เล่าหลังดู Puss in Boots 2 : The Last Wish เมื่อเจ้าเหมียวในความทรงจำวัยเด็กกลับมาพร้อมกับประเด็นที่แสนเป็นผู้ใหญ่ (ชื่อเต็ม พอดียาวไปมันไม่ขึ้นให้)
หลังจากห่างหายกันไปเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่เจ้าเหมียวส้มสวมรองเท้าบูทมีภาพยนตร์เดี่ยวของตัวเอง ในที่สุดเจ้าแมวตัวโปรดของฉันก็กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง และคราวนี้มากับการผจญภัยที่แสนยิ่งใหญ่ สำคัญ และแฝงประเด็นบางอย่างให้ตัวเราในวัย 21 ได้คิดด้วยสิ
เราไปดู Puss in Boots 2 : The Last Wish มา อยากดูมากตั้งแต่เห็นโปสเตอร์หนัง ในที่สุดก็ได้ดูสักที เนื้อเรื่องในภาคนี้มีอยู่ว่าเจ้าเหมียวพุซผู้กล้าหาญไม่กลัวความตายของเราใช้ชีวิตของเขาไปแล้ว 8 จาก 9 ชีวิต และเมื่อเหลือเพียงชีวิตเดียวเขาก็เริ่มกลัวความตายขึ้นมาจึงต้องออกเดินทางตามหาดวงดาวเพื่อขอพรให้ตัวเองมีครบ 9 ชีวิตดังเดิม
การเดินทางครั้งนี้มีตัวละครใหม่มาเพิ่มหลายตัวเลย แล้วเราก็คงไม่พูดถึง Perrito เจ้าหมาตัวเล็กใส่สเวตเตอร์ (ที่น้องบอกในเรื่องว่ามันคือถุงเท้า) ไม่ได้ Perrito เป็นตัวละครที่น่ารักมากและดูมองโลกต่างจากพุซมากเลย น้องมองโลกแง่บวกมาก (ถ้าพูดภาษาปากคือดูโลกสวย) แต่ในความชิล ใจเย็นของน้องก็ทำให้สถานการณ์ตังเครียดคลี่คลายไปได้ดีเหมือนกัน ที่สำคัญคือคำพูดและการกระทำของเจ้าหมาตัวนี้ทำให้หัวใจเราได้รับการปลอบโยน (พยายามจะไม่สปอยล์) ประโยคที่น้องพูดเป็นสิ่งที่เรารู้นะ แต่เราเมินเฉยไปและไม่เคยทำแบบนั้นได้เลย Perrito เลยเป็นตัวละครที่เราชอบมากตัวนึง
ประเด็นในเรื่องถึงแม้จะดูไม่หวือหวา ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรสำหรับมนุษย์เราที่มีชีวิตเดียวเท่าไหร่แต่เรารู้สึกว่ามันอิมแพคกับเรามาก ตัวเราไม่ได้ตื่นรู้หรือตระหนักได้ว่า “โอ้ว้าว นี่ไง! ประเด็นหลักของเรื่อง! สิ่งนี้นี่เอง!” แต่เป็นความรู้สึกที่เรารู้อยู่แล้วนะ แต่ก็รอเจ้าแมวส้มคิดได้อยู่ “เมื่อไหร่เธอจะรู้สึกทีล่ะ!” อะไรทำนองนั้น และเมื่อตัวละครคิดได้เราก็รู้สึกว่าเขาโตขึ้นมาก ๆ เหมือนตัวละครวัยเด็กของเราเติบโตไปพร้อมเรา เหมือนวัยเด็กของเราที่โหยหาเรื่องราวน่าตื่นเต้นและการผจญภัยก็จะรู้สึกสนุกไปกับการเดินทางของพุซ ชอบตอนที่เขาปราบวายร้าย ใช้ชีวิตหวือหวาเสี่ยงอันตราย แต่เมื่อเราโตขึ้นและได้เห็นุซในภาคนี้ที่ก็ดูโตขึ้นและตระหนักอะไรบางอย่างได้ก็ทำให้เรารู้สึกว่า “อื้ม นี่สินะ การเติบโต” อย่างบอกไม่ถูกเลย