    เท่าที่ผมตามอ่านบทสัมภาษณ์หลายๆชิ้นของคุณ คุณมักจะบอกกับสื่อต่างๆ เสมอว่า ช่วงก่อนหน้านี้คุณเหนื่อยและเบื่อการทัวร์คอนเสิร์ตยาวๆ มากๆ โดยคุณมักจะให้เหตุผลว่า คุณเหนื่อย ผมเลยสงสัยว่าการได้กลับมาทัวร์อีกครั้งหลังจากได้พักเบรกในช่วงที่ผ่านมา ความรู้สึกเหนี่อยล้าหรือเบื่อหน่ายกับการทำหน้าที่ตรงนี้มันเปลี่ยนไปบ้างไหม 


    โจ้ : เปลี่ยนไปเยอะนะพี่ หลังจากตอนแรกที่เราประกาศว่าจะพัก 3 เดือน แต่มันเกินพอดีเลย (หัวเราะ) คือหยุดไปเลย 4 เดือน เพราะโควิท-19 จากที่ว่าจะพักวงสักพักแล้วค่อยกลับมา พอได้กลับมาทัวร์อีกคราวนี้เรารู้สึกแปลกใจว่า เอ๊ะ ทำไมมันยังมีคนจ้างอยู่อีก เพลงมันยังมีคนฟังอยู่อีกเหรอ เพราะผมคิดคำนวณของผมเองไว้ว่า เพลง ‘หนีห่าง’ เนี่ยมันไม่น่าจะไปได้ถึงสองปี มันน่าจะหมดยุคแล้ว มันน่าจะมีวงอื่นหรือวงใหม่ๆ ขึ้นมาแทนเราได้แล้ว แต่ทำไมมันยังมีคนฟังอยู่ ยังมีคนเรียกใช้บริการอยู่ (ยิ้ม) ยังได้ไปอยู่ ที่แปลกใจที่สุดคือ ตอนนี้มันข้ามปีแล้วอะ มันมีคนจองคิวเราข้ามปีแล้วอะพี่ มีงานยาวไปจนถึงปีหน้า ไปจนถึงงานPai Acoustic’ ที่ อำเภอ ปาย จังหวัด แม่ฮ่องสอน ช่วงปลายเดือนมกราคมปีหน้าแล้ว กลายเป็นว่าก็ยังได้มาทัวร์เพลงเซ็ทเดิมอยู่ 



    เอฟเฟคจากเพลง ‘แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร’ ยังอยู่


    โจ้ : เราก็ยังคิดว่าเป็นมันอยู่ ซึ่งเราก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันยังอยู่อีกเหรอ ทำไมชื่อเรายังไม่หายไปสักที



    นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของเรานะ เรารู้สึกว่าด้วยธรรมชาติดนตรีแนวนี้ เวลาคนเขามาฟังสด คนที่มาดูเขาไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกเพลงที่คุณร้องก็ได้ แต่การที่เรามีเพลงสักเพลงที่รู้จักในวงกว้างมันช่วยในแง่ของการดึงให้คนเหล่านั้นเข้ามาฟังเพลงอื่นๆ หรือศิลปินอื่นๆ ในงานได้ เพราะคนเราไม่ได้ค้นพบเพลงเดียวกันในช่วงเวลาเดียวกันเสมอไป ซึ่งเท่าที่สังเกตคุณจะบอกเสมอว่าคุณ ไม่ค่อยชอบเพลงนี้ซักเท่าไหร่


    โจ้ : ใช่ครับ อย่างตอนนี้เวลาที่ผมทัวร์ ผมอยากเห็นเอฟเฟคจากเพลงที่ผมเขียนใหม่ๆ มากกว่าว่ามันจะทำงานไหม นอกจากเพลง ‘แก้มน้องนางฯ’ จะมีคนฟังเพลงอื่นหรือเปล่า ซึ่งที่ผ่านมันก็มีนะพี่ แต่ตอนนี้ที่อยากรู้ที่สุดคือ อยากรู้ว่าเพลงใหม่ที่กำลังจะปล่อยมันจะเป็นมีเอฟเฟกกับคนไหม วงจะไปต่อได้หรือเปล่า 




    แล้วอย่างโชว์แรกที่ได้กลับมาเล่นเนี่ย ไอ้ที่เคยบอกว่ารู้สึกเหนื่อย รู้สึกช้ำเนี่ย มันหายไปหรือยัง


