01
สวัสดีค่ะ วันนี้หญิงจะมารีวิวทริปลุยเดี่ยวเที่ยวไปกับรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียนะคะคุณผู้ชม
เชื่อว่าหญิงไทยสมัยใหม่ที่มีใจรักการท่องเที่ยวหลายนาง ก็แอบฝันถึงเส้นทางสายไหมอันชวนหลงไหลเส้นนี้นะคะ เราจะมาทำความฝันให้เป็นจริงกันค่ะ คำถาม อะไรนะ ผู้หญิงสวยๆบอบบาง และตัวคนเดียว ไปได้เหรอคะ ไม่อันตราย ไม่โหด ไม่บลาๆๆๆ ไปเหรอคะ ตอบ ไปได้สิคะ ถ้าบ้าพอ เหย ไม่ใช่ ถ้าความกล้าอยู่เหนือความกลัว และหาข้อมูลให้เพียงพอ การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่อันตรายไปกว่าการนั่งรถไฟไปสุไหงโกลกแต่อย่างใด มาสิจ๊ะ คว้าเสื้อฮีทเทค เฟอร์อุ่นๆ และอุปกรณ์กันหนาวทุกประเภท แล้วตามหญิงมาพิสูจน์กันเลยค่ะ
แอบตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะเป็นการเขียนรีวิวครั้งแรก แต่ไม่ใช่ทริปแรกที่เดินทางคนเดียวนะจ๊ะ บอกเลย แบคแพคยุโรปเหนือ 1 เดือน หญิงก็รอดมาแล้ว แต่ทริปนี้ฟินสุดค่ะ แค่นึกถึงก็ประหนึ่งว่ากำลังจะออกเดินทางขึ้นรถไฟกันอีกรอบเลยทีเดียว จะร่ำไรไปใย เริ่มเดินทางกันดีกว่าค่ะ
โดยเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพฯ บินไปปักกิ่ง และเริ่มขึ้นรถไฟจากปักกิ่ง ไปจบที่มอสโควนะคะ รวมเวลาการเดินทางทั้งสิ้น 8 วัน 7 คืนค่ะ
สถานีรถไฟปักกิ่ง
ต้องขอบอกก่อนว่า ระยะเวลาการเดินทางขึ้นอยู่กับเราเป็นผู้กำหนด แล้วแต่ความสะดวกและความสบายใจส่วนบุคคลเป็นที่ตั้ง สุดแล้วแต่ว่าจะแวะพักระหว่างทางที่ไหนบ้าง กี่วัน แต่ทริปนี้หญิง เดินทางช่วงมกราคม ซึ่งเป็นฤดูหนาว(มาก) ในแถบนั้น อุณหภูมิบางแห่งที่รถไฟวิ่งผ่าน ต่ำถึง -29 องศาเซลเซียส
กรุณาดูภาพประกอบ
-29°C จีจีจ้ะ บรึ๋ย
โอ้แม่เจ้าเค้าดำรงชีวิตและกินอะไรเข้าไปกันนะ ถึงเอาชีวิตรอดมาได้ในฤดูหนาวที่แสนหฤโหดปานนั้น
อย่างนี้สินะ คนรัสเซีย ถึงชอบดื่มวอดก้าแก้หนาวกัน
และด้วยอากาศหนาวติดลบเยี่ยงนี้ หญิงบอบบางอย่างเราที่เกิดและเติบโต ณ ดินแดนแห่งนางฟ้า ที่คุ้นชินแต่หน้าร้อนกับหน้าร้อนจำลองวิถีนรก ทำให้หญิงจัดทริปนี้เป็นทริปนั่งรถไฟใส่เฟอร์ ชมวิวสองข้างทางชิลๆ แทนการ hop on hop off และแวะพักชมเมืองรายทางอย่างที่เคยทำมา
เพราะหากให้ไปเดินเล่นชมเมือง ณ เพลาเยือกเย็นเยี่ยงนี้ ก็เกรงว่าจะไม่ถูกจริตหญิงเท่าที่ควร แต่ถ้าเป็น Spring Summer Autumn มิมียั่นอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าจะถามว่าแล้วทำไมไม่ไปหน้าอื่นล่ะอีหญิง
อันนี้หญิงก็ต้องขอชะม้อยหางตามองบน ยิ้มมุมปากสวยๆและตอบว่า พอดีว่าหญิงนึกอยากจะชมวิวของดินแดนนี้ใน Winter season น่ะสิคะ
