เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทางด่วนร้าง สายตะวันออกPapongkorn Wattanasin
ทางด่วนร้าง สายตะวันออก
  • ตอนที่ 1.

    ตะเกียงไฟฟ้าทำให้กระโจมเต๊นท์ของเราเรืองแสงสีส้มอยู่บนทางด่วนลอยฟ้าร้างในคืนมืดมิด!!
    หากไม่กางเต๊นท์ยึดใต้ "จักรกลวิศวะ" เครื่องจักรที่ห่อหุ้มด้วยโครงเหล็กซับซ้อนใหญ่โตเท่าโรงงานขนาดย่อม มันทำหน้าที่ซ่อมบำรุงและสร้างส่วนต่อขยายให้ทางลอยฟ้านี้ยาวออกไปเรื่อยๆ ..หากไม่ผูกยึดไว้แน่นหนา ลมพายุที่กระหน่ำมาตั้งแต่หัวค่ำ คงฉุดกระชากทึ้งที่พักและสัมภาระเราจนปลิวกระจายเต็มทุ่งหญ้าเบื้องล่างไปแล้ว
    พวกเราเดินบนทางด่วนตามเส้นทางสายตะวันออกได้ 2 วัน จึงมาพบจักรกลวิศวะทำงานคล่อมขวางทางเบื้องหน้า ทันทีที่ตะวันลับฟ้า มันก็คำรามก้องแล้วทรุดหมอบปิดการทำงานของตัวเองเพื่อรอพลังงานแสงอาทิตย์อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เรา 5 คนตั้งใจตื่นก่อนฟ้าสาง เก็บข้าวของ ปีนไต่ข้ามลำตัวโครงเหล็กสีแดงเพื่อจะได้เดินนำหน้าไปตามถนนก่อนที่มันจะตื่น ..ถ้าทำเวลาได้เร็วกว่าวันนี้ พรุ่งนี้บ่ายเราจะถึงจุดที่มีบันไดวนลงจากทางด่วน ตัดข้ามเนินไม่ไกลก็คงถึงเมืองชายทะเลที่มีคนจ้างวงดนตรีเราให้มาเล่นประจำตลอดช่วงฤดูมรสุม

    ผ้าเต๊นท์กระตุกสะบัด เชือกโยงสั่นสะท้าน ผมแหวกประตูแทรกตัวเข้ามาก่อนหันไปรูดซิบปิด
    "เอาอยู่มั๊ย?" หม่อมราชวงศ์ปิ่มสวัสดิ์หยุดขัดทรัมเป็ตในมือ เงยหน้าขึ้นถาม
    "โอเค.. ถ้าไม่หนักกว่านี้" ผมลงนั่งคว้าแก้วพลาสติกที่มีเหล้าบ๊วยเหลือติดก้นแก้วกระดกเข้าปาก
    ฟาบีโอเหยียดเท้าออกไปสะกิดก้นกลมโตของตำลึง มือเปียโนร่างยักษ์ประจำวง
    "ไอ้ลึง! มึงยังไม่ตอบคำถามเลย!"
    "เชี่ยฟาบีโอ!! กูบอกแล้วอย่าเอาของต่ำๆมาแตะเนื้อต้องตัวกู!! ..กลับมิลาโน่บ้านพ่องมึงไปเลย!!"
    พี่หม่อมฯหัวเราะหึๆ เขยิบเข้ามาร่วมล้อมวง มือยังขัดเครื่องดนตรีประจำตัวจนขึ้นเงาสะท้อนแสงวิบวับ
    "อย่าวู่วาม.. อยู่ร่วมวงกันอย่าวู่วาม พี่บอกแล้วใช่มั๊ย?"