    โจ้ : หายแล้วนะพี่ แต่ก็ยังมีอยู่นิดๆ แต่ยังโอเค อารมณ์แบบ เฮ้ย ได้กลับมาทำงาน ก่อนหน้านี้พวกเราได้ประชุมกันเรื่องจะไปกันต่อหรือว่าจะเลิก ไอ้เรย์ , ไอ้โอ๊ด มันก็มีวงของมันเอง ปีหน้ามันอาจจะแยกไปทำเอง เราอาจจะมีทีมใหม่เข้ามาจัดการ ซึ่งเราก็กลัวคนฟังแบบว่า อ่าว พี่เรย์ล่ะหายไปไหน พี่คนนี้หายไปไหน ซึ่งจริงๆ เรากลัวนะพี่ แต่ว่าถึงจุดนึงมันก็ต้องเปลี่ยน เพราะเพื่อนๆ เขาก็มีงานของเขา ซึ่งเราก็เข้าใจนะ


    พวกคุณเป็นคนชอบเดินทางกันไหม 


    โจ้ : บ่อยครับ



    ไอ้บ่อยน่ะ ใช่ แต่คุณชอบไหม


    โจ้ : ที่ได้เดินทางส่วนมากคือไปทัวร์ แต่ผมอะ จะนับว่าผมไปเที่ยว ไอ้เล่นดนตรีนี่คืองานอดิเรกเลย ที่เหลือผมแวะตลอด ผมเป็นคนติดเที่ยวมากกว่าเล่นดนตรี โชว์นี่เป็นงานรองเลย พอถึงเวลาพัก พอเล่นเสร็จนี่ไปเลย ไปดูซิว่าที่จังหวัดนี้มันมีอะไรบ้าง 


    เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่คุณกำลังได้ทำอยู่ตอนนี้มันคือความฝันศิลปินแทบทุกคนเลยนะ การตระเวนเดินทางไปแสดงผลงานของตัวเองตามที่ต่างๆ เนี่ย แถมคุณยังบอกว่าคุณเป็นคนชอบเที่ยวอีก แล้วทำไมถึงยังรู้สึกเหนื่อยกับการทัวร์


    โจ้ : เอาความจริงเลยนะพี่ พวกผมอะแค่ทำกันเล่นๆ เพลงพวกนี้มันเป็นเพลงที่แต่งกันในวงเหล้าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันจะนำพาผมมายจนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยคิดว่าดนตรีมันจะแบกเรามาถึงทุกวันนี้และไม่เคยคิดด้วยว่ามันจะกลายเป็นงานเป็นการที่สามารถเลี้ยงดูชีวิตและอนาคตได้อย่างดีที่สุด  ดีกว่าการทำงานศิลปะ แต่ทุกวันนี้เราก็ยังอยากทำงานศิลปะ ถ้าถามว่าถ้าวันนึงมีทุน ผมทำบ้านทำอะไรเสร็จ ผมกลับแน่นอน ผมเลิกวงแน่นอน ตอนนี้จ้างคนทำสตูดิโอเรียบร้อยแล้ว เพราะดนตรีนี่แหละช่วยทำให้ผมมีตรงนี้ได้ ผมก็ไม่อยากดูถูกมันนะ แต่เอาจริงๆ พี่ก็เห็นอะ ผมมันงูๆ ปลาๆ เราไม่ได้พื้นฐาน ไม่มีความชำนาญในเรื่องนี้ ไม่ได้เรียนมาโดยเฉพาะ เราดันเรียนพวกศิลปะมา พวกองค์ประกอบต่างๆ ก็เลยติดนิสัยเป็นการบ่น การพูดมากกว่า ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่มืออาชีพเลย แต่มันก็ยังพาผมมาถึงทุกวันนี้ได้ ผมก็ขอบคุณมันเหมือนกัน 




    พูดถึงสิ่งที่ร่ำเรียนมา เราคิดว่าตัวเองได้นำอะไรจากตรงนั้นประยุกต์ใช้ในงานเพลงของเราบ้าง


    โจ้ : ผมว่าน่าจะเป็นการใช้ภาษาและแนวความคิดที่เรามีมันอาจจะไปกระทบใจคนฟัง ซึ่งในภาคดนตรีเขาแทบจะไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ ที่เพลง ‘แก้มน้องนางฯ’ มันดังได้ ไม่ใช่เพราะดนตรีนะพี่ มันเพราะเนื้อเพลง ผมเลยรู้สึกแปลกใจและยังไม่เข้าใจตัวเองจนถึงทุกวันนี้เลยว่า ตกลงเราเก่งเหรอ เรามาอยู่จุดนี้ได้ไงกันวะ เพราะทุกวันนี้คิดกันไว้เลยว่า ถ้ามันไปถึงจุดนั้นแล้ว ถึงที่สุดแล้ว ถ้ามันถึงเวลาที่กระแสมันซาแล้วมันหายไป เราจะยินดีมาก ยินดีและพร้อมมากเลย เอาจริงๆ ทุกวันนี้นั่งคิดไว้ในใจแล้วนะ ทุกคนในวงก็คิดกันหมด คิดว่า เมื่อไหร่เวลานั้นจะมาถึงวะ