เพราะโดยส่วนตัวก็ชอบดูวิวหน้าหนาวที่มีหิมะขาวโพลนปกคลุมต้นไม้ใบหญ้า จนดูสวยงามแปลกตา ประหนึ่งว่าเราเป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองหิมะ ในขณะที่เราเองนั่งใส่เฟอร์ จิบชา ฟังเพลงจากไอพอด และชมวิวสองข้างทางผ่านกระจกรถไฟ ที่มีเครื่องทำความร้อน (แต่ก็ยังหนาวมั้กๆค่ะ) ยังต้องพึ่งเสื้อฮีทเทคจากยูนิโคล่อยู่ดี การนั่งชมวิวงามๆ จากตู้รถไฟจึงเป็นอะไรที่ลงตัวสำหรับทริปนี้ค่ะ เป็นความตั้งใจของหญิงเองล้วนๆ ไม่มีใครบังคับ หรือเพราะตั๋วราคาโปรโมชั่นแต่อย่างใด จบเนอะ ไปต่อกันเถอะเธอ
เอาล่ะเมื่อสรุปและหาเวลาที่เหมาะสมได้แล้ว เราก็หาข้อมูลก่อนการเดินทางกันเลยค่ะ ว่าจะซื้อตั๋วรถไฟได้ที่ไหน และจะวางแผนการเดินทางอย่างไร ก็จะไปยากอะไรคะ Google search สิคะ แค่พิมพ์คำว่า Trans-Siberian ก็ขึ้นมาพรึ่พรั่บเลยค่ะ
ข้อมูลเพียบ อ่านเพลินจนลืมกินข้าว และซูบผอม แต่หัวเริ่มโตเพราะเต็มไปด้วยข้อมูล มีเวบมากมายเกี่ยวกับเส้นทางสายนี้ แต่เวบที่หญิง จะแนะนำ คือ
http://www.seat61.com/SilkRoute
เวบนี้จะมีรายละเอียดค่อนข้างครบ รวมทั้งสามารถคลิกจองตั๋วรถไฟได้เลยซึ่งจะเป็นการจองผ่าน บริษัททัวร์ของปักกิ่งอีกทีข้อดีคือเราสามารถเลือกให้เค้าส่งตั๋วรถไฟมารอเราที่เคาน์เตอร์ ณ โรงแรมที่เราพักในปักกิ่งได้เลย โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลามะงุมมะงาหรา ไปซื้อตั๋วรถไฟเองที่สถานีรถไฟปักกิ่ง แต่แน่นอน มันก็ต้องมีค่าบริการเพิ่มเติมเป็นธรรมดาค่ะ ค่าตั๋วรถไฟที่จ่ายไปสุทธิ คือ 928.16 GBP คิดเป็นเงินไทย ณ วันที่เขียน ก็ประมาณ 51,490 บาทค่ะ เป็นตู้นอนที่มีแค่ 2 เตียงต่อ 1 ห้องค่ะ พร้อมห้องน้ำส่วนตัว ฟังดูหรูเนอะ ยังจ้ะ อย่าพึ่งฝันไปนะคะคุณ ไปดูความเป็นจริงกันค่ะพอเช็คอินที่เคาน์เตอร์กับพนักงานตี๋หมวยที่ดูลุคอินเตอร์และมารยาทงามมาก ตรวจพาสปอร์ตกันเสร็จสรรพ พลันพนักงานก็ยื่นซองสีขาวที่บรรจุตั๋วรถไฟที่เราซื้อไว้มาให้ โมเมนต์นั้นมันเหมือนมีแสงออร่าเรืองรองส่องประกายอยู่รอบๆซองนั้น สะท้อนเข้าในตา และหัวใจก็พองโตโอ้มายด์ก้อด กรูไม่โดนหลอกแน่แล้ว
รีบกดลิฟต์เข้าห้องเปิดซองออกดู ก็เจอตั๋วรถไฟ และคูปองอาหารฟรีสองมื้อแรกจริงๆด้วย และการเดินทางในฝันของเราก็กำลังจะเป็นจริงในอีก 24 ชม ข้างหน้านี้แล้ว
ชื่อและที่อยู่บริษัททัวร์ในปักกิ่งบนหลังซองที่ใส่ตั๋วรถไฟ