    "ถ้ากูไม่เกรงใจพี่หม่อมนะ ..ถีบตกทางด่วน!! มือแซกฯห่วยๆอย่างมึง ไปหาเอาข้างหน้า"
    ตำลึงพูดไม่ตรงความจริงนัก ฟาบีโอเป็นนักเป่าเครื่องทองเหลืองที่เก่งที่สุดที่ผมเคยเจอมา พอกับฝีมือเปียโนของตำลึง ต่างกันตรงที่ตำลึงจบสถาบันดนตรีชั้นสูง กวาดรางวัลประกวดมาทั่วเอเชีย แต่ฟาบีโอลักจำจากพ่อเลี้ยง ฝึกเล่นด้วยตัวเอง ..กับยูทูบ! ถึงทฤษฎีดนตรีจะมั่วมาก แต่ทุกลีลา ทุกตัวโน้ตที่เป่าออกมา สวยงาม ซับซ้อน พลิ้วไหวจนพี่หม่อมตะลึง
    ทั้งคู่เป็นเพื่อนรัก เล่นดนตรีมาด้วยกันตั้งแต่ก่อนพี่หม่อมจะชวนเข้าวงเสียอีก!!
    "ถุยครับ!! ถ้าไม่รอมึงส่ายตูดกว่าจะได้แต่ละก้าว ป่านนี้ถึงสัตหีบแล้ว!"
    ผมปิดเกลียวฝาขวด เทเหล้าบ๊วยสีเหลืองทองให้พี่หม่อมและฟาบีโอ แล้วเติมให้ตัวเองก่อนตัดบท
    "คุยอะไรกันอยู่???"
    พี่หม่อมตอบแทน
    "ฟาบีโอถามว่า.. ปีที่ผ่านมานี่ ตอนไหน?ที่แต่ละคนมีความสุขที่สุด!!"
    "น่าสน!! แล้วคำตอบ??"
    ..........
    ตลอดเวลาที่คุยกัน ชมนาดนั่งขัดสมาธิล้อมวงอยู่ด้วยแต่สวมหูฟังเชื่อมสัญญาณบลูธูทกับแทบเล็ตในมือ เธอคงกำลังสร้างเสียงอิเล็คโทรนิคแปลกประหลาด หรืออาจบิดสารพัดเสียงที่บันทึกไว้แปลงให้เป็นเสียงพิศดารใหม่ๆ เอาไว้บรรเลงร่วมกับวงหลังการอิมโพรไวส์หลุดโลกไร้สเกลอันยาวนานของเพื่อนร่วมวงคนอื่น ผมยาวสลวยปรกใบหน้าซีดขาว เธอพูดน้อย จ้องกราฟฟิคหลากสีบนจอ ขบริมฝีปาก ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับบทสนทนาอย่างเช่นเคย
    "ของผม.. เห็นลูกสาวมันร้องไห้ ตอนมองตาสามีวันแต่งงาน ผมรู้เลยลูกมันมีความสุขจริงๆ!!"
    "โห่!!!.. ดราม่าน่าพี่" ฟาบีโอแหย่ คราวนี้ตำลึงยกขาจะถีบ
    "เชี่ยฟาบีโอ!! มึงเกรียนพี่หม่อม!! ..พี่ไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่งมันนะ!!" ทั้งวงหัวเราะลั่นจนชมนาดปลดหูฟังออกมาฟังเราด้วย พี่หม่อมพูดทั้งหัวเราะ
    "เอ้าจริงๆ!! พวกคุณแม่งยังไม่มีครอบครัว ไม่รู้สึกหรอก! อะไรจะทำให้มีความสุขได้เท่ากับเห็นคนที่เรารักมีความสุข! ..ผมมันระยำ!! ไม่เคยดูแลเค้ากะแม่ ส่งให้แต่เงิน เงินแม่งซื้อความรัก ซื้อชีวิตไม่ได้ ก็กูทำได้แค่นี้นี่หว่า! แต่อย่างน้อย.. ผมเห็นคนที่ทำให้ลูกมันมีความสุข!!"
    พี่หม่อมหยุดพูด แววตาเกิดประกาย
    "แล้วฟาบีโอ??"
