เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นิยายไม่มีชื่อSakorn Manoromn
ตอนที่ ๑
  • ดวงตาเหม่อมองอย่างเลื่อนลอย ในแววตายังถูกทาบทาด้วยแสงไฟยามค่ำคืนของเมืองหลวงระยับภาพนี้อาจเป็นภาพที่สวยงามหากมีโอกาสได้มองเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้แต่โอกาสคือความแห้งแล้งในเวลานั้น

                    ในมือของชายหนุ่มถือแก้วเบียร์สีอำพันอร่ามทว่าสีของมันถูกกลบด้วยเงาของกลางคืน ห้องนี้จึงมืดสนิททุกสิ่งภายในห้องไม่มีความเคลื่อนไหวนอกจากใบพัดของเครื่องปรับอากาศติดผนัง

                    ความเย็นของอากาศภายในห้องขนาดยี่สิบแปดตารางเมตรโอบอุ้มความเย็นยะเยือกของเบียร์แก้วนั้นไว้ไม่ให้เจือจางเร็วเกินไปเขายกมันขึ้นจิบพลางมองแสงกระพริบของเครื่องบินบนท้องฟ้า -- ใช่มันบินข้ามความมืดและคงถึงความสว่างในไม่ช้าไม่นานนักแล้วแต่จุดหมายของเที่ยวบินนั้น

                    ๒๕๕๘ -- ปีนี้ก็อายุ๓๒ แล้ว เขาคิด และชายในวัยนี้ทุกคนควรจะมีและไม่มีอะไรบ้าง ผู้ชายทุกคนอายุเท่าเขาควรจะเป็นและไม่เป็นอะไรบ้างมันคือความรู้สึกของชายหนุ่มผู้ที่ควรจริงจังกับชีวิตบ้างไม่ใช่หรือ

                    หน้าที่การงานที่สามารถเลี้ยงชีวิตของคนคนหนึ่งได้ความภาคภูมิของชีวิต ความมั่นคงของอาชีพที่สามารถจะเลี้ยงตัวเองและครอบครัวคนบนเครื่องบินลำนั้นเป็นใครบ้าง และกำลังจะไปไหนกันนะ

                    ทุกคนย่อมมีที่ไปของตัวเองและเส้นทางของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน

                    สายตาเขาหลุบทำมุมก้มจากชั้น๑๖ ของคอนโดมิเนียมมองชีวิตอันคับคั่งที่กำลังคืบคลานบนทางด่วนขณะเข็มนาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่ม พร้อมยกแก้วขึ้นจิบเติมความสดชื่นด้วยรสขมนักเขียนคนหนึ่งเคยกล่าวคล้ายๆว่า สุราเป็นปรัชญาของการพักผ่อนไม่ใช่รึเบียร์ของเขาก็คงคล้ายๆ กัน

                    อย่างน้อยเขาก็เลือกที่จะอยู่ในแบบของตัวเองได้เขาคิดแบบนั้น

                    แต่ปลายทางของการเดินทางโดยเที่ยวบินลำนั้นอาจไม่ใช่ท้องฟ้าสดใสในเวลาเช้าเสมอไปไม่ใช่หรือ ผู้คนจะเตรียมพร้อมที่จะถึงปลายทางอย่างไรต้องเหน็บหนาวเพราะหิมะที่เกาะกุมภูมิภาคอยู่หรือไม่

                    เขากระดกพรวดเดียวเอาเบียร์ที่เหลือก้นแก้วเข้าลำคอแล้วจุดบุหรี่ที่ไม่ใช่ของตน

                    เพลงวนกลับมาบรรเลงWhat a wonderful world อีกครั้ง

                    ควันบุหรี่อบอวลไปทั่วห้องสิ่งที่ยังเคลื่อนไหวในห้องมีเพียงเครื่องปรับอากาศและควันสีเทาเบาบางเท่านั้นเขาคีบบุหรี่ไว้ที่ร่องนิ้วโดยไม่สูบ -- โลกนี้สวยงามจริงหรือ เขาคิดผู้คนในรถราที่เข้าแถวกลับบ้านเหล่านั้นยังคิดว่าโลกสวยงามอย่างกับลุงหลุยอาร์มสตรองขับกล่อมเอาไว้ หรือไม่