ปล.คุณคือผู้โชคดีที่ได้อ่านเรื่องนี้ เพราะเราได้ที่อยู่ บริษัททัวร์ในปักกิ่งที่น่าจะสามารถซื้อตั๋วรถไฟให้ท่านได้โดยไม่ต้องผ่านเวบของ seat61 ซึ่งคาดว่า คุณจะได้ในราคาที่ถูกลง แต่หากใครเปรี้ยวมาก จะลองเผื่อเวลาไปเที่ยวปักกิ่งสักสามวัน และไปซื้อตั๋วรถไฟที่สถานีปักกิ่ง ก็คงจะได้ราคาถูกสุดติ่ง แต่ก็ต้องอาจเสี่ยงกับตั๋วเต็มหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่ทราบได้ โดยเฉพาะหน้าไฮอย่างช่วงซัมเมอร์ ใครก๋ากั่นกล้าลองช่วยเขียนมาเล่าปันประสบการณ์กันบ้างก็คงเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์นักเดินทางไม่น้อย
03
ไปเดินเล่นในพระราชวังต้องห้ามกันก่อนไม๊จ๊ะเธอ
เวลามีน้อยโปรดใช้สอยอย่างรู้ค่า ว่าแล้วก็รีบคว้าอุปกรณ์กันหนาวทั้งมวล หยุดดราม่าตั๋วรถไฟไว้ตรงนั้น แล้วไปเดินเล่นชมเมืองปักกิ่งกันเถอะ
เรามีเวลาครึ่งวันกับหนึ่งคืนในปักกิ่ง เมื่อกี๊ตอนเดินมาโรงแรมเราก็ได้ผ่านสี่แยกหรูหราของกรุงปักกิ่งมาแล้วซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย ประมาณ 600 เมตร เห็นจะได้ ดูไปแล้วก็เหมือนแยกราชประสงค์บ้านเรา ที่แต่ละมุมเต็มไปด้วยร้านสินค้าแบรนด์เนม
ใครที่ชอบช้อปสินค้าแบรนด์เนมและรู้สึกดีที่ได้ภาษีนักท่องเที่ยวคืน ก็ไม่ต้องบินไปไกล ปักกิ่ง ตอบโจทย์ท่านได้ แค่อาจรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยว่า ของที่เดี๊ยนช้อปมานี้ ใช่ของแท้ หรือก๊อปเกรด โครต AAA กันแน่ แต่คงไม่หรอกเนอะ อาจรู้สึกไปเอง ด้วยชื่อเสียงด้านนี้ของประเทศเค้าจนเป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของสินค้าจีนไปแล้ว
สี่แยกหะรูหะราราชประสงค์ของกรุงปักกิ่ง
เอาล่ะเมื่อเราไม่มีความประสงค์ใดๆในสี่แยกราชประสงค์ของกรุงปักกิ่ง เราจึงลัดเลาะไปอีกทางเพื่อชมความงามอลังการของพระราชวังต้องห้ามอันเป็นมรดกโลกกันดีกว่า จากการศึกษาเส้นทาง โดยการถามพนักงานโรงแรม และได้แผนที่จากโรงแรมมาหนึ่งแผ่น เราก็น่าจะเดินไปถึงพระราชวังต้องห้ามนี้ได้ในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง หากไม่หลงไปไหนเสียก่อน
ออกเดินไปดูร้านรวงสองข้างทาง และจำทางไปด้วย ต้นไม้หน้าหนาวสลัดใบทิ้งทั้งต้น เพื่อความอยู่รอดเหลือแต่กิ่งก้านตระหง่านท้าลม รูปร่างของกิ่งไม้ตัดกับสีปูนและสิ่งก่อสร้าง ทำให้ดูสวยไปอีกแบบ บ้านเรือนแถบนี้ยังคงไสตล์ศิลปะชาติจีนไว้อย่างเหนียวแน่นดูวิไลและมีเอกลักษณ์ ประตูไม้บานใหญ่มองไปข้างในเห็นบ้านเรือนที่สร้างเป็นแนวตัวยู อยู่หลายหลัง พลันให้นึกถึงหมู่บ้านในหนังจีนกำลังภายในสมัยก่อนยังไงอย่างงั้น ดูอบอุ่นแท้ นี่เค้าจะมีการฝึกวิทยายุทธกันอยู่ด้านในไม๊นะ แอบมองลอดกำแพงเข้าไปเห็นแต่หนุ่มใส่สูทผูกไทและแจ๊กเก็ตสมัยใหม่ เดินขวักไขว่ ไม่มีการฝึกวิทยายุทธ หยุดมโน
การตากผ้าแบบฮิปสเตอร์ปักกิ่ง
ร้านค้าข้างทาง