    ฝรั่งตอบโดยไม่คิด
    "วันที่เล่นหน้านายกฯแล้วเก้าอี้ไอ้ตำลึงหัก ตูกกระแทกพื้น!!! ฮ่า! ฮ่า!!"
    "สาด!! มึง!!.." ตำลึงถีบฟาบีโอเต็มฝ่าเท้า
    ทุกคนเลิกขำกับเหตุการณ์นั้นแล้วเพราะขำมาตลอดทั้งปี หลังเกิดเหตุใหม่ๆ นึกถึงทีไรต้องหัวเราะคิก แม้แต่ชมนาดยังยิ้มที่มุมปาก
    พี่หม่อมโบกมือ
    "ไม่เอาสิ! ถามจริงๆ ฟาบิโอ.."
    คราวนี้มือเครื่องเป่าผมสีน้ำตาลถอนใจยาว
    "สามเดือนก่อน.. วันที่รู้ว่าพ่อตายมั๊ง!!! คือ.. ไม่ใช่หรอก แต่แม่ต้องทนกับความรู้สึกผิดที่หนีพ่อไปกับนักดนตรี ทั้งที่พ่อทำแย่ๆกับแม่ไว้เยอะ! เยอะมาก!! ไม่รู้สิ! ถ้าพ่อไม่อยู่แล้ว แม่อาจรู้สึกผิดน้อยลง แม่อาจมีความสุขในชีวิตได้บ้าง"
    เกิดสูญญากาศขึ้น 3 - 4 วินาที ก่อนตำลึงจะทำลายความเงียบ
    "เชี่ย!!! อย่างกะของมึงไม่ดราม่า ทำกูน้ำตาจิไหล!!"
    ทั้งวงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ฟาบีโอยิ้มขื่นกระดกเหล้าหมดแก้ว
    "แล้วตำลึง??"
    "ตอนผมไปหาหมอตาครับพี่หม่อม.. ผมเหมือนเห็นน้ำทะเลท่วมเต็มสองตาแล้วปวดหัวจะระเบิด! เลยไปหาหมอ ปรากฎ.. หมอจับหยอดยาขยายรูม่านตาเพื่อส่องดูจอประสาท"
    ทั้งวงขมวดคิ้ว "แล้วมันมีความสุขยังไงวะ??"
    ตำลึงอมยิ้มเหมือนระลึกความฝันแสนหวาน
    "โอ้ย!! ไม่ลองไม่รู้! ม่านตาขยายค้างเติ่งหลายชั่วโมง!! มันสวยงามมาก! เหมือนเราเข้าไปโลกอีกใบ!! สีแสงมันจะสว่างจ้าผิดเพี้ยนไปหมด เหมือนสิงในแอพฯแต่งรูป!! แล้วพอกลางคืนที่สว่างด้วยแสงไฟ มองไปทางไหนมันก็จะฟรุ้งฟริ้ง ไฟทุกดวงเปล่งรัศมีเป็นแฉก! แฉก! ..ผมลอยล่องไปตามทะเลดาว!!!"
    "มึงนี่ท่าจะบ้า!!" ฟาบีโอส่ายหน้า
    "แต่เราชอบนะ.." ชมนาดพูดเบาๆ พี่หม่อมอมยิ้ม ทุกคนยิ้ม
    เสียงลมข้างนอกสงบแล้ว อากาศเย็นลงฮวบฮาบ
    ..........
