;เราจดจำครั้งแรกเพื่อทำมันในครั้งถัดไป
.
.
เราไม่ได้คิดอะไรเลยหรือแท้จริงก็คือคิดอะไรไม่ออกมาหลายวันตัวเราแปลกไปกว่าที่เคยรู้จักแม้ว่าจะทำทุกอย่างเหมือนเดิม มีช่วงโหว่บางอย่างอยู่ในท้องและหน้าอกทุกครั้งที่เราหลับตาเรามักจะพบคราบน้ำตรงหางตาเสมอ มันไม่มีที่มาและไหลลงไปกับหมอนอย่างเงียบเชียบ
เราหลับไปทั้งอย่างนั้นหลายต่อหลายคืน
.
และตื่นมาด้วยความหวังว่าคืนนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นอีก
มีหลากหลายเรื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมาซึ่งกล่อมเกลาตัวเราไปในทิศทางใหม่(เราคิดว่าอย่างนั้น) ทั้งนี้เราจะพูดถึงเรื่องการทำงานก่อนเป็นอย่างแรก
ในช่วงชีวิตกว่า 21
เราในวัย 21 ปี ได้เจอกับการทำงานเป็นครั้งแรก งานบริการที่เราไม่เคยชอบใจแต่ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อมีตัวแปรสำคัญอย่างเงินเข้ามาร่วมด้วย สถานะทางการเงินของครอบครัวที่ไม่สามารถนัได้ว่าเพียงพอเหมือนก่อนหน้า ผลักดันให้เราออกท่องมายังเส้นทางการใช้แรงงานอย่างเต็มรูปแบบ
เราเดินทางกว่า 7 ชั่วโมงไปยังบ้านญาติที่อยู่จังหวัดซึ่งถัดไปจากถิ่นที่อยู่หลายร้อยกิโลเมตรเป็นการเดินทางที่น่าหวาดหวั่นที่สุด จริงอยู่ที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเดินทางไปที่จังหวัดที่ว่านั้นคนเดียวแต่เป็นครั้งแรกที่ต้องเดินทางไปในจุดหมายที่ต่างจากครั้งก่อนๆ -- มันไม่ใช่วันพักผ่อนอีกต่อไป
ความรู้สึกของการไกลบ้านไม่ได้กัดกินเราได้มากไปกว่าความหวาดกลัวแรกทีเดียวเราหวาดกลัวความผิดหวัง คิดถึงผลลัพธ์ของการผิดหวังไปต่างๆ นาๆแต่ต่อมาเราเริ่มหวาดกลัวการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่
สำหรับคนที่ไม่เคยทำงานอย่างจริงจังมาทั้งชีวิต นี่ไม่ใช่เพียงความท้าทายเมื่อเราเคยชินกับการเรียนและการจดจ่อกับตำรามากกว่าเครื่องคิดเงินหน้าตาคุ้นเคยที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเดิมอีกต่อไป จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้เรามักจะคุ้นเคยกับเจ้าเครื่องนี้ในฐานะเครื่องที่แสดงถึงยอดชำระเงินในร้านสะดวกซื้อเสมอแต่ในครั้งนี้เราต้องทำความคุ้นเคยกับมันในฐานะเพื่อน --ผู้ร่วมงาน
ใช่แล้ว งานแรกของเราคือพนักงานเซเว่น
มันรวดเร็วจนเรามึนงง, วันแรกที่ทำความรู้จักกับเจ้าเพื่อนร่วมงานอิเล็กทรอนิกส์นั้นยากจนเราแทบร้องไห้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมหน้าตาคล้ายคอมพิวเตอร์ที่คิดว่าคุ้นเคยกันดีนั้นจะสร้างความยุ่งยากให้เราขนาดนี้
