เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
กีฬาสีสอนให้ฉันรู้ว่า...?sikarin
ประธานสี
  •           ประธานสี
    ตำแหน่งที่ได้มาด้วยความประหลาดใจ
    และอาจจะสร้างแผลในใจไว้ให้กับเพื่อนคนหนึ่ง
    ขอโทษถ้าทำให้คุณรู้สึกเสียใจ



              ในวันเข้าค่ายวันสุดท้ายของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า วันที่ทำให้เราได้ตำแหน่งนี้มาแบบน่าเหลือเชื่อ และเป็นวันที่สร้างแผลไว้ในใจกับเรา

              ประธานสี  ในตอนแรกเราไม่มีความรู้สึกที่อยากทำหน้าที่นี้เลยสักนิดเดียว เรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ สำหรับเรา ดูต้องรับภาระอะไรที่ยิ่งใหญ่ ดูแบกอะไรไว้บนบ่าตลอดเวลาที่มีกีฬาสี และดูไกลตัวมากเกินไปหน่อยสำหรับคนที่รักการร้องเพลง รักการส่งเสียงเชียร์แบบเรา ตำแหน่งที่ดูแล้วน่าจะเหมาะกับสิ่งที่เราอยากจะทำมากที่สุดคงเป็นประธานเชียร์ มันดูเป็นอะไรที่ใช่สำหรับเรามากที่สุดแล้ว
              แต่แล้วความรู้สึกที่รู้สึกว่าการเป็นประธานสีมันเป็นอะไรที่ไม่อยากจะทำก็เริ่มหายไปทีละนิด เพราะเราได้มีโอกาสอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง นิยายที่เล่าเรื่องราวทั้งหมดผ่านมุมมองของเด็กมัธยมปลาย และนั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้สึกว่า เราอยากเป็นประธานสีเหมือนตัวเอกของเรื่องบ้าง อยากลองทำหน้าที่นี้ดูสักครั้งในชีวิต

              พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วความรู้สึกที่อยากเป็นประธานสีก็เหมือนสิ่งที่มีระยะเวลาของมันนั่นแหละนะ เรารู้สึกว่าความรู้สึกอยากเป็นที่ผ่านมาเพียงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นมันก็ผ่านไป 
              ผ่านมาและผ่านไปจริง ๆ           
              นึกอยากจะเป็นวันไหน ก็อยากจะเป็น          
              แต่พอไม่อยากเป็น ก็ไม่อยากเป็น         
              ก็นั่นแหละนะ
              
              ติ๊ง 

              เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันสีเขียวเพื่อเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มกีฬาสีทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย 

              ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง

              เพื่อน ๆ ในกลุ่มเริ่มทยอยกันเข้ามาและเริ่มส่งข้อความคุยกัน หลังจากนั้นก็เริ่มมีการพูดคุยกันเรื่องประธานสี ถึงแม้ว่าเราในตอนนั้นจะไม่ได้มีความรู้สึกที่อยากเป็นแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน รู้สึกลุ้นอยู่ในใจว่าใครกันนะที่จะได้มาเป็นผู้นำของสีเรา 

              "ใครจะลงตำแหน่งไหน ให้พิมพ์ชื่อไว้ในคอมเม้นต์เลย"
              ชั่งใจอยู่นานว่าควรพิมพ์ตัวเองลงไปในช่องไหนดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพอถึงเวลาแล้วเราก็แอบอยากจะลงสักตำแหน่งเหมือนกันนะ แต่พอคิดไปคิดมา พอเห็นชื่อของแต่ละคนในช่องคอมเม้นต์ ก็เกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ เพราะถ้าจะลงประธานสีก็กลัวจะไม่มีคนเลือก ถ้าจะลงประธานเชียร์ ก็กลัวไม่มีคนเลือกอยู่ดีนั่นแหละ สุดท้าย เราก็ไม่ได้พิมพ์ชื่อของตัวเองลงไปในคอมเม้นต์เลย เพราะความขี้ขลาดของเราเอง ที่รู้สึกว่าคนที่มีชื่ออยู่ในช่องคอมเม้นต์นั่น ถ้าให้โหวตกันจริง ๆ เราคงสู้อะไรเขาไม่ได้ แล้วเราก็คงเป็นผู้นำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางทีการให้คนอื่นเป็นผู้นำ แล้วเราเป็นผู้ตามที่ดี มันอาจจะดีกว่าจริง ๆ 
              