    "แล้ว.. ชมนาดล่ะ? ตอนไหนที่มีความสุขที่สุด??" พี่หม่อมสนใจอยากรู้
    "ตอนร่วมวงกับพวกเรา!!" ฟาบีโอพูดแทรก ทำตาฉ่ำ
    ทุกคนรู้ว่ามันมักจะหาจังหวะหยอดเธอทุกครั้งที่มีโอกาส พักหลังน้อยลงไปบ้าง หลังจากรู้ว่าแฟนชาวสิงคโปร์ของเธอเป็นศิลปินกลุ่มนอร์ด ..กลุ่มนอร์ดเป็นทั้งผู้ก่อการร้ายบนเน็ตและทำดิจิตอลอาร์ตต่อต้านทุนนิยมโดยมีเครือข่ายทั่วโลก
    ช่วงแรกที่เข้ามาในวง เธอเก็บเงิน ฝันจะได้อยู่กับแฟน ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ แต่เมื่อเขาโดนตำรวจตามล่าตัวอย่างหนัก เหมือนความฝันนั้นจะดับวูบลง
    หญิงสาวยกแก้วขึ้นจิบก่อนตอบเบาๆ
    "ร่วมวง.. ช่าย! นั่นก็ไม่เลว แต่จะมีความสุขมากๆ ถ้าเราสร้างเสียงใหม่ๆขึ้นมาได้!! เสียงที่ยังไม่เคยมีใครได้ยิน"
    "จ้าาา!!" ฟาบิโอลากเสียง "ไม่แปลกใจเล้ย!!"
    ทุกคนพยักหน้างึกงักเห็นด้วย ก่อนพร้อมใจหันมาทางผม
    "ตามึงแล้วนนท์!!"
    ผมเริ่มอย่างตะกุกตะกัก..
    "เออ.. ตอนนั้นมั๊ง! ทำเบสหายในรถไฟใต้ดินแล้วได้คืน มันเป็นเบสที่อยู่กับเรามาตลอด ไม่นับตัวที่ใช้หัดเล่น กับอีกที.. ที่พี่หม่อมให้ดรัมวอยซ์เป็นของขวัญวันเกิด!!" ดรัมวอยซ์คือสุดยอดนวัตกรรมทางดนตรีอย่างแท้จริง เพราะวงเราใช้ดรัมแมชชีนแทนคนตีกลอง แค่ผมใช้ปากส่งเสียงโซโล่กลอง เจ้าดรัมวอยซ์ก็จะแปลงเป็นเสียงกลองจริงโซโล่สดๆออกมา
    "สองคนนี่น่าเบื่อว่ะ!! ชีวิตมีแต่เรื่องงาน! ไม่มีความโรแมนติกเลย!! เอ้า!! งั้นชนแก้ว ขอให้วงเราดัง! มีคนจ้างไปเล่นไกลๆบ้าง จีนก็ได้! ญี่ปุ่นก็ดี!! แต่พี่หม่อม.. ถ้าเป็นเมืองแขกผมไม่ไปด้วยละนะ!!"
    "เออน่า!!.. ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! เอ้าเชียร์ๆๆ!!!!"

    ผมไม่ได้บอกใครครับ ความจริง.. ในรอบหลายปีที่ผ่านมา.. ช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดก็คือเมื่อคืน เมื่อมีชมนาดนอนขดตัวอยู่ข้างๆ อากาศดึกสงัดเย็นเยียบ ผมคลี่ผ้าห่มค่อยๆคลุมตัวเธอ ก่อนจะลงนอนใกล้ๆ ผมแอบมองใบหน้าซีดเซียว ขนตาสั้นๆ จมูกและรูปปากสวยของเธอจนผมเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีเมื่อเธอขยับเบียดเข้ามา ถึงตัวท่อนล่างจะเป็นเหน็บเพราะขาตำลึงพาดอยู่ทั้งคืน ผมก็ไม่คิดจะขยับหนีไปไหน อยากให้โลกหยุดหมุน ให้ได้ใกล้เธอที่สุดอยู่อย่างนี้ ..ตลอดกาล
  • ตอนที่ 2.


