เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นวันคริสต์มาส, 2019KAiZAME
ของขวัญแด่นักเดินทางบนแผนที่ชีวิต


  • เธอตื่นขึ้นมาบนรถไฟขบวนหนึ่ง



    แสงสว่างจากภายนอกหน้าต่างค่อย ๆ ริบหรี่ลงจนความหนาวเย็นเริ่มคืบคลานกระทบผิวกาย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ปลุกเธอให้หลุดออกจากห้วงนิทรา


    'ยังไม่ถึงอีกเหรอ' เธอคิดในใจ พลันอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะเธอตื่นเร็วเกินไป หรือเพราะเทคโนโลยีเริ่มล้าสมัยแม้เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปี โดยไม่กี่นาทีหลังจากนั้น แสงสุริยะก็ลาลับขอบดาวเคราะห์ที่เธอจากมา ม้าเหล็กเวหาที่เธอนั่งอยู่กำลังลอยเวิ้งว้างกลางห้วงอวกาศอันมืดสนิท ต่อให้โดยรอบดารดาษไปด้วยการสาดแสงจากดาวนับพันล้านดวง มันก็ไม่ได้ช่วยขับไล่ความมืดมิดให้หายไปจากผืนอวกาศแห่งนี้


    เหมือนอย่างที่ไม่อาจมีแสงสว่างใดส่องไล่ความมืดหม่นในจิตใจ หากเจ้าของไม่ได้กำลังแสวงหาแสงนำทางที่เหมาะกับตนจากภายใน


    ไกลออกไป จุดสว่างที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าคือพิกัดของดาวโลก ถิ่นที่เธอจากมา และกำลังเดินทางกลับไป โดยแต่ละปีเธอจะกลับไปเพียงหนเดียวเท่านั้น


    กลับไปเพื่อทำหน้าที่ของการเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอัตลักษณ์ว่าด้วยการขึ้นตรงต่อพระเจ้า— ที่ไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะถ้าทุกคนเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน คนทั้งโลกคงทำงานในบริษัทนี้เหมือนกันหมด


    "มีอะไรให้ผมรับฟังหรือเปล่าครับ?"


    "คะ? " เธอหันมองไปทางต้นเสียง พบว่ามีพนักงานต้อนรับหนุ่มมายืนอยู่ข้างเธอตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้ รู้แค่เพียงนั่นไม่ใช่คำถามที่ปกติเท่าไหร่


    "ต้องเป็นคำว่ารับใช้หรือเปล่าคะ" เธอเอ่ยตอบด้วยคำถาม หยิบยื่นคำที่ถูกตีตราว่าเป็นความปกติของสังคม ทั้งที่ใครหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นผู้ริเริ่มบรรทัดฐานต่าง ๆ ขึ้นมาบนโลกใบนั้น


    ผู้ฟังเลิกคิ้ว แปลกใจกับคำถามเล็กน้อย


    "อะไรทำให้คุณคิดว่าผมพูดผิดเหรอครับ?"


    "ปกติคนบนดาวโลกไม่ค่อยรับฟังกันเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตั้งแต่การพบกันครั้งแรก" น้ำเสียงราวธารน้ำไหวเอ่ยอย่างลื่นไหล ก่อนนัยน์ตาจะเคลื่อนทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง "การพูดถึงแต่เรื่องของตัวเองเป็นธรรมชาติของมนุษย์"


    "รวมไปถึงการตัดสินด้วยใช่ไหมครับ" ชายหนุ่มถาม เรียกความสนใจจากเธอได้ครู่หนึ่ง ก่อนริมฝีปากได้รูปจะแค่นยิ้มที่มุมปาก


    "คุณจะบอกว่าคุณเป็นแอนดรอยด์ถูกไหม?" ฝ่ายผู้โดยสารไม่ได้ตอบคำถาม นัยน์ตาของเธอเหลือบมองใบหน้าคมคายของผู้ที่ยืนอยู่ ขณะกำลังเท้าคางกับขอบหน้าต่างที่ติดอยู่ข้างเธอ