                    นานเท่าไรแล้วที่ไม่ต้องตื่นตามเสียงปลุกของนาฬิกาทุกตีห้าเขาลืมไปแล้วว่าอารมณ์ของมนุษย์พันธุ์ที่จะต้องหาเนคไทน์มาผูกให้ลวดลายเข้ากับเสื้อเชิตในแต่ละวันเป็นอย่างไร

                    การตัดสินใจหลีกหนีชีวิตแบบนั้นเป็นการหลบหนีจากการกักกันอย่างหนึ่ง

                    ต้นฉบับค้างคืนยังไม่เรียบร้อยมันเป็นการลาออกจากกรงขังหนึ่งมาเข้าปักหลักอยู่ในอีกกรงขังหนึ่งเท่านั้นหาใช่ความอิสระอย่างแท้จริงไม่ -- ชีวิตถูกสาบให้มีเสรีภาพเป็นคำพูดที่ไม่จริงในความคิดของเขาเพราะการเลือกทำหรือไม่ทำในสิ่งหนึ่งก็ย่อมต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยผลของการไม่ทำหรือการทำในอีกสิ่งหนึ่งอยู่ดี

                    แสงปลายบุหรี่สว่างวาบในความมืดควันของมันทำให้คอแห้ง เขาจึงสาดความสดชื่นของเบียร์แก้วใหม่ตามเข้าไปแล้วหัวเราะในลำคอนั้น

                    "กำลังทำอะไรกันอยู่วะ...ไอ้มนุษย์"  

                    เรากำลังถูกจูงด้วยอะไรด้วยหน้าที่ของความเป็นอะไรสักอย่าง ด้วยความหิวโหย หรืออะไรกันแน่แต่ละคนย่อมถูกจูงด้วยอะไรบางอย่างซึ่งต่างกันไป

                    เสียงโทรศัพท์มือถือดังแทรกขึ้นกลางบรรยากาศครึ้มในอกและอารมณ์ปลายสายเป็น ผู้ช่วย บก.สำนักพิมพ์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่เขาได้อาศัยเลี้ยงปากเลี้ยงห้องแทนบริษัทที่เคยทำงานประจำ

                    "เป็นไงวะพรุ่งนี้เสร็จมั้ยคุณ?" เป็นคำทวงถามจากปลายสาย

                    "เสร็จครับพี่"เขายืนยันอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

                    เมื่อวางสายเขาจึงดูดควันเข้าปอดซู้ดใหญ่เบียร์ยังเหลืออีกเกือบๆ ครึ่งขวด เพลงยังไม่จบอัลบั้ม "อย่างน้อยกูก็มีเสรีภาพที่จะยังไม่ทำอะไรในเวลานี้"เขาคิด แล้วกลับมานั่งมองรถราและดวงไฟบนถนน ต่อไป

                    เพลงในไอแพดบรรเลงผ่านลำโพงบลูทูธไปถึงเพลงIn Tall Buildings ของ John Hartford มันทำให้นึกย้อนไปถึงสมัยยังทำงานประจำ

                    ทุกๆ เช้าผู้คนต้องเดินทางฝ่าคลื่นมนุษย์ด้วยกันชาวกรุงเทพฯบนเส้นทางที่เรียกว่าการจราจรทั้งหลายต้องออกจากที่พักแต่เช้าเพื่อไปให้ถึงที่ทำงานก่อนสายบ้างเอาร่างยัดเข้าไปในรถโดยสารประจำทางแบบมีเพียงหน้าต่างหลายบานเป็นเครื่องช่วยหายใจแล้วต้องจับให้มั่นบนราวเหล็กยาวป้องกันถูกความแออัดถีบลงมาจากรถ ส่วนอีกหลายชีวิตก็เพียงยืนเบียดสีกันบนขบวนรถไฟฟ้าติดเครื่องปรับอากาศแล้วแต่ว่าศักดินาทางสลิปเงินเดือนจะอำนวย -- ใช่ --พวกเขายังต้องเอารายได้จากงานหนัก ไปใช้เป็นค่าโดยสารไปทำงานหนักอันเดียวกันนั้น  