    เราทำตามกำหนดเวลาที่วางไว้ ตื่นเช้ามืด เก็บข้าวของ ปีนข้ามจักรกลวิศวะแล้วรุดหน้าไปตามถนนลอยฟ้า ตอนนี้แดดยังไม่แรงนัก ถนนตีโค้งไปทางขวามองเห็นภูเขาเป็นแนวยาวขนานอยู่ด้านซ้าย ลมเย็นกวาดไล้พุ่มหญ้าเขียวเบื้องล่างเป็นระลอกคลื่นสวยงาม เมฆแตกตัวเป็นก้อนๆคล้ายฝูงลูกเป็ดกระจายเต็มท้องฟ้าเบื้องบน

    สองชั่วโมงต่อมา..
    ความล้าสะสมจากการเดินข้ามวันข้ามคืนที่ออกอาการตั้งแต่เมื่อวานเข้าโจมตีเราอีกครั้ง พี่หม่อมก้มหน้าเดินเงียบ ตำลึงเริ่มสาวเท้าลำบาก ผมรู้สึกว่าสัมภาระบนหลังหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อหันไปเห็นผู้หญิงร่างบางแบกเป้ใบเขื่องบนหลังยังมีจังหวะก้าวคงที่ ทำให้ต้องสูดหายใจลึกกัดฟันเดินต่อ
    ดูท่าฝรั่งอิตาลีจะเป็นคนเดียวที่เรี่ยวแรงเหลือเฟือทั้งที่แบกของหนักเหมือนกัน นึกเรื่องเพลงขึ้นได้ก็ตะโกนถาม
    "เฮ้ยลึง!! เพลง มาย โรมานซ์ มึงจะเล่นบีแฟลต หรือเอฟวะ?? ..เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด! เอาซักอย่างดิ!!"
    ตำลึงหน้างุ้มตวาด
    "โรมานซ์พ่องมึงไง!! กูจะตายอยู่แล้ว!!! ทางดีๆมีไม่ไป! ยุให้เดินมา!! ..พี่หม่อมก็ไม่น่าเอากะมัน!"
    แน่นอน ฟาบีโอไม่สะดุ้งสะเทือน หัวเราะร่าชี้รอบตัว
    "มึงดู!.. ดู!! จะหาวิวอย่างนี้ได้อีกที่ไหน? ภูเขา ทุ่งหญ้า ..สุดลูกหูลูกตา ลิบๆฝั่งโน้นเป็นทะเล!! ..โจ้เหล้าบ๊วยรอบกองไฟ ..ไฟหลอดก็เหอะ! ไม่มีอีกแล้ว!! ถ้ารถวิ่งได้อีกครั้งเมื่อไหร่? แม่งจะมีแต่รถบรรทุกเข้านิคมอุตสาหกรรม!! มา.. เซลฟี่กัน!!"
    ทิวทัศน์รอบตัวถึงไม่วิจิตรอลังการ แต่การมีแค่เรา 5 คนอยู่ใต้แผ่นฟ้าเจิดจรัสสีคราม นับเป็นภาพที่จะลืมไม่ลงจริงๆ
    "มึงบ้าป่าวเนี่ย!!! เซลฟี่ทั้งวัน!! ไมเกรนกูจะขึ้น!! ตาจะเห็นน้ำทะเลอีกแล้ว!!"
    พี่หม่อมหัวเราะหึๆ ชินชากับความสามัคคีของลูกวง
    ผมพยายามเร่งจังหวะให้ทันเพื่อน
    อยู่ๆชมนาดก็ถามขึ้นมา
    "เสียงนั่น!!.. ได้ยินกันมั๊ย???"
    ..........
    ฟาบีโอชะลอฝีเท้าหยุดยิ้ม
    พอเงี่ยหูตั้งใจฟัง พวกเราได้ยินเสียงครืดคราดทางด้านหลัง หันกลับไปก็เห็นโครงเหล็กสีแดงกำลังกึ่งคลานกึ่งไถลบนทางด่วนตรงมาทางเรา
    "เครื่องจักรวิศวะ!!!" ตำลึงร้อง
    ฟาบีโออุทาน "เฮ้ย!! มันมาได้เร็วขนาดนี้??? ..รีบไปไหน??"
    ผมรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวท่วมท้นขึ้นมา
    พี่หม่อมหันซ้ายขวากวาดตาพร้อมสั่ง
    "หาที่หลบก่อน!!"
    เสียงโลหะเสียดสีดังขึ้นเรื่อยๆ ชั่วอึดใจมันก็เข้ามาใกล้ในระยะไม่กี่ร้อยเมตร เสียงดังสนั่นจนน่ากลัว
    จักรกลมหึมากระโจนสูงบังฟ้า องค์ประกอบเป็นห้องยื่น มีรยางค์ห้อยสะบัดต่องแต่ง ใบพัดโลหะคู่บนหอคอยหมุนติ้วคล้ายดวงตากลมโตฉุนเฉียวคลุ้มคลั่ง
    "ท้องมันกับพื้นถนนห่างกันอยู่!!! นอนราบไปน่าจะพ้น!!"
    "จะทำอะไรก็ต้องทำแล้วพี่!! มันมาแล้ว!!"
    พวกเราปลดเป้หลัง วางสัมภาระแล้วทิ้งตัวลงนอนราบคว่ำหน้ากับพื้นยกมือขึ้นปิดหู มีแต่ตำลึงนอนหงายเหงื่อแตกท่วมด้วยความกลัว "เฮ้ยๆ!! ฟาบีโอ!! มันจะติดพุงกูรึเปล่า??" ลนลานพูดก่อนผุดลุกขึ้นนั่ง
    "เชี่ยตำลึง!! มึงทำ'ไร?? นอนลงไป! นอนลง!!!"
    ตำลึงทิ้งตัวนอนหงายตอนที่จักรกลโครงเหล็กหนักหลายสิบตันคร่อมเหนือเราพอดี เสียงโลหะกระแทกเสียดสีดังแสบแก้วหู ผมเขยิบไปอยู่ข้างชมนาด เธอหลับตาตัวเกร็งสั่น ผมเอื้อมมือไปบีบแขนเธอเบาๆ เธอลืมตาคว้ามือผมจับไว้แน่น
    ชั่วอึดใจผ่าน พี่หม่อมตะโกน ซึ่งเราไม่ค่อยได้ยิน แต่หันไปมองก็เห็นแกหัวเราะร่า
    "มีช่องตั้งห่าง!! ..ไม่ทับหรอก ไม่เป็นไร! ฮ่า ฮ่า!!..."
    ทันใด.. เสียงวี๊ดแหลมแปลกประหลาด บางสิ่งพุ่งเร็วจี๋ตรงเข้ามาปะทะ ก่อนจะตั้งตัวก็เกิดเสียงกัมปนาทราวฟ้าถล่ม!! ตูมมม!!!!! โครม!!! โครงเหล็กเหนือหัวและพื้นถนนสั่นสะเทือน ชิ้นส่วนเหล็กร่วงกราวลงมา ฝุ่นคลุ้งตลบพร้อมความร้อนแผดเผาจนผิวหนังแทบไหม้
    วี๊ด! วี๊ด! ดังขึ้นอีกตามด้วยระเบิดกึกก้อง!! ตูม!! ตูม!!
    ถนนเขย่าสั่นเหมือนโดนยักษ์ตะปบ! แล้วทันใดนั้น.. กลางควันดำตลบและลูกไฟกระจายเป็นหย่อม เราก็ได้ยินเสียงที่น่ากลัวที่สุด เสียงกรีดร้องของโครงเหล็กฉีกขาด เครื่องจักรกลไกแตกพังยุบตัวทะลักหล่น ชิ้นส่วนขนาดใหญ่กำลังถล่มใส่เรา
    "วิ่ง! วิ่ง!!" ฟาบิโอตะโกน
    ผมฉุดชมนาดลุกขึ้น ผลักให้เธอวิ่งหนีไป ก่อนจะหันมาเห็นฟาบีโอซวนเซพยายามดึงตำลึงจากกองเหล็ก ผมพุ่งเข้าไปช่วย ..ไม่เห็นบาดแผลสาหัส! ตำลึงน่าจะแค่ช็อค
    "เฮ้ย! ตำลึงเร็ว!! ไปๆๆๆ!!!"