ตอนนั้นตัวเรารู้สึกเล็กลงทันตา รอบข้างดูใหญ่ขึ้นในความรู้สึกจนน่าหวั่นใจเราคิดเงินอย่างตะกุกตะกักท่ามกลางสายตาไม่พึงใจของลูกค้าสีหน้าของผู้จัดการร้านเรียบตึงเสมอ และมองดูเราอย่างละเอียดจนเกร็งไปทั้งตัว (แม้ในระยะหลังท่าทางนั้นจะไม่มีผลอะไรกับเราอีกต่อไป)
ในช่วงเวลาของการทำงานนั้นเราสังเกตได้ถึงความอดทนอย่างมหาศาลที่ไม่เคยค้นพบในตัวเองมาก่อนแม้จะแอบไปบ่นในทวิตเตอร์หรือโทรไปบ่นกับแม่เรื่องลูกค้าแปลกๆ บ้างเป็นบางครั้งแต่ตอนนั้นเรารู้ว่าตัวเองสามารถวางทิฐิลงได้อย่างน่าประหลาดทั้งอีโก้ในตัวที่สูงลิ่วก็ไม่ได้มีมากจนจมไม่ลงอย่างเคย
เราสามารถเอ่ยปากขอโทษได้อย่างเต็มปากแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่เคยใส่ใจเราเอ่ยขอบคุณได้คล่องขึ้น และรับความผิดพลาดของตัวเองที่เราเคยเมินเฉยได้ --นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้เราอ่อนโยนกับตัวเองได้มากขึ้น
แม้จะมีเรื่องผิดพลาดที่ทำให้งานออกมาล่าช้าและบางครั้งแสนจะไม่ได้ดั่งใจ แต่สุดท้ายแล้วเราก็สามารถยอมรับและวางความรู้สึกหนักในใจลงได้อย่างง่ายๆแบบที่เราก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้ เราที่มักหมกมุ่นและผิดหวังกับความผิดพลาดเสมอ
แน่นอนว่าการทำงานที่นั่นไม่ได้มีแต่เรื่องที่ดีจนน่าจดจำเราทำงานหนักและบางครั้งก็ถูกเอาเปรียบจากคนอื่นเป็นประจำ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแย่มากเท่าไหร่อาจจะเป็นเพราะเรารู้สึกดีกับตัวเองเกินกว่าจะสาดความรู้สึกแย่ๆ กับใครแต่ถึงอย่างนั้นด้วยงานที่หนักพอสมควรบวกกับเวลานอนที่น้อยนิดทำให้เราไม่สามารถแจ่มใสได้อย่างที่อยากให้เป็น และในบางวันอาจนับได้ว่าเป็นวันที่หดหู่มากทีเดียว
.
ช่วงเวลาเกือบเดือนครึ่งที่นั่นนับได้ว่าให้อะไรเราหลายอย่าง เราภาคภูมิใจและอ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เรามองเห็นข้อบกพร่องและรู้สึกผิดหวังกับตัวเองในหลายๆมิติอยู่ดี
ฟังดูย้อนแย้งแต่นั่นเป็นความรู้สึกรวบยอดที่ตกตะกอนอยู่ในใจเราตลอดเวลาที่เดินทางกลับบ้านเราเข้าใจว่าตัวเองช่างเป็นคนหนึ่งที่มีข้อบกพร่องเต็มไปหมดทั้งยังเย่อหยิ่งอย่างไม่น่าให้อภัยในบางเรื่องอีกด้วย
ที่จริงแล้วเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในสายตาคนอื่นเราเคยเป็นแบบไหนและเปลี่ยนไปบ้างหรือยังแต่สำหรับเราช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เราคิดมากขึ้น ทำมากขึ้น เราสนใจความรู้สึกของตัวเองและพยายามบาลานซ์มันกับคนรอบข้างได้ดีขึ้นหนึ่งระดับในความรู้สึก
ถ้าชั่งจากความรู้สึกเราแล้ว เรื่องนี้ทำให้เราค่อนข้างชอบการใช้ชีวิตที่มากกว่าแค่การเรียนขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ---หน่อยเดียวน่ะนะ
.
.
เราไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมีประสบการณ์ครั้งแรกในช่วงเวลาติดๆกันขนาดนี้ แต่หลังจากประสบกับช่วงเวลาทำงานครั้งแรกต่อมาเราก็เจอกับประสบการณ์ออกจาก Comfort Zone
หลังจากกลับจากทำงานด้วยเรื่องด่วนของที่บ้านพอจบเรื่องได้ไม่กี่วันเราก็ตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วนเพื่อไปหาเพื่อนสนิทอีกจังหวัดหนึ่งเราไม่อยากพูดถึงความรู้สึกในช่วงคาบเกี่ยวของเวลาตอนที่อยู่บ้านเท่าไหร่นั่นเพราะมันช่างวุ่นวายและน่าเหนื่อยหน่าย
ที่จริงก็ดูเป็นข้ออ้างของการเก็บกระเป๋าไปหนีตามเพื่อนสาวเมืองชายทะเลที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว
เราเริ่มต้นการท่องเที่ยวแบบจริงจังของตัวเองครั้งแรกด้วยการเกือบตกรถเพราะออกจากบ้านช้าและรถจากที่บ้านขับช้ากว่าที่คิดช่างเป็นนิมิตรหมายที่ดีเสียจนน่าหวั่นใจแต่สุดท้ายเราก็ไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัยหายห่วงหลังจากกระโดดกอดเพื่อนด้วยความคิดถึงจากช่วงเวลาที่ห่างกันเกือบปีเป็นการใหญ่-- เราก็เริ่มต้นทริปด้วยตลาดแห่งหนึ่งซึ่งคิดว่าคงจะขึ้นชื่อในจังหวัดพอดูคาดคะเนได้จากมวลมหาประชากรที่หลั่งไหลเบียดเสียดกันและบรรดาอาหารของใช้ต่างๆ ที่เรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา
เราเดินไปจนทั่วและไม่ลืมที่จะเสียเงินค่ากระเป๋าไปอย่างหน้ามืดตามัวแต่ใช้เวลาเดินดูของแค่ไม่นานเพราะความเหนื่อยสะสมก่อนหน้านั้น ช่วงสามชั่วโมงที่เดินทางและน้ำหนักกระเป๋าที่ถ่วงอยู่ด้านหลังทำให้เราล้าเต็มทีประกอบกับว่าบ้านของเพื่อนเราเองที่อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควรเราเลยตัดสินใจพากันกลับ
คืนนั้นเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากครอบครัวเพื่อนสนิท ได้นั่งคุยบอกเล่าเรื่องราวในช่วงที่ผ่านมากับเพื่อนอย่างที่ไม่ได้ทำมานานเรารู้ตอนนั้นเองว่าเราคิดถึงความสบายใจในตอนที่อยู่ใกล้ๆเพื่อนที่สนิทที่สุดขนาดไหน มันเป็นความสบายใจที่อบอวลและเราหลับไปด้วยความรู้สึกดีอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน
เราเริ่มเช้าอีกวันด้วยการไปวัดที่ขึ้นชื่อของที่นั่นที่จริงดูจะเป็นธรรมเนียมของเรากับเพื่อนไปแล้วว่าหากไปเที่ยวบ้านของอีกคนจะต้องพากันไปวัดเป็นอย่างแรกแม้ว่าอากาศแสนจะร้อนแต่เรากลับสนุกกับการตะลอนไปทั่ว จิบกาแฟและคุยกันอย่างออกรสหาของอร่อยกินและหัวเราะออกมาเต็มเสียงตลอดทั้งวัน
พวกเราปิดท้ายเย็นวันนั้นด้วยริมชายหาดเราที่ยังคงกลัวน้ำทะเลได้แต่นั่งมองมวลน้ำสาดคลื่นกระทบทรายเหมือนอย่างเคยแต่ไกลออกไปอีกหน่อย มีเพื่อนเราที่ยิ้มสนุกสนานกับการเล่นน้ำทะเลอยู่ตรงนั้น
ตอนนั้นเราคิดจริงๆ ว่าแค่นั้นก็ดีมากแล้ว
เราจำไม่ได้ว่าวันนั้นหลับไปยังไง แต่ในช่วงเช้าของอีกวันเราตื่นสายและแน่นอนว่าเพื่อนสนิทเราก็ไม่ต่างกันสุดท้ายกว่าจะจัดการอะไรกันเสร็จก็ปาเข้าไปเที่ยงวัน แพลนเที่ยวตลาดยามสายล่มอย่างไม่เป็นท่าเพื่อนสาวที่รู้สึกผิดเลยได้แต่วนรถพาเราชมเศษซากอารยะธรรมของตลาดที่เริ่มถูกเก็บทีละน้อยและให้คำมั่นกันไว้อย่างดิบดีว่าไปรอบหน้าจะไม่พลาดอย่างเดิมอีก
เก็บเงินรอได้เลยเพื่อน