                    รองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องตื่นเช้าขึ้นมาแล้วผจญกับสิ่งเหล่านั้นแล้วแต่ความรีบด่วนของภาระหน้าที่ในแต่ละวัน ความรีบด่วนนั้นเป็นผู้เลือกให้เขาว่าจะยืนบนรถร้อนหรือรถไฟฟ้าปรับอากาศเพราะเงินในกระเป๋าไม่มีอำนาจพอให้เขามีความสะดวกสบายได้ตลอดทั้งเดือน

                    ถึงที่ทำงานทุกเช้าอาหารที่ตกใส่ท้องเป็นมื้อแรกก็หนีไม่พ้นข้าวราดแกงในโรงอาหารอันเป็นสวัสดิการของบริษัทที่ผูกขาดเขาไว้ด้วยคูปองอาหาร มันถูกมองด้วยเหลี่ยมมุมของความเมตตาในสายตาของคนยาก

                    เมื่อท้องมีน้ำหนักแล้วกดลิฟต์ขึ้นมาชั้น ๓๖ ถึงห้องทำงานกว้างที่ต้องนั่งเรียงรายกันไปราวสิบกว่าคนโดยมีเพียงบังตากั้น เรียกภาษาหรูว่าพาร์ติชั่น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง

                    เขามักมีความอยากกาแฟหลังมื้อเช้าบริษัทของเขาก็ได้จัดเตรียมไว้ให้พนักงานชั้นปฏิบัติผู้มีตำแหน่งที่เป็นเลือดเป็นเนื้อของบริษัทได้อาศัยดื่มดมกาแฟนั้นเป็นกาแฟชั้นเลวยี่ห้อที่มีนักการเมืองผู้มีความสัมพันธ์กับบริษัทเป็นเจ้าของจัดหาไว้ให้โดยไม่คิดสตางค์แต่ได้บวกลบคูณหารไว้เรียบร้อยแล้วกับผลประโยชน์  

                    ระหว่างมื้อกาแฟดำร้อนไม่ใส่น้ำตาล ในแบบของเขา รองมักเดินไปยืนมองออกไปนอกผนังกระจกของห้องทำงานซึ่งวิวนั้นมีแต่เหลี่ยมมุมของตึกสูงขึ้นเป็นทิวทอดไปสุดลูกหูลูกตา ตึกเหล่านั้นถูกพันพาดตัดด้วยถนนหนทางลอยฟ้าทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้า โค้งไปโค้งมาจนหาปลายถนนไม่เห็น

                    ช่วงเวลาหลังขวบปีที่หกของการทำงานนั้นเขานึกอยากลาออกจากงาน หลังจากหมดความท้าทายเดิมๆ จากสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมา เนื่องจากรู้สึกว่าชีวิตช่างซ้ำซากจำเจในวังวนของชีวิต

                    ชีวิตของเรามีวังวนเหมือนๆกัน แล้วแต่ว่าวงของใครก็ของมัน

                    เมื่อกาแฟหมดแก้วก็ได้เวลาทำงานเขาเข้าประจำโต๊ะทำงาน แต่ละวันรองมีหน้าที่ต้องแปลเอกสารร่างเอกสารทางกฎหมายเพื่อให้คำปรึกษาแก่ลูกความของเขาบางคดีเข้าต้องไปว่าความในศาลในฐานะทนายความ งานค่อนข้างหลากหลายในสายงานนี้ทว่าอายุงานที่เนิ่นนานก็ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรใหม่สำหรับเขาอีกแล้ว

                    หลายคนทำงานอยู่ทุกวี่วันที่บริษัทนี้ก็เพราะเงินเดือนเกือบถึงหกหลักในพ.ศ. ที่เงินหมื่นสามารถผ่อนรถผ่อนบ้านแล้วยังมีเงินเหลือเก็บ

                    แต่นั่นสำหรับคนอื่นไม่ใช่รอง

                    ชายหนุ่มวัยคะนองมักจะเห็นเงินเป็นตั๋วแลกความสนุกเพลิดเพลินเท่านั้น

                    วันเงินเดือนออกเป็นวันที่เพื่อนๆในบริษัทจะต้องดื่มกิน โดยรู้กันอยู่มิพักจะต้องนัดหมายให้วุ่นวายไปปัญหาใหญ่ในวันนั้นคือร้านไหนเท่านั้น แล้วก็จะเป็นอยู่เช่นนี้ทุกเดือน