    แล้วอย่างเพื่อนๆ ในวงนี่เขามีความฝันในด้านดนตรีกันบ้างไหม


    โจ้ : ไม่เลย ตอนที่ประชุมกันมันเป็นการนั่งคุยกันในวงเหล้าอารมณ์แบบว่า เฮ้ย ถ้ามันถึงเวลาที่จะพอก็ต้องพอเนอะ อย่าง ไอ้เรย์’ ( เพื่อนที่สนิทที่สุดคนนึงในชีวิตของ โจ้ เป็นมือกีต้าร์คู่บุญที่ทัวร์ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรก และมีผลงานเพลงโฟล์กของตัวเองในนาม ‘สุขเสมอ’ )  วันหนึ่งมันเมาแล้วมาคุยกับผม มันบอกว่า “มึงรู้ไหม กูคงไม่ได้มานั่งข้างมึงอย่างนี้ไปทุกวันหรอกนะ เพราะกูก็มีสิ่งที่กูอยากทำ แล้วไม่ใช่ดนตรีด้วย กูอยากมีสวน กูอยากทำบ้านดิน กูอยากทำอะไรของกู แฟนกูก็มี กูก็ต้องไป กูต้องย้ายถิ่นฐาน ละมันพูดต่ออีกว่า “มึงต้องเข้าใจและไม่โกรธกูนะ ถ้ามึงยังทัวร์อยู่แล้วสักวันไม่มีกู” พอเพื่อนพูดมาแบบนี้ เราก็รู้สึกว่า เออ ก็ไปสิ เพราะกูก็อยากทำเหมือนกัน กูก็อยากจะเฟดตัวเองจากจุดนี้เหมือนกัน แต่ตอนที่มันยังไปต่อได้ยังมีก็เอาไปก่อน ถ้ามันยังพอไปได้ก็ไปให้สุดเลย ไหนๆเราก็เก็บกันมาจะครบทุกจังหวัดแล้ว อยากเก็บให้มันครบ ตอนนี้ยังเหลืออีกประมาณ 10 กว่าจังหวัด ที่ยังไม่ได้ไปเล่น 




    พอมาคุยกันจนถึงตรงนี้ เราสงสัยจริงๆ ความดังมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงพวกคุณเลยสักนิดเหรอ และอีกอย่าง การเล่นและร้องเพลงของตัวเองหามันก็ถือเป็นวิธีการหาเงินที่ง่ายสำหรับคนที่ทำได้ แถมไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ด้วย

     

    โจ้ : คือ ไอ้เงินน่ะ เอา (หัวเราะ) พวกเราโชคดีตรงที่เราเริ่มจากศูนย์ ถ้าถึงเวลาต้องล้มพวกเราก็ไม่ได้เสียดาย 



    เมื่อตอนซาวน์เช็คเราได้ฟังเพลง ‘ปีกแห่งความฝันหรือปีกแห่งความจริง’ ช่วยเล่าอะไรเกี่ยวเพลงนี้ให้ฟังหน่อย เราพอใจกับเพลงนี้ไหม


    โจ้ : ก็พอใจนะ มันเป็นเพลงที่แต่งในช่วงที่เราได้พักพอดี จริงๆ มันเป็นเพลงเก่ามากนะพี่ แต่เราเอากลับมาเรียบเรียงใหม่ มันเกิดจากความรู้สึกที่แบบว่า ช่วงนั้นแม่งท้อ มันเหนื่อยมาก มันช้ำแล้ว เลยหยิบเพลงนี้ขึ้นมาเรียบเรียงใหม่ มันได้ระบายดี ได้ทบทวนว่า เออ การเดินทางของวงมันมาถึงตรงนี้แล้ว เหนื่อยไหม หนักไหม ชีวิตอะ เนื้อหาเพลงมันจะเกี่ยวกับ…. ขอโทษนะ ‘ภาระ’ ชีวิต หน้าที่ นั่นแหละพี่ 