    "พนักงานทั้งหมดบนรถไฟขบวนนี้ล้วนเป็นสิ่งเดียวกันครับ" ความเถรตรงทำให้รอยยิ้มมุมปากยังคงไม่จางหาย เธออาจลืมไปแล้วว่าสมัยนี้นวัตกรรมมนุษย์ยนต์ประสบความสำเร็จจนเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่ดาวเคราะห์ดวงอื่น หรือบางที อาจแค่เพราะทุกๆ ปีเธอไม่เคยมีพนักงานมาต้อนรับเป็นการส่วนตัวแบบนี้


    "ระบบของพวกคุณถูกตั้งค่าให้รับฟังผู้โดยสาร?" เป็นอีกครั้งที่เธอตั้งคำถาม และยังไม่ทันได้รับคำตอบ เธอก็เสริมทัพคำถามใหม่ไปอีก "เพื่ออะไร"


    แอนดรอยด์หนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง มิใช่เพราะคำถามที่ชวนครุ่นคิด แต่เขากำลังประเมินว่าบทสนทนาหลังจากนี้มีความเป็นไปได้ที่จะใช้เวลายาวนานหรือไม่


    เมื่อประมวลผลเป็นที่เรียบร้อยด้วยสมองกล เขาก็ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาตหญิงสาวผู้นั่งติดริมหน้าต่าง ที่นั่งข้างเธอเว้นว่างเช่นนี้ทุกปีราวกับเธอมิเคยมีญาติมิตรในชีวิต— นั่นคือสิ่งที่มนุษย์โลกชอบตัดสินผู้ที่ไปไหนมาไหนคนเดียว ทั้งที่บางทีมันก็แค่เป็นคนที่ชอบทำอะไรเพียงลำพัง


    "คุณบอกว่ามนุษย์ไม่ค่อยรับฟังกัน" เครื่องจักรรูปลักษณ์มนุษย์หย่อนกายนั่งลงข้างเธอ หลังจากที่เธอผงกศีรษะอนุญาตให้นั่งได้ตามสะดวก "นั่นอาจเป็นเหตุผลที่พวกผมควรรับหน้าที่นั้น เพื่อสร้างความหมายให้กับตัวเอง"


    "และเพื่อให้มนุษย์อย่างพวกคุณรู้ว่าตัวเองมีความหมาย"


    หญิงสาวหันกลับไปสบมองใบหน้าของเอไอหนุ่มรูปงาม เธอแน่ใจว่ามันเป็นโฉมหน้าที่มีอยู่เกลื่อนระบบสุริยะ เพราะโรงงานผลิตแอนดรอยด์ย่อมต้องสร้างหุ่นยนต์ที่มีความเพียบพร้อมเช่นนี้นับหมื่นนับแสนร่าง สิ่งที่ทำให้สมองกลในร่างมนุษย์คนนี้น่าสนใจ จึงน่าจะเป็นคำตอบที่จุดประกายบางอย่างขึ้นในจิตใจของเธอ


    "คุณชื่ออะไร?" เธอถาม พลางเปลี่ยนอิริยาบทจากการนั่งเท้าคางเป็นทิ้งน้ำหนักเอนหลังพิงเบาะของตำแหน่งที่เธอนั่งอยู่


    "เรียกผมด้วยชื่อของคุณก็ได้ครับ การรู้ชื่อผมไม่ได้มีผลต่อการรับฟังเท่าไหร่"


    "นั่นเป็นคำตอบที่ถูกตั้งค่าเอาไว้?" เธอเย้าแหย่ รอยยิ้มมีนัยปรากฏบนดวงหน้าคมสวย "แอนดรอยด์สมัยนี้มีคำตอบเป็นของตัวเองแล้วสินะ เจ๋งดี"


    ผู้ฟังทำเพียงแค่ยิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้สะท้อนอารมณ์ใดเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้เสแสร้ง เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์..


    "คุณกลับไปดาวโลกในวันนี้ของทุกปี" ชายหนุ่มเกริ่นประเด็นใหม่ ก่อนตามด้วยคำถาม "เพราะเป็นวันคริสต์มาสเหรอครับ?"


    "อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นล่ะคะ?"