เรียกได้ว่าเป็น Perfect Time ด้วยแหละ ตอนเราเด็กเราเห็นเขาผจญภัย ตอนนี้เราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้โหยหาการผจญภัยหรือรักความหวือหวาท้าทายเท่าตอนนั้นแล้ว เมื่อเราเห็นตัวละครตระหนักถึงประเด็นของเรื่องได้ก็รู้สึกเหมือนเราเติบโตมาด้วยกันและในที่สุดเธอก็เรียนรู้อะไรบางอย่าง ที่สำคัญคือเราก็ได้เรียนรู้สิ่งอื่น ๆ จากการเดินทางของพวกเขาด้วยนะ ถึงเราจะรู้ประเด็นหลักแล้วแต่ระหว่างทางเราก็ค้นพบและมาทบทวนตัวเองเยอะอยู่ (อันนี้จะขอพูดในส่วนที่เป็นสปอยล์เพราะต้องมีการเล่าถึงฉากที่ทำให้เราคิดได้)
ตัวละครอื่น ๆ เองก็ได้เรียนรู้จากการเดินทางครั้งนี้เหมือนกันและบางตัวละครทำเราร้องไห้ออกมาเลย เพราะในการเดินทางครั้งนี้ทุกคนล้วนต้องการไปถึงดวงดาวเพื่อขอพร แต่ละตัวละครก็มีพรที่อยากขอต่างกันไป ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขาจะขออะไรกันแต่พอรู้สิ่งที่เขาอยากขอแล้วก็แอบรู้สึกหัวใจหนักอึ้งแต่ก็พองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก (แต่ขอไม่พูดเพราะเดี๋ยวจะสปอยล์) เราได้เห็นว่าทุกตัวละครมีเหตุผลของตัวเองและในท้ายที่สุดพวกเขาก็ตระหนักถึงอะไรบางสิ่งได้ มันดีจริง ๆ ยินดีกับพวกเขาด้วยเลย
ได้มาดูแล้วก็รู้สึกเหมือนได้กลับไปเจอเพื่อนวัยเด็กเหมือนกันนะ ดีใจที่ได้ดู ได้เจอเจ้าแมวส้มอีกครั้งและได้กลับมาจดจำสิ่งที่เคยหลงลืมไปนานแล้ว
**จากนี้มีสปอยล์**
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ตอนได้แผนที่มาแผนที่จะสร้างทางเดินให้ตามคนถือแผนที่ ของพุซกับคิตตี้มีแต่หนทางอันตรายแต่ของ Perrito เป็นทางสดใส น่ารัก มีดอกไม้ มีแม่น้ำสวยงามเพราะน้องเป็นคนมองโลกในแง่ดี แล้วมันมีด่านนึงที่เป็นสวนดอกไม้สวยงามแต่กินคน ถ้าฟันทิ้งมันจะงอกเพิ่มแต่น้อง Perrito เดินมาดมดอกไม้แล้วดอกไม้ก็เปิดทางเลย Perrito พูดประมาณว่า “บางทีเราก็ต้องค่อย ๆ ไปช้า ๆ ไม่รีบร้อน” แล้วน้องก็ค่อย ๆ เดินดมดอกไม้ทีละดอกแบบใจเย็น เราก็มาคิดได้ว่าชีวิตเราทุกวันนี้มันรีบร้อนเหลือเดิน ทำไมบางทีเราไม่ลองใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปแบบที่ Perito พูดนะ