              ผิดแผนไปหมด เพราะจำนวนของนักเรียนมอห้าในแต่ละสีมันเหลื่อมล้ำกันมากจนเกินไป จากตอนแรกที่ตกลงกันไว้แล้ว ว่าคนนี้จะลงตำแหน่งนี้ คนนี้จะลงตำแหน่งนี้ ทำให้สุดท้ายก็เหลืออยู่ไม่กี่คนที่ยังเหลือชื่ออยู่ในคอมเม้นต์ของการลงตำแหน่งต่าง ๆ ในสี

              ใช่แล้ว เพื่อนในสีเราหายไปหนึ่งห้อง จากที่ตอนแรกมีกันอยู่สามห้อง แต่เพราะเหตุผลด้านบนทำให้พวกเขาถูกตัดไปอยู่สีอื่นกันหมด จากที่คิดว่าจะโหวตใครทำให้เราต้องตัดสินใจใหม่
              ถึงแม้ว่าพวกคุณจะคิดว่าในเมื่อเพื่อนหายไปแล้วตั้งหนึ่งห้อง นั่นก็แปลว่าถ้าเราลงสักตำแหน่ง เราก็จะมีโอกาสมากขึ้นใช่ไหม ? 

              อันที่จริงเราก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกันนะ แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่เอาดีกว่า เพราะเรารู้สึกว่าไม่ค่อยอยากเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเพื่อนอีกห้องสักเท่าไหร่ อยู่เฉย ๆ ในสีคงดีกว่า



              แบ่งจำนวนให้เท่ากันเรียบร้อยแล้ว เลือกตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกตำแหน่งในสีไม่มีชื่อของคนในห้องเราอยู่เลยสักชื่อเดียว เรากับเพื่อนที่มีจำนวนน้อยกว่าอีกห้องเป็นเท่าตัวเริ่มหันหน้าเข้าหากัน แล้วคุยกันว่าควรจะทำอย่างไรดี ในเมื่อห้องเราคนน้อยกว่าแล้วโหวตแยกตำแหน่งแบบนี้ ยังไงห้องเราก็คงไม่มีทางชนะ และคงไม่มีสิทธิ์มีเสียงในกีฬาสีครั้งนี้แน่ ๆ เราไม่อยากให้เพื่อนในห้องเราถูกเอารัดเอาเปรียบ และสุดท้ายสิ่งที่เพื่อนในห้องตัดสินใจ มันทำให้เรารู้สึกว่า มันจะดีจริง ๆ ใช่ไหมเพื่อน ที่ส่งเราเป็นตัวแทนไปลงตำแหน่งประธานสี

              คุณเข้าใจถูกแล้ว เพื่อนเรารวมถึงตัวเรายกมือขอค้านการโหวต และขอทำการโหวตใหม่กันอีกหนึ่งรอบ โดยเสนอไปเลยว่า โหวตตำแหน่งละหนึ่งรอบ คนที่อยากลงประธานสีให้โหวตหนึ่งรอบ คนที่ได้คะแนนมากที่สุดจะได้เป็นประธาน ส่วนคนที่ได้คะแนนรองลงมาจะได้เป็นรองประธาน
              และการโหวตใหม่รอบนี้แหละ ที่ทำให้เราได้ตำแหน่งประธานสีมาแบบ งง ๆ          