    ฟาบีโอกับผมประคองปีกเพื่อนร่วมวงร่างยักษ์มุ่งออกสู่แสงสว่าง เศษอะไรซักอย่างเพิ่งเฉือนใบหน้าผม รู้สึกถึงเลือดอุ่นๆไหลอาบแก้ม
    เราสามคนสำลักควันไอถี่รัว ชมนาดวิ่งกลับมาช่วย เราล้มลุกคลุกคลานอยู่กลางถนนห่างจากกองเศษเหล็กมหึมา แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้ามันระเบิดขึ้นอีก
    "กูหายใจไม่ออก! หาย.. ใจ ไม่ออก!!" ตำลึงละล่ำละลัก
    ฟาบีโอหันมาหาชมนาด
    "นาด!! เธอบอกแฟนรึเปล่า?? เราจะมาทางนี้!!"
    หญิงสาวส่ายหัว "เกี่ยวอะไร???"
    "ส่งแมสเสจไป!! โทรฯก็ได้!! บอก.. เราโดนโจมตี!! พวกต่อต้าน! ไม่ให้บรรษัทตัดถนนผ่าน!! แม่งถล่มทางด่วน!!"
    "พวกต่อต้านไหน?" ชมนาดตะโกน
    "จรวด!! วะ!!! ไม่เห็นเหรอ!! ส่งแมสเสจ.. ขอร้องล่ะนาด!! แฟนเธอมีเครือข่าย ให้พวกมันหยุด.."
    "หายใจไม่ออก.. กูหายใจ.."
    ชั่วขณะที่เสียงฟาบีโอ ชมนาดและตำลึงปนเปสับสน ผมจ้องม่านควันดำม้วนเปิดทาง ทันใดนั้นผมเห็นร่างพี่หม่อมนอนอยู่ใต้โครงหงิกงอ ผมสูดอากาศเต็มปอดแล้ววิ่งกลับเข้าไป
    ไอร้อนวูบลามเลียผิว ท่อนเหล็กขนาดใหญ่กองขวาง ผมมุดไปตามช่องว่าง กระชากรื้อเศษซาก ลืมสนใจบาดแผลที่เพิ่มขึ้นตามข้อศอกและฝ่ามือ ในที่สุดผมก็มาถึงตัวหัวหน้าวง
    พี่หม่อมมองผม กัดฟันพูด
    "ออกไป.. เดี๋ยวได้ตายห่ากันหมด!! มันจะต้องร่วงลงมาอีก!"
    ผมรีบหยิบเศษเหล็กหลายชิ้นออกจากบนตัวพี่หม่อม แต่ติดตรงโดนโครงใหญ่หักบิดผิดรูปตรึงอยู่จนขยับไม่ได้ แล้วผมก็เห็นเหล็กสองท่อนโผล่ทะลุออกมาจากตัวแก ผมตัวชาวาบ! แทบไร้เรี่ยวแรง!!
    "ไปนนท์!! ไป! เชื่อพี่!!!"
    "ต้องมีคนช่วย! ผมจะไปหาคนมาช่วย!!"
    "ดูพวกเราด้วยนนท์.. ดูพวกเราด้วย!"
    ..........