                    แต่ในไม่กี่พ.ศ. มานี้มูลค่าของตั๋วแลกความสุขนั้นมีค่าน้อยลงมากเงินร้อยบาทที่เคยกินอิ่มทั้งวันก็พออิ่มเพียงครึ่งวัน ทว่าเงินเดือนของเขายังอยู่ในระดับไม่สูงไปจากเดิม

                    ถ้ามันไม่ใช่ความผิดของบริษัทแล้วมันเป็นความไม่เอาไหนของใครซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศนี้มันไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะหาคนผิดไม่ใช่หรือ

                    เพราะเขาไม่สามารถลงโทษใครได้นอกจากตัวเขาเอง

                    ถึงวันหนึ่งรองเลือกที่จะเดินตามความฝันวัยเยาว์ของเขาโดยการเดินออกจากบริษัทที่น่าจะมั่นคงในความคิดของคนทั่วไปมานั่งปักหลักอยู่กับโต๊ะวันละหลายๆ ชั่วโมงเพื่อเขียนหนังสือเขาตั้งใจว่าจะรีดเงินเอาจากตัวหนังสือนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดมาหลายเดือนก่อนยื่นใบลาออก

                    ไม่ใช่ความฝันที่เพ้อเจ้อก่อนหน้านั้นรองเคยส่งเรื่องสั้นไปลงนิตยสารและได้ผ่านเกิดมาแล้ว

                    ทว่าต่างกันตรงก่อนนั้นงานเขียนเป็นงานอดิเรกแต่หลังจากนี้เขาฝากปากและท้องไว้บนแป้นพิมพ์เสียแล้ว

                    เย็นวันที่ปลดตัวเองออกจากความมั่นคงนั้นรองเดินทางกลับคอนโดด้วยความรู้สึกแตกต่างจากวันอื่นความรู้สึกเป็นอิสระจากหน้าที่ที่ต้องง่วนอยู่กันมันตลอดเวลาความมั่นอกมั่นใจต่อเส้นทางเดินข้างหน้าของตัวเองระหว่างอยู่บนรถโดยสารเขามองเห็นแผงร้านหนังสือพิมพ์ -- จะต้องเขียนเรื่องลงหนังสือรายเดือนสองสามเล่มและออกพ๊อกเก็ตบุ๊คสักสองเล่มต่อปี รองได้แต่คิด

                    ๒๐.๔๕ น. เมื่อเขากลับถึงบ้านความมืดของห้องก็ถูกขับไล่ด้วยแสงไฟ ความเงียบถูกทำลายลงราบคาบด้วยเสียงแซ็กโซโฟนจากลำโพงเบียร์ในตู้เย็นถูกเปิดออก

                    เมื่อรองนั่งลงที่โต๊ะเขานึกถึงเส้นทางเดินของชีวิตที่ผ่านมา เส้นทางที่ไม่มีจุดหมาย       

                    ๒๕๔๓-- ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยประกาศลงอินเตอร์เน็ตรองกับเพื่อนอีกสองคนนั่งรุมหน้าจอลุ้นผลสอบด้วยกันช่องสี่เหลี่ยมถูกกรอกรหัสประจำตัวสอบและบัตรประจำตัวประชาชนไล่ลำดับจากคนที่มีลุ้นมากที่สุด

                    'ผ่าน' ทุกสายตาจ้องเขม็ง... "กูเอ็นติดแล้วโว๊ย!!!" ไอ้ธงเพื่อนในก๊วนตะโกนอย่างลิงโลดด้วยความดีใจ ธงสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตสกลนครได้

                    แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของอีกสองคนเต้นระทึก  "มึงก่อนไอ้เชน"รองเกี่ยงด้วยความไม่มั่นใจ สำหรับรายต่อไป

                    หลังจากกรอกตัวเลขลงช่องสี่เหลี่ยมแล้วหน้าจอค้างอยู่ครึ่งนาที

                    'ไม่ผ่าน' เด็กหนุ่มอยู่ในความเงียบงันทว่าหัวใจของเพื่อนทั้งสามคนยังเต้นระทึก

                    "ไม่เป็นไรนะไอ้เชน" รองปลอบเพื่อน "กูก็ไม่น่าจะติดเหมือนกัน" เพื่อให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้น

                    เลขประจำตัวสอบและเลขบัตรประชาชนถูกกรอกจนครบหัวใจของรองยังเต้นแรง เขากลั้นหายใจระหว่างรอหน้าจอเฉลยความจริง

                    ผลสอบออกมาตามที่เขาคาดหมาย...