              และทำให้เรารู้สึกผิดต่อเพื่อนอีกหนึ่งคนมาจนถึงทุกวันนี้

              คุณคิิดว่าการที่คุณแนะนำตัวเองต่อเพื่อน ๆ ไปเสร็จสรรพว่าคุณนั้นเป็นประธานสีไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาที แล้วพอมาโหวตอีกครั้งคะแนนของตัวคุณเองแพ้อีกคนที่ไม่ได้ลงชื่อตั้งแต่แรกจะรู้สึกแย่แค่ไหนกัน ? 
              ตัวเราที่ได้คะแนนมากกว่าเพื่อนอีกคนก็ไม่ได้รู้สึกดีต่างไปจากเพื่อนคนนั้นไปมากสักเท่าไหร่หรอก ... เรารู้สึกแย่ แย่มาก ๆ เลยแหละ เรารู้สึกเหมือนเรามาแย่งตำแหน่งที่เขาได้มาแล้ว เรารู้สึกว่าเรามาแย่งที่ของเขา ตอนแรกเราไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าเราจะได้เป็นประธานสี เอาจริง ๆ ความคิดของเรากับคนในห้องคือ อย่างน้อยให้มีชื่อของคนในห้องติดอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งบ้างสักตำแหน่งก็ดีพอแล้ว เพราะถ้าไม่มีห้องของเราจะกลายเป็นคนที่ออกสิทธิ์ออกเสียงไม่ได้เลย เราต้องไม่มีสิทธิ์อะไรเลยแน่ ๆ 
              แต่พอผลโหวตออกมาแล้ว ถามว่ารู้สึกดีไหมที่อยากเป็นในตำแหน่งที่ตัวเองเคยอยากเป็นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ก็ตอบได้เลยว่าก็รู้สึกดีนะ ที่อยู่ดี ๆ ก็ได้ตำแหน่งนี้มา แต่มันก็รู้สึกแย่มากกว่า ที่ได้ตำแหน่งนี้มาในลักษณะแบบนี้ 

              ในสถานการณ์แบบนี้ มันทำให้เรานึกถึงประโยคประโยคหนึ่ง ที่กล่าวไว้ว่า

    "ถ้าคุณไม่ได้อยากเป็นเสือ แต่คุณถูกจับใส่ชุดเสือ คุณก็ต้องเป็นเสือ
    ถ้าคุณไม่ได้อยากเป็นนายพราน แต่คุณถูกจับใส่ชุดนายพราน คุณก็ต้องเป็นนายพราน
    ถ้าคุณไม่ได้อยากเป็นราชา แต่คุณถูกจับใส่ชุดราชา คุณก็ต้องเป็นราชา" 

              ก็เปรียบเสมือนเรื่องบางเรื่องที่เราไม่ได้อยากจะทำ แต่ในเมื่อสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวมันทำให้เป็นแบบนั้น สิ่งที่คุณทำได้ก็คงมีเพียงการทำในสิ่ง ๆ นั้นต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ 

              แต่เพราะแผลในใจ ที่มีต่อเพื่อนคนหนึ่ง คนที่เราทำผิดต่อเขามาก ๆ คนที่เรายังไม่มีความกล้าพอที่จะขอโทษ คนคนนั้นทำให้เรารู้สึกหวาดระแวง หวาดกลัวกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ กลัวว่าสิ่งที่เราทำต่อไปมันจะทำได้ไม่ดีพอ มันทำให้เรารู้สึกกังวล ในเมื่อเราได้ตำแหน่งมาจากเขาแล้ว เราจะทำได้ดีจริง ๆ ใช่ไหม ? 


              แต่นั่นมันก็เป็นความคิดแค่ในตอนนั้น ที่ยังไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ นั่นก็คือ "การทำลายความกลัวของตัวเอง และก้าวข้ามออกมา" 

              ซึ่งตอนนี้ ความหวาดระแวง และความหวาดกลัวในจิตใจเราก็ได้มลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ดังนั้น ถ้าในอนาคตคุณ ๆ คนไหนก็ตามที่ผ่านเข้ามา และกำลังหวาดระแวง กำลังหวาดกลัวต่อสิ่งที่คุณจะลงมือทำต่อจากนี้ เราขอให้คุณเก็บคำพูดของเราสั้น ๆ ที่เราจะทิ้งท้ายไว้ไปทบทวนดูสักหน่อย และเราเชื่อว่าหลังจากที่คุณอ่านจบและได้ทำลายกำแพงความกลัวของคุณลงไปแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ มันต้องออกมาดีอย่างแน่นอน

    ถึงภายในใจคุณจะหวาดกลัวคำพูดจากคนอื่นมากแค่ไหนว่าคุณทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
    แต่ถ้าคุณกล้าที่จะก้าวข้ามกำแพง และจุดที่ทำให้คุณรู้สึกกลัว
    คุณจะค้นพบว่า คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาตัดสินคุณ นอกจากตัวคุณเอง
    ตัวคุณเองรู้ดีที่สุด ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันคือที่สุดสำหรับตัวคุณเองหรือเปล่า
    อย่ายอมให้คนอื่นมากล่าวหา และเหยียดหยามคุณ
    ก้าวออกมาจากกำแพงที่คุณสร้างไว้
    แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจ ที่ได้ก้าวข้ามกำแพงนั้นออกมา 

    "



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in