ในเรื่องมีโกลดี้กับหมีสามตัวด้วย (มาจากนิทานเรื่อง Golilocks) พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อหมี แม่หมี โกลดี้เป็นพี่คนโตและมีลูกหมีเป็นน้องชายคนเล็ก ครอบครัวนี้ก็ตามหาดวงดาวเหมือนกัน มีช่วงนึงที่โกลดี้กับครอบครัวหมีชิงแผนที่มาได้แล้วแผนที่บอกประมาณว่า “บางทีสิ่งที่ต้องการก็อยู่ตรงหน้าแล้ว” แล้วก็มีบ้านขอนไม้ของครอบครัวหมีปรากฏขึ้นมา ก็คือหมี 3 ตัวต้องการกลับบ้าน–บ้านที่แสนมีความสุขของพวกเขา ในขณะที่โกลดี้เข้าบ้านไปก็เห็นหนังสือภาพที่ตัวเองชอบอ่านแล้วมีภาพวาดครอบครัวที่เป็นมนุษย์ โกลดี้วาดทรงผมเด็กในรูปวาดให้เป็นทรงเดียวกับตัวเอง แล้วเรื่องก็มาเฉลยว่าโกลดี้อยากขอพรให้ตัวเองได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ… ครอบครัวที่เป็น “มนุษย์”
พอถึงตรงนี้เราหน่วงมาก เพราะทั้งเรื่องเราเห็นว่าพ่อหมี แม่หมี ลูกหมีมองโกลดี้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมาตลอดแต่โกลดี้ก็ยังอยากจะออกไปจากครอบครัวนี้เพื่อไปหาครอบครัวมนุษย์ที่ตัวโกลดี้ “เชื่อ” ว่าจะดีกับตัวเอง เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า ตอนเราดูเราน้ำตาไหลเลย เข้าใจว่าโกลดี้อยากได้มากกว่านี้ แต่สิ่งที่โกลดี้มีอยู่ ณ ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่เลย อันที่จริงก็แอบคิดแทนตัวละครนิด ๆ แต่อย่างที่เห็นตลอดเรื่องว่าหมี 3 ตัวรักโกลดี้มาก เป็นครอบครัวที่ดีมาก มองโกลดี้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมาตลอดแม้โกลดี้จะเป็นมนุษย์คนเดียวในครอบครัวก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นคือโกลดี้กำลังจะทิ้งพวกเขาไป ก็คือ “เธอมีครอบครัวที่รักเธอมากขนาดนี้ เธอยังจะไปอีกเหรอ…” <<พูดด้วยเสียงเศร้า แล้วที่ซึ้งมาก ๆ ก็คือต่อให้หมี 3 ตัวรู้แล้วว่าถ้าโกลดี้ได้พรไปก็คงทิ้งพวกเขาไปแต่เขาก็ยินดีจะทำเพื่อโกลดี้ ถ้ามันจะทำให้โกลดี้มีความสุข (ตอนนี้เราร้องไห้เลย)
อีกตัวละครที่จะมาแย่งขอพรจากดวงดาวคือแจ็ค เป็นเจ้าของโรงงานพาย ตัวละครนี้เรามองว่าเขาเองก็น่าสงสาร เขามีทุกอย่างพร้อมแต่เขาไม่รู้จักพอและความไม่รู้จักพอ อยากได้อยากมีมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ก็มาจากปมวัยเด็กของเขา จนตอนจบเขาก็ยังคิดไม่ได้(และคงไม่มีโอกาสได้คิดอีกแล้ว) เป็นตัวละครที่น่าสงสารอยู่เหมือนกัน
อีกตัวละครที่เราคิดว่าเท่มากคือหมาป่าที่ตามล่าพุซ ตอนแรกเขาบอกว่าเป็นนักล่าค่าหัวที่ตามจับพุซไปส่งทางการอยู่ แต่เพิ่งมาเอะใจตอนกลาง ๆ เรื่อง สังเกตว่าทุกครั้งที่พุซทำอะไรเสี่ยงตายตัวละครนี้จะโผล่มาทุกที และใช่ ตัวละครนี้คือ “ความตาย” จริง ๆ ไม่ใช่อุปมาอุปมัยใด ๆ เป็นตัวละครที่เป็นยมทูตมารับตัวพุซไปจริง ๆ เราชอบที่เขาพูดกับพุซตอนท้าย ๆ เรื่องว่าที่ผ่านมาพุซหลงระเริง