    "จากฐานข้อมูลของผม ระบุว่ามนุษย์โลกให้ความสำคัญกับวันเทศกาลนี้แทบทุกมุมโลก ทั้งที่จุดกำเนิดมาจากประเทศเดียว"


    "คุณเล่นมุกได้ตลกร้ายดี" เธอหัวเราะเบาๆ สิ่งที่คนข้างกายกล่าวไม่มีผิดเลยแม้แต่น้อย คนให้ความสำคัญทั้งที่มันอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญของทุกคน แต่เมื่ออยู่ร่วมกันเป็นสังคม การทำตามกันเพื่อไม่ให้ตนแปลกแยกกลับกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพยายามไขว่คว้ามันเอาไว้


    พยายาม จนบางครั้งก็หลงลืมคุณค่าของความแตกต่าง


    "ถ้าคุณเข้าใจเทศกาลคริสต์มาส คุณคงรู้ว่าผู้คนต่างรอคอยของขวัญจากคน ๆ หนึ่ง"


    "คุณซานต้า ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่จริงไหม" ฝ่ายเอไอเอ่ยเสริมแทนหญิงสาว นั่นเรียกรอยยิ้มจากเธอได้พอสมควร


    "บริษัทที่ฉันทำงานอยู่ดำรงเพื่อให้มันมีอยู่จริง"


    "พวกคุณรับบทเป็นซานต้า?"


    "ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะมีมนุษย์ที่เชื่อเรื่องพวกนี้ การรับบทนี้จึงเป็นสิ่งที่ขายได้ กอบโกยกำไรมหาศาลผ่านความเชื่อของคน" น้ำเสียงของเธอราบเรียบ ราวกับไม่ได้มีความภาคภูมิในภารกิจนี้เท่าไหร่ อาจเพราะสุดท้ายแล้วทั้งหมดก็เพื่อกำไรของบริษัท จึงทำให้เธอรู้สึกแบบนี้


    "ผมว่ามันเป็นโอกาสดีที่คุณจะเป็นผู้ให้ มีคนมากมายอยากเป็นแต่ทำไม่ได้ เพราะแม้แต่การให้คุณค่ากับตัวเองยังไม่รู้ต้องทำอย่างไร"


    "ถามจริง นี่คุณเป็นแอนดรอยด์แขนงปรัชญาหรือเปล่าคะเนี่ย?" เธอหยอกแซว น่าแปลกที่การพูดคุยกับเครื่องจักรกลมันให้ความรู้สึกตัวเบากว่าที่คิด อาจเพราะพวกเขาไม่มีบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์มี


    "ผมแค่เป็นผม ทำไมมนุษย์ชอบจำแนกประเภท อันนี้ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่"


    "นั่นสินะคะ" เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนใช้เวลาคิดคำตอบในประเด็นที่เสมือนอีกฝ่ายเพียงเอ่ยลอย ๆ เท่านั้น มนุษย์ชอบตัดสิน แบ่งแยก ขีดเส้น ตีกรอบ จำกัดทุกสิ่งเท่าที่จะจำกัดความได้ ทั้งที่จิตวิญญาณที่แท้จริงสามารถเป็นได้มากกว่าที่ตัวเองตีตราเอาไว้


    "คงเพราะการแบ่งแยกทำให้เกิดการมีพรรคมีพวก มนุษย์อาจอยู่คนเดียวได้ แต่ลึก ๆ ฉันเชื่อว่าทุกคนล้วนอยากมีใครสักคนที่เห็นด้วยว่าตัวเองไม่ได้ผิด แม้เพียงแค่คนเดียวก็ยังดีกว่าไม่มีเลย"


    "ผิดเกิดจากอะไร?" ชายหนุ่มถาม เป็นคำถามที่ต้องดำดิ่งสู่ห้วงลึกของสติปัญญาอีกแล้ว..


