โห... เป็นคำพูดที่ cliché สุดๆ (โปรดออกเสียงตามว่า /klēˈSHā/ เพื่อความแรด 11 เต็ม 10) แต่มันคือความจริงเสียยิ่งกว่าจริง แท้กว่าความเป็นชายของผู้เขียนซะอีก (◕▿◕✿) ประมาณว่าถ้าไม่สามารถสั่งให้ตัวเองไปวิ่งกลางสายฝนได้ ก็คงหมดหวังที่จะลดน้ำหนักแล้วแหละ มันไม่ใช่ว่าวิ่งน้อยแล้วจะ burn ไม่พอ น้ำหนักไม่ลด แต่ถ้า "กะอีแค่การออกไปวิ่ง" ยังทำไม่ได้ เรื่องอื่นๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง
สวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น และรองเท้าผ้าใบซักคู่ แล้วออกวิ่งทันที ที่ยังไม่หาซื้อรองเท้าวิิ่งเทพๆ เพราะ (ตอนนั้น) ยังไม่รู้จะวิ่งไปได้กี่วัน ที่วิ่งก็เอาแบบไปง่ายๆ จะได้ไม่มี "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ไปในครั้งต่อไป สรุปรอบนี้ก็ลงเอยที่การวิ่งบนลู่วิ่งธรรมดานี่แหละ
บางคนอาจจะรู้สึกอายที่เอาหุ่นอ้วนๆ ไปวิ่ง ส่วนตัวเราเราไม่ถึงกับอายจนไม่กล้าวิ่ง แต่ก็รู้ตัวว่าตอนวิ่งนมมันกระเพื่อมน่าเกลียดxัดๆ ಠ~ಠ แต่บอกได้เลยว่าไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก ส่วนใหญ่จะ "ไม่แคร์" ต่างคนต่างวิ่ง แถมบางคนยังดูให้กำลังใจด้วยซ้ำ คนที่มาวิ่งทุกคนเข้าใจกันดี แต่ถ้ามันมีใครมาล้อจริงๆ ล่ะก็ เอามือลูบเหงื่อที่พุงแล้วป้ายหน้าแม่ม! (∩ ͡ ° ʖ ͡ °) ⊃
อันนี้เรียกว่าเป็นเคล็ดลับเด็ดที่ลองเอง แล้วพบว่าโคตรเหมาะกับเราเลย วันแรกให้เริ่มจากพยายามวิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหอบตัวโยน เอาให้อีกก้าวก็ไม่ไหวแล้วค่อยหยุด (สำคัญมาก) เพื่อที่เราจะได้ประเมินได้ว่าขีดจำกัดของเราอยู่ตรงไหน แล้วให้จดระยะทาง + เวลาเอาไว้ เช่น ของเราคือ 2 กิโลเมตร ใช้เวลา 18 นาที 30 วินาที จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ว่าต้องวิ่งให้ได้ระยะเท่าเดิมโดย "ห้ามใช้เวลามากกว่าเดิม"
ณ จุดนี้ยังไม่จำเป็นต้องพยายามเพิ่มระยะทาง แต่ให้พยายาม "ลดเวลาลง" ประมาณ 30 วินาที/ก.ม. เช่น ของเราจาก 9 นาที 15 วินาที ก็ลดเหลือ 8 นาที 45 วินาที พอทำได้ค่อยเพิ่มระยะทางครั้งละ 1 ก.ม. โดยวันแรกที่เพิ่มระยะทาง ไม่ต้องสนเวลา แต่ก็ควรจะไม่ช้ากว่าวันแรกที่วิ่ง และฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยให้แต่ละวันได้วิ่งราวๆ 25-40 นาที ถือว่ากำลังดี
ถ้าเราวิ่งเป็นประจำ เราจะสามารถ "เพิ่มรอบ" ได้ทุกๆ 2 - 3 อาทิตย์เป็นอย่างช้า เพราะเราจะแข็งแรงขึ้นแบบวันต่อวัน ด้วยเงื่อนไขเพียงข้อเดียว "ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน"