กระหยิ่มยิ้มย่อง กล้าหัวเราะใส่ความตายเพราะคิดว่าตัวเองมี 9 ชีวิต จะทำอะไรเสี่ยงตายแค่ไหนก็ได้ ซึ่งทุกชีวิตที่พุซใช้ก่อนหน้านี้ใช้ไปแบบเสียเปล่า ไร้ประโยชน์หมดเลย เหมือนว่าพุซไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบตั้งใจใช้เพื่อทำอะไรจริงจังสักครั้ง พอตอนนี้เหลือแค่ชีวิตเดียวก็เลยกลัวขึ้นมาอย่างนั้นล่ะสิ เราก็มาคิดแหละว่าการที่พุซมี 9 ชีวิตก็ไม่แปลกเลยถ้าเขาจะมัวหลงใช้มันไปกับการทำอะไรเสี่ยง ๆ ใช้ชีวิตเอาสนุก ท้าทาย สร้างตำนานแต่ไม่เคยได้ใช้ให้มีความหมายจริง ๆ สักครั้ง และตอนจบที่พุซคิดได้เราก็ดีใจนะ (ซีนตอนท้ายเท่มากแต่ไม่กล้าเล่า แค่นี้ก็สปอยล์เยอะแล้ว แหะๆ)
อีกประโยคที่เราชอบมากขอยกมาจาก Perrito น้องเห็นว่าพุซอยากได้ชีวิตอีก 8 ชีวิตคืนมา น้องก็อยากให้พุซได้ดังที่หวังนะ ส่วนน้องไม่อยากขอพรอะไรเลย น้องมีสิ่งที่ต้องการแล้ว น้องบอกว่าการได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ได้ผจญภัยกับทุกคน ได้เป็นเพื่อนกับพุซกับคิตตี้ “แค่ชีวิตเดียวก็เพียงพอแล้ว” ประโยคนี้ทัชใจเรามาก เป็นตัวละครที่อยู่กับปัจจุบันและพอใจกับสิ่งที่เป็นจริง ๆ ในขณะที่ทั้งเรื่องทุกตัวละครกำลังมองหาบางสิ่งและคิดว่า “ถ้ามีแล้วจะมีความสุข” จนหลายครั้งก็ลืมไปว่าสิ่งที่มีค่ากว่านั้นหรือสิ่งที่ตามหาอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วแล้ว Perrito คือ “ที่เป็นอยู่นี้ก็มีความสุขแล้ว” และน้องรู้มาตลอดว่าสิ่งที่หามันอยู่ตรงหน้านี่ไง ความสุขเป็นอะไรที่เรียบง่ายและอยู่ตรงหน้านี่เอง…
ขอพูดอีกนิด อดีตของ Perrito ดาร์กมาก น่าเศร้ามาก ๆ พูดแบบไม่สปอยล์เยอะก็คือน้องถูกทิ้ง ตามที่คิดคือน้องควรจะอยากได้ครอบครัวดี ๆ แต่สิ่งที่น้องพูดคือน้องมีเพื่อน ๆ ทุกคนอยู่ด้วยกันแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้อยากหาครอบครัวใหม่ที่ดีกว่านี้เลย Awww he’s a good boy…
โดยรวมอิ่มเอมใจมาก ได้ฉุกคิดถึงสิ่งสำคัญแสนเรียบง่ายที่เราหลงลืมไปนานจริง ๆ ทั้งการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า การอยู่กับปัจจุบัน พอใจกับความสุขตรงหน้าแล้วจะพบว่าสิ่งที่ตามหาอาจอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง
…เป็นหนังวัยเด็กที่กลับมาพร้อมกับประเด็นผู้ใหญ๊ผู้ใหญ่จริง ๆ ไม่ใช่ประเด็นแปลกใหม่ แต่กลับเป็นประเด็นเรียบง่าย คุ้นเคย ที่เราเผลอหลงลืมไปเลยจริง ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in