    คือที่ถามเนี่ยเพราะตอนที่นั่งดูวงซาวน์เช็คเรารู้สึกว่าตอนที่คุณเล่นเพลงนี้ เพลงมันดูเด่นขึ้นมาจากเพลงอื่นๆ ซึ่งเราตั้งข้อสันนิษฐานว่า 1. อาจจะเป็นเพราะมันมีการพัฒนาขึ้นจากงานชุดก่อน และ 2. เพลงนี้เป็นเพลงที่คุณน่าจะกำลังอินอยู่


    โจ้ : อย่างเพลงเก่าๆ เราก็เบื่อ เพราะมันต้องร้องทุกวัน ก็อยากให้มีกลิ่นอะไรใหม่ๆบ้าง 



    แสดงว่าช่วงที่ได้หยุดน่าจะทำเพลงเก็บไว้ค่อนข้างเยอะ


    โจ้ : เสร็จแล้วนะพี่ 12 เพลงใหม่ อัลบั้มเต็มชุดที่ 2 แต่คิดว่าน่าจะรอปล่อยตอนงาน Cat Expo ช่วงปลายปีไปเลย แต่ก็จะปล่อยตัวหนึ่งก่อน แต่ไม่ปล่อยหมด 



    เราจะได้ฟังซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 2 ของ ‘เขียนไขและวานิช’ เมื่อไหร่


    โจ้  : ประมาณสิ้นเดือนนี้ครับ เป็นเดดไลน์ที่สุด เพราะเราต้องส่งเดโม่ไปให้บริษัทที่ทำให้ ไปทำมาสเตอร์กับแผ่นออกมา ทำเป็นแผ่นเสียง 




    ตอนซาวน์เช็คอีกเหมือนกัน ช่วงระหว่างที่ทำกำลังทำซาวน์กัน ผมได้ยินคุณพูดกับทีมงานของคุณประโยคนึงว่า ‘ถ้าคนไม่คุยมันก็ได้ยิน’ คุณมีปัญหาเรื่องนี้เยอะหรือเปล่า


    โจ้  : ใช่ แต่มันชินแล้วพี่ มีประจำ แต่ถ้าแบบนี้ (โชว์นี้จัดขึ้นที่ Let it Beer ซอย ศิลปสนิท ซึ่งร้านมีขนาดค่อนข้างเล็ก ) มันก็เหมือนคัดคนด้วยเนาะพี่ มีการเก็บบัตรและมีจำนวนที่นั่งที่จำกัดด้วย อาจจะได้คนมาตั้งใจฟังจริงๆ แต่ถ้าเป็นฟีลแบบร้านเหล้าจ๋าเลย เราก็ต้องทำใจ 


    แล้วอย่างครั้งนี้เราคาดหวังอะไรคนดูแบบไหน


    โจ้ : ถ้าวันนี้ก็คงได้อยู่แหละครับ ผมไม่รู้ ผมไม่มีแพลน (ยิ้ม/หัวเราะ) 


    คำถามสุดท้าย แต่ละคืนที่คุณออกไปเล่นแสดงดนตรีในฐานะ ‘เขียนไขและวานิช’ คุณคาดหวังอะไรไหม


    โจ้ : ไม่เลยครับ เดี๋ยวเราก็จะรู้กันเอง แค่สบตาก็รู้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกครับ ถ้าใครได้อะไรกลับไปก็เอาไป ใครไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้โกรธเขาหรอก แต่เมื่อก่อนก็เป็นอยู่นะ งอน อะไรงี้ คนคุยกัน แต่ปัจจุบันผมปล่อยละ ทำใจ แล้วก็กลับมานั่งคิดทบทวนกับตัวเราเองมากกว่าว่า เฮ้ย โชว์เราไม่ดีหรือเปล่า เราจะไปโทษคนอื่นไม่ได้ เราต้องทบทวนตัวเองเสมอว่า การทำงานของเรามันเต็มที่หรือเปล่า เพราะถ้าอย่างน้อยเราทำเต็มที่แล้วมันไม่เวิร์กก็ไม่เป็นไร เพราะเราทำมันเต็มที่แล้ว เราโอเคกับตัวเราเองก็พอแล้ว ถ้าทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้วมันจบตรงไหนเราก็โอเค แปลว่าผมได้รับผิดชอบต่อสิ่งที่ผมทำ ที่เขาจ้างผมมา ตั้งใจทำมันก็ออกมาอย่างเต็มที่





    ติดตามความเคลื่อนไหวและการเดินทางของ โจ้ และผองเพื่อน ในนาม ‘เขียนไขและวานิช’ ที่ https://www.facebook.com/kiankailaewanich/ 


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in