ก่อนหน้านี้บอกไปว่ายังไม่ต้องรีบหาซื้อรองเท้าตั้งแต่วันแรกๆ แต่ตอนนี้เราวิ่งได้ 2 อาทิตย์ละ เริ่มเจ็บเข่า ได้เวลาหารองเท้าดีๆ ใส่
งบประมาณสำหรับรองเท้าก็แล้วแต่ศรัทธา แต่ที่แนะนำคือราคาประมาณ 3,000 บาทเป็นต้นไป ยี่ห้อที่เคยใช้แล้วชอบก็มี Adidas, Sketchers จริงๆ มีใช้ Asics ด้วยแต่ไม่รู้เพราะซื้อตอนมัน sales หรือเปล่า เลยได้เป็นรองเท้าเก่ามาทำให้ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ (คู่ต่อไปจะไม่ซื้อตอน sales แล้ว)
เวลาซื้ออย่าเลือกจากดีไซน์ภายนอกเท่านั้น แต่ให้ลองไปหา shop ใหญ่ๆ เอาที่มีลู่วิ่งให้ลอง ใส่คู่ที่สนใจแล้วลองวิ่งจริงดู ถ้าเราวิ่งประจำเราจะรู้สึกได้เลยว่า คู่นี้แหละ ใช่เลย
อุปกรณ์อีกอย่างนึงที่ดีมากๆ คือ Fitness tracker ถ้างบน้อย ก็ใช้มือถือ โหลด application มาใช้ บันทึกแค่เวลากับระยะทางก็พอ จะได้รู้ว่า "ทำวันนี้ดีกว่าเมื่อวาน" หรือเปล่า แอพที่แนะนำก็ Run Keeper เราใช้อยู่เกือบ 2 ปีได้
แต่ถ้าพร้อมจะลุย แนะนำให้หา Health Wear ที่สามารถจับ pulse ได้มาใส่ เพราะจริงๆ แล้วเราจะ burn ได้เยอะหรือน้อย มันขึ้นกับ pulse ของเรา แล้วเรายังใช้ pulse ช่วยตัดสินใจได้อีกว่าควรจะ "เพิ่มรอบ" เมื่อไหร่ ยี่ห้อที่แนะนำก็มี Fitbit ถ้างบเยอะก็ Garmin แต่ถ้างบน้อยก็ยี่ห้ออะไรก็ได้ ไม่ต่างกันมาก (แนะนำ Xiao Mi)
พอเราใส่ Health Wear เราก็ได้รู้อะไรเกี่ยวกับการวิ่งมากขึ้น สามารถจับจังหวะที่เหมาะสมกับตัวเองได้ว่าควรเร่งเมื่อไหร่ ตอนไหนเผลอผ่อนมากไป จังหวะไหนที่เริ่ม burn หนักๆ ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นสนุกกับตัววัดชีพจรไปซะงั้น
เรื่องชีพจรนี่มีประโยชน์นอกจากตอนวิ่งด้วย เพราะเคยได้ยินมาว่า คนที่ร่างกายแข็งแรง ชีพจรตอน idle จะต่ำกว่าคนทั่วไป พอลองดูกับตัวเองก็พบว่าจริง ตอนก่อนลดน้ำหนักเราชีพจรอยู่ที่ประมาณ 98 ช่วงที่ฟิตมากๆ ชีพจรจะลงมา 60 แต่พอหยุดลดน้ำหนัก วิ่งน้อยลงก็กลับมาอยู่ที่ีราวๆ 65 (หน่วยของชีพจรคือครั้งต่อนาที)
ถึงเราจะพูดตลอดว่าต้องพยายามให้มากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักประมาณตน ดูอย่างพี่ตูนก็ได้ วิ่งๆ อยู่แต่หากจำเป็นจริงๆ ก็ต้องพัก อย่างเราเองหลังจากวิ่งไปได้ประมาณ 1 เดือนก็มีอาการเจ็บหัวเข่าทั้ง 2 ข้าง เลยจำเป็นต้องหยุดวิ่ง 2 สัปดาห์ แถมโชคดีที่มีโอกาสได้ใช้เครื่อง Elliptical ซึ่งช่วยเซฟเข่าได้มาก แต่สุดท้ายก็กลับไปวิ่ง เพราะได้สูดอากาศสดชื่นแล้วรู้สึก "ชอบมากกว่า"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in