                    ไม่ผ่าน!!!

                    เพื่อนทั้งสามสบตากันอย่างเข้าใจแล้วคนเดียวที่สมหวังถามเพื่อนด้วยหวังจะทำลายความแตกต่าง"แล้วพวกมึงจะทำยังไงต่อไป"

                    "ก็เรียนรามคำแหง"รองตอบก่อนเชน "ใช่...คงรามคำแหง" เชนสมทบ

                    "แล้วพ่อแม่พวกมึงเห็นด้วยแล้วเหรอ?"

                    คำถามนั้นทำเอาผู้ผิดหวังนิ่งอึ้งไปสักสองลมหายใจเข้าออกความหวังที่มีอยู่ถดถอยลงไปอีก แต่ละคนคงคิดอะไรอยู่ในใจ

                    รองคิดว่าเขาจะบอกกับแม่อย่างไรดีด้วยไม่อยากให้แม่ต้องผิดหวังและไม่อยากให้แม่ต้องเป็นกังวลในอนาคตของเขาแต่ความจริงก็คือความจริง เขาจะหลีกเลี่ยงความจริงนี้ไปไม่ได้

                    ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไม่มีอะไรต้องแก้ตัวเพราะเป็นไปตามที่เขาและคนที่รู้จักเขาดีระดับหนึ่งได้คาดไว้หรือกล่าวได้ว่าไม่มีใครหวังกับเขาในเรื่องนี้

                    เมื่อครั้งรองขึ้นม.๔ เทอมแรก เขาคว้าผลสอบปลายภายด้วยเกรดเฉลี่ย ๑.๔๖ หลายรายวิชาเขาสอบได้เกรด ๑และ ๐ และเมื่อแม่เขาถามถึงผลการเรียนทั้งที่แม่ก็ไม่ใช่คนที่จะเข้มงวดในเรื่องนี้กับเขามากนักและไม่เคยถือผลการเรียนย่ำแย่เป็นความผิด รองก็ได้ทำบางสิ่งลงไปด้วยความสับสนของวัยแรกหนุ่ม

                    เขาแก้ตัวเลข ๑ที่มีอยู่ในสมุดทะเบียนผลการเรียนของทุกตัว เลขหนึ่งก็กลายเป็นเลขสี่มีเลขหนึ่งตัวเดียวที่เขาไม่ได้แตะต้องมัน คือ ๑.๔๖ เพราะมิฉะนั้นแล้วเกรดเฉลี่ยของเขาคงจะเกินกรอบคะแนนเต็มไป

                    แม่มองดูผลการเรียนเทอมแรกของรองอยู่ไม่ถึงห้านาทีก็เงยหน้าถามว่าได้ ๔ ตั้งหลายวิชา แต่ทำไม่เกรดเฉลี่ยจึงมีเพียงเท่าที่เห็นลุงน้อมพี่ชายของแม่ซึ่งอยู่บริเวณนั้นชักเริ่มสนใจ และเข้ามาขอดูบ้าง

                    "รองแก้เกรดจาก๑ เป็น ๔ ครับ" ความไม่แนบเนียนผลักเขาให้ก้าวออกมาสารภาพ

                    สิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อสิ้นคำพูดของเขา

                    แม่น้ำตาไหลลงมาโดยปราศจากเสียงอื่นใดอีกและยังคงไหลลงมาเรื่อยๆ แล้วสะอื้นฮึกๆ ก็ตามมา

                    รองรู้สึกสับสนระหว่างความกลัวและความไม่แน่ใจว่าเขาต้องทำยังไงต่อไป-- "แม่ร้องไห้ทำไม" ผมถามแก้ขัด

                    "ก็มึงโกหกแม่มึงไงเล่าไอ้รอง" ลุงน้อมเสียงดัง "มึงเห็นมั้ยว่าแม่มึงเสียใจน่ะ"

                    แม่ยังสะอื้นแผ่วเราสามคนนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง แม่ก็พูดขึ้นว่า"ที่แม่เสียใจไม่ใช่เพราะลูกเรียนไม่เก่งแต่แม่เสียใจที่ลูกกล้าโกหกแม่"