และไม่รู้ด้วยเพราะอยากไถ่โทษเรื่องตลาดหรืออะไรเทือกนั้นหรือเปล่าเพื่อนสาวเราถึงได้ตะบี้ตะบันพาเราชมรอบเมืองและถ่ายรูปกันจนเกินคุ้ม แล้วตอนนั้นเองที่เรารู้ว่าเมืองที่เรารู้สึกเฉยชากับมันมาตลอดมีอะไรที่อิมแพคเรามากกว่าที่คิดบรรยากาศของเมืองที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของเราอย่างพอดิบพอดีทำให้เราตกหลุมรักอย่างช่วยไม่ได้
เราคิดว่าวันนั้นคงเป็นอีกวันที่เราจดจำความสุขได้อย่างดีทั้งช่วงเวลากลางวันที่ตะลอนเที่ยวกันเต็มที่ ช่วงที่แวะพักผ่อนพูดคุยกันในร้านกาแฟแห่งหนึ่งนานนับชั่วโมงช่วงเย็นที่ได้เจอเพื่อนใหม่และวิวพระอาทิตย์ตกดินที่น่าประทับใจช่วงเวลากลางคืนในร้านหมูกระทะที่มีเรื่องเม้าส์กันอย่างไม่รู้จบหรือช่วงดึกริมทะเลกับเบียร์และมุขตลกที่สาดใส่กันไม่ยั้ง แม้ว่าท้ายที่สุดเราจะจบคืนนั้นด้วยเรื่องน่าปวดใจที่เกิดขึ้นกับเพื่อนบางคนในกลุ่มจนแทบนอนไม่หลับแต่เราก็ยังตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสเพื่อพบว่าเป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ที่นั่น
วันนั้นเราไม่ได้ใช้เวลาในช่วงเช้าไปกับอะไรมากไปกว่าอ่านหนังสือรอเพื่อนกลับจากเรียนวันนั้นเธอมีสอบสำคัญและเราคิดว่ามันเป็นไปด้วยดีทีเดียวคะเนได้จากรางวัลจากอาจารย์ที่เอามาแบ่งเราน่ะ
เราปิดทริปด้วยการวนหาร้านข้าวที่ระดมความคิดกันจนหมดแต่ก็พบว่าทุกร้านที่ลงความเห็นกันมานั้นปิดทำการสุดท้ายก็มาจบที่ร้านข้าวขาหมูด้วยอาการเหงาหงอย แต่ถึงอย่างนั้นก่อนกลับก็ยังมิวายไปหาร้านกาแฟไปนั่งกันต่ออยู่ดี
เราเองก็ค่อนข้างประทับใจร้านกาแฟที่ว่าเป็นพิเศษเพราะที่ตรงนั้นแทบจะรวมทุกอย่างที่เราชอบเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งร้านตัวร้านที่แทบจะล้อมรอบด้วยกระจกการจัดสัดส่วนโต๊ะที่สบายตา กลิ่นกาแฟที่กรุ่นไปทั้งร้านเสียงจอแจเล็กๆของคนที่นั่งทำงานของตัวเอง มุมโต๊ะที่มองเห็นทะเลด้านนอก และอเมริกาโน่รสชาติถูกปากนั่นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เรารู้สึกอิ่มใจเป็นพิเศษ
หนังสือ 'เกาหลีใต้ที่นอน' ของพี่นัทที่เราหยิบติดมือขึ้นมาอ่านก็เข้ากันดีกับร้านนั้นจนน่าประหลาดใจ--
ตอนนั้นเองที่เรารู้สึกว่าช่วงเวลาแค่สั้นๆสองวันนั้นรักษาใจที่หนักหน่วงของเรามากแค่ไหน
อาจจะเพราะการทำงานร่วมเดือนครึ่งที่กินเวลานอนและพลังกายไปมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนร่วมกับปัญหาต่างๆ ที่ตามมาอย่างต่อเนื่องทำให้เราหม่นหมองลงอย่างถนัดตาราวกับว่าใช้พลังชีวิตจนเหมือนขีดต่ำเต็มทีแต่เมื่อผ่านช่วงเวลาของการพักผ่อนนั้นมา เราก็สามารถยิ้มได้มากขึ้น
เราที่ไม่เคยเข้าใจคำว่าหาเวลาพักผ่อนอย่างจริงจังที่ใครๆเคยบอก ได้รู้ในตอนนั้นเองว่าการพักผ่อนไม่ใช่แค่การกลับบ้านและนอนหลับหรือตื่นมาอ่านหนังสืออย่างเคย แต่มันยังเป็นการปล่อยเรื่องราวที่ต้องคิดลงและขยับเท้าไปทำสิ่งใหม่ๆ บ้าง
ตอนที่เขียนบรรทัดนี้
.
เรายิ้มออกมาบ้างแล้วและคิดขึ้นได้ว่าเราอาจจะไม่ได้เปิดเวิร์ดหน้านี้เพื่อเขียน 'อะไรสักอย่าง' แต่เปิดมันขึ้นเพื่อเป็นการคุยกับตัวเองและเรียบเรียงความคิดที่ปล่อยปละละเลยมานานพอสมควรแล้วให้เข้าที่
รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
//นี่หรือเปล่านะความรู้สึกดีเวลาที่เราได้เขียนอะไรออกมา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in