    ตอนที่เดินโซเซกลับมากลางถนน ผมเห็นตำลึงนอนแผ่หรา ฟาบีโอคุกเข่าอยู่ข้างๆ ไม่ไกลนักใกล้ขอบทางด่วน ชมนาดก้มหน้ารัวนิ้วจิ้มโทรศัพท์ ผมตะโกนเรียกเพื่อนแต่ลำคอแห้งผาก
    ไม่คาดฝัน!! อยู่ๆผู้ชายชุดดำเจ็ด-แปดคนสวมหน้ากากกันแก๊สพิษปิดหน้า โผล่ขึ้นมาจากขอบทางทั้งสองฝั่ง คนหนึ่งคว้าตัวชมนาดจากด้านหลัง ล็อคแขนเธอสองข้าง หญิงสาวสะบัดดิ้นสุดแรง
    ..ยังได้ยินฟาบีโอตะโกนลั่น ตอนผมพุ่งเข้าไปหาเธอ
    "อย่านนท์!! อย่า!!!"
    ผู้ชายชุดดำคนหนึ่ง เล็งปืนในมือมาที่ผม
    ผมรู้สึกถึงแรงปะทะหน่วงๆ อุปทานคล้ายความเย็นเฉียบฉับไวกว่าฟ้าแลบผ่านร่าง
    ตามด้วยความเจ็บ ความปวดและร้าวลั่นอย่างรวดเร็ว ผมหลงทิศ ในที่สุดก็คว่ำหน้า ล้มฟาดพื้นถนน!!!
    ผมโดนยิงสองนัด!!

    โปรดติดตาม ตอนต่อไป...

    ..........

    โปรดติดตามตอนต่อไป! ครับ! ผมอยากจะพูดอย่างนั้น!! เรื่องนี้ยังไม่จบ มีเรื่องราวหักมุมให้ตื่นเต้น ให้สมหวัง ..ได้ติดตามตอนต่อ
    แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นอย่างนั้น
    พวกเรารอดตายราวกับปาฏิหาริย์เมื่อกองกำลังตรวจการณ์มาถึงที่เกิดเหตุพอดี
    ผมล้มลง ฟาบีโอยกมือขอชีวิต ฝ่ายต่อต้านยิงใส่เฮลิคอปเตอร์ทหารแล้วล่าถอยอย่างรวดเร็ว พวกมันจับชมนาดไปด้วย
    พี่หม่อมกับผมอาการสาหัสแต่ก็รอดมาได้

    เกือบสิบปีผ่านไป..
    พี่หม่อมต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต แกยุบวง ผันตัวไปเป็นอาจารย์วิทยาลัยดนตรี แต่ยังเป่าทรัมเป็ต แต่งเพลงและดื่มเหล้าบ๊วย
    ..แกโทษตัวเองที่พาเราไปเดินบนทางด่วนสายตะวันออก ทั้งที่ฟาบีโอเป็นต้นคิดและรบเร้าอยากให้ทั้งวงได้ผจญภัยร่วมกัน
    ฟาบีโอตายในเหตุก่อการร้ายวางระเบิดคลับดังในดุสเซลดอร์ฟ
    ผมยังไม่อยากจะเชื่อจนทุกวันนี้ว่าต้องเสียเพื่อนไปด้วยเรื่องแบบนี้
    ตำลึงกับผมยังเล่นดนตรีด้วยกัน ผมเล่นเบส ไม่ก็กีตาร์คลอ.. ให้นักเปียโนร่างยักษ์อิมโพรไวส์ยาวนานจนกว่าจะหนำใจ
    ผมเสาะหาทุกทาง ติดตามทุกข่าว ไล่ดูยูทูบ
    ..จะมีศิลปินสาวนักสร้างเสียงประหลาดพิศดารปล่อยผลงานของเธอออกมาบ้างไหม???

    ค่ำวันหนึ่งในผับที่ไซง่อน อาจจะเป็นเธอที่นั่งดูเราเล่นอยู่ตรงโต๊ะใกล้ประตู
    ตำลึงบอกไม่ใช่! ..มึงมั่ว!
    แต่ผมยังได้ยินเสียงที่เธอสร้างขึ้น เสียงฮัม สูงต่ำ แผ่วเบาซีดจาง สวยงาม
    ..เสียงที่จะดังอยู่ในหัวของผมตลอดไป

    จบ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in