นี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว แวะหาอะไรรองท้องก่อนดีกว่า เห็นร้านอาหารริมถนน 2-3 เจ้าเลือกเข้าร้านนี้ละกัน แอบเห็นป้ายเล็กๆหน้าร้านว่า มีเมนูภาษาอังกฤษ เหมือนจะเป็นร้านบะหมี่เกี๊ยวน้ำและอาหารตามสั่งแบบพื้นเมืองปักกิ่ง
พอเลือกที่นั่งได้ ป้าจูก็เอาเมนูมาเหวี่ยงให้เบาๆบนโต๊ะ อัยย่ะ ตบอกเล็กๆ และอุทานในใจว่ากรูอ่านไม่ออกสักตัว ก็ป้าจูน่ะสิดันเอาเมนูภาษาจีนล้วนมาให้ ส่งสายตาและเอ่ยบอกป้าไปว่า อิ๋งลิชผลีส อีป้าเบะปากใส่หนึ่งที เพราะคงเห็นหน้าอีหมวยนี่ ทำเป็นดัดจริตอ่านภาษาจีนขั้นพื้นฐานไม่ออกหรืออย่างไร พลางเดินไปหยิบเมนูภาษาอังกฤษเหวี่ยงมาให้ใหม่ โวะ Thank you ค่ะป้าจู และแล้วก็ได้เกี๊ยวน้ำปักกิ่งมาซดแก้หนาว ถึงแม้จะไม่อร่อยเท่าบะหมี่เกี๊ยวบ้านเรา แต่ก็พอให้ร่างกายอุ่นและมีแรงเดินต่อไป
เดินต่อมาอีกหน่อยถึงแยกซึ่งตัดกับถนนใหญ่ยักษ์ ด้านตรงข้ามแยก เป็นอาคารใหญ่ ดูเหมือนหน่วยงานราชการจีน และผู้คนมากมายล้วนมุ่งไปทางขวาซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับทางไปพระราชวังต้องห้ามตามแผนที่ที่ได้มา เราจึงเดินรวมๆไปกับชาวจีนและนักท่องเที่ยวฝรั่ง ที่มุ่งหมายได้เห็นพระราชวังสำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนและประวัติศาสตร์โลกแห่งนี้ ที่สุดท้ายแห่งระบบจักรพรรดิของจีน
The Last Emperor ก่อนถูกโค่นล้มและแทนที่ด้วยระบอบคอมมิวนิสต์
เดินนวยนาดมาไม่นาน ก็เห็นแถวยาวเหยียดสองสามแถวผู้คนยัดเยียดไปในทิศทางเดียวกัน มันต้องเป็นทางเข้าพระราชวังเป็นแน่แท้เลือกมันซักแถวนึงละกันวะ พระเจ้า และแล้ว เราก็ได้นำตัวเองเข้ามาสู่ระบบการเข้าแถวแบบชาวจีน กล่าวคือ เอาเข้าจริงมันเหมือนไม่รู้จริงๆว่าแถวไหนเป็นแถวไหนกันแน่ คนมาออกันสามหมื่นเจ็ดพันห้า เพื่อจะเข้าช่องตรวจอาวุธแคบๆเพียงสองรูเล็กๆ มันจึงเหมือนเดินเบียดๆไหลๆกันไปมากกว่าการต่อแถว แต่สุดท้าย เราก็รอดเข้ามาจนได้ ดีนะ ที่อากาศมันหนาวทำให้การเบียดเสียด มันไม่โหดจนเกินไปนัก ด้วยไม่มีกลิ่นเหงื่อไหลไคลย้อยมาปะปนให้ระคายเคืองจมูกและจิตใจ แต่มีมนุษย์ที่สูบบุหรี่ตัวเหม็น ปะปนมาบ้าง ขำๆ การเบียดเข้าแถวแบบจีนนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก ในอากาศประมาณ 7 องศาแบบวันนี้
พอหลุดเข้ามาได้ก็ต้องพบกับความอลังการงานสร้างอันมหึมา โอ้แม่เจ้า ขอกราบ ที่เราเห็นในหนังว่าอลังการแล้ว การได้เห็นด้วยตาตนเองนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าอีกหลายเท่านักท่านจอมยุทธ
ข้าน้อยฯขอคารวะรัวๆหลายจอกด้วยความจริงใจ