                    คำพูดนั้นทำให้รองสะดุดในความรู้สึกเรื่องราวในวันนั้นจบลงด้วยการกราบที่ตักขอโทษแม่ และรับปากว่าต่อจากนี้ไปไม่ว่าเรื่องอะไร เขาจะไม่โกหกแม่อีก ซึ่งเขาตั้งใจอย่างนั้น

                    ดังนั้นในวันนี้วันที่มหาวิทยาลัยใช้การสอบเอ็นทรานซ์ปฏิเสธไม่รับเขาเข้าเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษารองไม่มีความคิดที่จะปิดบังความจริงที่เกิดขึ้นนั้นอย่างใดทั้งสิ้นแต่สิ่งที่เขาปิดบังเอาไว้ คือความคาดหมายต่ออนาคตของเขา

                    เมื่อแม่และลุงได้ฟังเรื่องราวผู้ใหญ่ทั้งสองไม่มีวี่แววผิดหวัง เพราะไม่เคยหวังและคาดเห็นได้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้แต่ทางข้างหน้าของรองเป็นสิ่งที่ทุกคนยังมองไม่เห็น

                    แม่ยังไม่พูดอะไรกับเขาได้แต่นั่งปลอกกระเทียมเตรียมมื้อเย็นต่อไป กลับเป็นลุงน้อมที่ยิงคำถามใส่รอง"แล้วมึงจะทำอะไรต่อไป หรือจะช่วยกูทำสวน" คำถามนั้นจริงจัง

                    ถึงเวลาเปิดเผยความคิดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้"ผมอยากเรียนกฎหมายที่รามฯ" รองพูดเสียงแผ่ว ด้วยไม่มันใจนักเขาไม่มั่นใจว่าจะได้รับฉันทานุมัติจากผู้ใหญ่ทั้งสองแต่นั่นคือความประสงค์และทางที่เขาเลือกหนึ่งเดียวหลังจากอกหักแบบไม่ช้ำนักรองเลือกคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาฯ และเชียงใหม่สามมหาลัยที่เปิดคณะนิติศาสตร์ในขณะนั้น เลือกด้วยคะแนนสอบเอนทรานซ์ไม่ถึง ๓๐๐จากส่วนเต็มคือ ๗๐๐ นั่นไม่ใช่การเลือกประชดในความคิดของเขาแต่มันคือการประกาศเจตนารมณ์อย่างแน่วว่าจะเรียนกฎหมายเท่านั้นแรกหากเขาถูกปฏิเสธตามคาด รามคำแหงคือจุดหมายปลายทางของชีวิตนักศึกษา

                    เพียงจบคำพูดเท่านั้นคำถามที่ยังไม่มั่นใจของแม่และลุงน้อมถาโถมเข้าใส่เพื่อซักให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นตัวอย่างของไอ้หนุ่มที่เคยไปคว้าน้ำเหลวถูกยกมาเป็นอุทาหรคำทัดทานเป็นเรื่องปกติในความรู้สึกของรองเพราะยี่ห้อของเขามันบงชัดอยู่ถึงความไม่เอาไหน

                    เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์หลังจากวันนั้นจึงได้ข้อยุติเขาผ่านด่านความไม่แน่ใจของแม่และลุงไปได้ เพราะพ่อกับแม่ของไอ้เชนมาช่วยขอร้องให้ว่าให้ไปเรียนเป็นเพื่อนกันที่กรุงเทพฯ โดยจะให้รองกับเชนช่วยกันทำงานที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ของป้าซึ่งเป็นพี่สาวพ่อของเชนไปด้วยในระหว่างเรียนเมื่อแม่และลุงน้อมเห็นดังนั้นจึงยินยอมแบบเสียมิได้เพราะมันเป็นความตั้งใจของลูกชายหลานชายคนเดียวของเขา

                    บนชั้น ๑๖ของคอนโดมิเนียมกลางกรุงคืนนั้นจบลงด้วยเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่องราวในวัยหนุ่มของเขา

                    ชีวิตที่เขาขีดเขียนด้วยชีวิตต่างหากบรรดาอารมณ์ที่เกิดจากเรื่องแต่งขึ้นหรือจะจริงแท้แน่นอนไปกว่าความจริงของชีวิตและนิยายเรื่องแรกของรองก็ถูกเขียนขึ้นในเวลาต่อมา

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in