อาคารสีแดง ที่ลายล้อม ซึ่งเป็นพื้นที่รอบนอกก่อนเข้าถึงพระราชวัง งดงามด้วยศิลปะแบบจีน ด้านข้างมีอาคารชั้นเดียว ซึ่งดูเหมือนเป็นอาคารที่พักของทหารเฝ้าวังในสมัยก่อนถูกดัดแปลงมาเป็น ร้านอาหาร คอฟฟี่ช้อป ร้านขายของที่ระลึกและห้องขายตั๋ว ก่อนเข้าไปสู่พื้นที่ชั้นใน ที่มองเข้าไปสุดลูกหูลูกตา
ด้านหน้าจตุรัสเทียนอันเหมิน ทางเข้าพระราชวังต้องห้ามด้านนอกสุด
เอาวะ หลังจาก หลุดพ้นด่านอรหันต์มาได้ในด่านแรก เราแวะพักจิบกาแฟร้อนเบาๆกันก่อนที่จะทะลุทะลวงไปในด่านต่อๆไปละกันนะ ราคากาแฟร้อนแบบสำเร็จรูปที่นี่อยู่ประมาณแก้วละยี่สิบบาท อย่ามองหาเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่ให้เสียเวลา ไม่มีจ้ะ บอกเลย
จ่ายค่าตั๋ว และผ่านเข้าประตูวังด้านในอย่างสบายๆ ไม่เหมือนด่านแรกสองรูนั้น เพราะมีช่องทางเข้ามากกว่าและไม่เสียเวลาในการตรวจอาวุธนั่นเอง
ความงดงามเกินคำบรรยาย รู้สึกเลยว่า ตามความเชื่อของจีนนั้น ผู้ที่เป็นจักรพรรดิ ดังเทพมาจุตินี้มันเป็นเยี่ยงไร สังเกตจาก การวางฮวงจุ้ยของแต่ละจุด กว่าจะเข้าถึง ส่วนที่จักรพรรดิใช้ชีวิตนั้นต้องเดินกันเป็นกิโลทีเดียว
แต่ถึงจะอยู่สูงส่งเพียงใด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นวัฎจักรแห่งธรรมชาติ ที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เช่นกัน สาธุ
ความอลังการเวิ้งว้างของพระราชวังต้องห้าม
เดินมาจนถึงประตูทางออก ขอบอกว่าเหนื่อยมากๆ ขอเตือนว่าควรฟิตร่างกายมาให้ดี ก่อนมาเที่ยวพระราชวังนี้ เพราะหากท่านตัดสินใจเดินเข้ามาแล้ว และต้องการเดินชมให้ทั่วทุกสิ่งอย่างต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า สี่ถึงห้าชั่วโมง
เราเดินออกมาจนทะลุประตูทางออกซึ่งอยู่คนละทิศกับประตูทางเข้า ใช่แล้วค่ะเจ้ งานเข้าสิคะ งงค่ะ กางแผนที่ไปมาก็ยังงง จะเดินไปทางไหนล่ะทีนี้ จะให้เดินกลับไปออกทางเดิม โนเวย์จ้ะ
นั้นมันคือการอัตวินิบาตกรรมชัดๆ เอาวะทำใจร่มๆ พักเท้าและจิบชาอุ่นๆซักถ้วยก่อนนะคะที่รัก
พักดื่มชานมรสสตอเบอรี่ ก่อนออกตามหาโรงแรมกระโปกที่รักต่อไป
ตัดสินใจออกเดินหาแท๊กซี่ เดินจนเกือบกิโลจากประตูทางออกของพระราชวัง ก็ยังหาไม่ได้ซักคัน ที่ผ่านมาสักสองสามคันก็เต็มหมด ร่างเริ่มเหนื่อยล้าและทรุดโทรม จึงไปยืนที่ป้ายรถเมล์ ประหนึ่งมีความหวังว่าจะอ่านป้ายออกว่ารถเมล์สายไหนผ่านโรงแรมเราบ้าง อ่านไม่ออกแฮะ ปลวก หล่อนเคยเรียนภาษาจีนตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
นึกได้ดังนั้นก็ถามดีกว่าไม๊คะ เล็งหาคนหน้าตาใจดีแล้วรี่เข้าไปถามอย่างสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตน
และแล้วก็ได้ประสบการณ์ซาบซึ้งน้ำใจชาวจีนเป็นยิ่งนัก คนจีนนี้ช่างใจดี อารีอารอบมาก ถึงแม้เจ้าตัวจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็อุตส่าห์จูงมือเรา ไปหา คนอื่นๆในละแวกนั้น ส่งภาษาจีนกันยกใหญ่ ดังเป็นวาระแห่งชาติ จนพบเจอคนที่พอพูดภาษาอังกฤษได้ แต่นางดันไม่รู้ทาง แป่วสิคะ
แต่ในที่สุดอาเฮียก๊วยเจ๋งคนเดิม ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ปรับกลยุทธ์ อาสาขึ้นรถเมล์คันที่จะผ่านแถวโรงแรมไปด้วยกันเลยค่ะ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้จะขึ้นสายนั้นตั้งแต่แรก แต่ก็ยอมอ้อมออกนอกเส้นทาง แล้วบอกให้เราลงเมื่อถึงป้ายแถวโรงแรม แถมออกค่ารถเมล์ให้อีก พ่อคู๊ณ น้ำใจพ่อช่างงามแท้ กราบ
เราลงรถบริเวณสี่แยกหรูหราราชประสงค์แห่งกรุงปักกิ่ง ก็เกือบๆหกโมงละ หาของกินข้างทางก่อนเข้าโรงแรมก่อนละกัน เห็นร้านค้าแผงลอย ที่ขายเฉพาะช่วงเย็น เริ่มออกมาตั้งร้านกันเอิกเกริก ดูน่ากินดี
ต้องลองนะจ๊ะ มาถึงปักกิ่ง ก็ต้องกินอาหารปักกิ่ง มีหลายสิ่งให้เลือกลอง อร่อยหรือเปล่าก็แล้วแต่รสนิยมแต่ละคน แต่สำหรับเดี๊ยน สิ่งสำคัญมากกว่ารสอาหาร ก็คือการได้ลองอาหารของแต่ละประเทศที่ไปเยือน
แผงลอยขายอาหารข้างทางกลางกรุงปักกิ่ง
อิ่มแล้วก็เข้าที่พักอาบน้ำอุ่นๆกันเถอะนะ นอนอ่านหนังสือที่หยิบมาเป็นเพื่อนเดินทางสำหรับทริปนี้ พักเท้าและกายบนเตียงนุ่มๆสะอาดๆของโรงแรมท่ามกลางแสงสีนีออนบนถนนปักกิ่งที่รอดเข้ามาจากหน้าต่างบานใหญ่ เตรียมตัวตื่นมาสวยๆ ไปออกเดทกับรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียพรุ่งนี้กันนะจ๊ะ
Good night
คูเมืองด้านหลังกำแพงพระราชวังต้องห้าม
*สาระนิยมเกี่ยวกับพระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมินเรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคมในอดีต พระราชวังแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูงยังต้องขออนุญาต เป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า"พระราชวังต้องห้าม" จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิในวังจะมีวิเสท 6,000 คนประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คนคอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง148ชุดและทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย
ที่มา : https://th.wikipedia.org /wiki/พระราชวังต้องห้าม
ทะเลสาบไบคาลได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 20 เมื่อปี พ.ศ. 2539 ที่เมืองเมรีดา ประเทศเม็กซิโก ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in