    ระหว่างที่ต้องใช้ความคิดใคร่ครวญ เธอได้หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา เปิดระบบซึ่งมีไว้ลิสต์รายชื่อของขวัญที่เธอต้องแจกจ่ายเพื่อเช็คความพร้อม ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของหนุ่มสมองกล


    "มนุษย์ชอบสะสมวัตถุเหรอครับ? คุณถึงได้เตรียมแต่ของขวัญที่เป็นรูปธรรม"


    "ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าทุกคนชอบไหม รู้แค่ว่าถ้าเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่"


    "แปลว่าพวกคุณคาดหวังให้ผู้รับให้ความสำคัญกับสิ่งที่ได้ไป?" คำถามชีวิตถูกยิงออกมาอีกแล้ว คราวนี้เธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเอ่ยตอบในระหว่างที่สายตายังคงเลื่อนลอยไปตามภาพของขวัญต่าง ๆ บนหน้าจอ


    "ใครก็อยากมีความสำคัญ คุณ..." เธอว่าจะเรียกอีกฝ่าย แต่นึกขึ้นได้ว่าไม่ทราบชื่อของเจ้าตัว จะเรียกชื่อตัวเองจริง ๆ ก็คงแปลกไปเสียหน่อย


    "ทุกคนมีความสำคัญอยู่แล้ว ทำไมมนุษย์ไม่ส่งมอบในสิ่งที่ทำให้อีกคนตระหนักรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง แทนที่จะส่งต่อวัฒนธรรมที่ทำให้รู้สึกสำคัญก็ต่อเมื่อได้รับอะไรจากใคร? "


    "..."


    "คุณบอกมนุษย์ไม่ค่อยรับฟังกัน ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ในการมอบสิ่งนี้ให้กันและกันล่ะครับ?"


    "มันไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น"


    "ไม่ง่าย หรือแค่เพราะคุณสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเอง" ถ้อยคำของคนข้างกายเสมือนลิ่มตอกกลางใจ เธอยอมรับว่ามนุษย์ชอบตั้งเงื่อนไข พอมีเงื่อนไขหรือข้ออ้าง เราก็จะมองไม่เห็นความเรียบง่ายของชีวิต


    "คนที่มีเงื่อนไขจะพูดว่า 'ไม่ได้' ไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องแก้ปัญหา แต่คนที่ไร้ข้ออ้าง จะคิดว่าต้องทำได้ แล้วหาวิธีว่าจะทำมันยังไง"


    "โอเค ฉันเข้าใจแล้ว แต่ต่อให้มีคนรับฟัง คนบางคนก็ไม่กล้าบอกเล่าเรื่องที่อยากระบายให้คนอื่นฟัง แบบนี้แทนที่จะเป็นของขวัญให้กับเขา จะเป็นการสร้างความอึดอัดใจซะเปล่ามากกว่านะคะ" เรียวคิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะกล่าว


    "เพราะมนุษย์ชอบตัดสิน จึงทำให้เกิดฝ่ายที่กลัวการถูกตัดสิน" เอไอหนุ่มให้คำตอบที่ราวกับเป็นสัจธรรมของสิ่งมีชีวิตอันเรียกว่ามนุษย์ ตั้งแต่ที่สนทนาร่วมกันมา แม้เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที แต่สิ่งหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้จากมันคือ เมื่อมองจากจุดที่ไม่ใช่มนุษย์ นั่นทำให้สามารถทำความเข้าใจในตัวมนุษย์ได้ดีกว่าสิ่งที่ถูกนิยามด้วยคำ ๆ นี้


    เช่นเดียวกับชาวเขา ที่จะมองเห็นยอดผาได้ชัดแจ้ง ก็ต่อเมื่อมองจากทุ่งราบเท่านั้น


    นั่นหมายถึงบางครั้งเราอาจต้องถอยตัวเองออกมาจากบางสิ่งบางอย่าง เพื่อที่จะได้มองเห็นความสำคัญ หรือคุณค่าของมันในตอนที่อยู่ห่างออกมา


    "แบบนี้แล้ว ทำไมคุณไม่ให้ของขวัญเป็น 'การไม่ตัดสิน' ด้วยเลยล่ะครับ? ผมว่ามนุษย์ทุกคนปรารถนามันนะครับ" เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แม้ไม่ได้แฝงความรู้สึกอื่นใดมากไปกว่าหุ่นตัวหนึ่ง แต่ที่เธอรับรู้ได้ดียิ่งกว่าอารมณ์ใด คือความจริงใจที่ถูกส่งตรงมาผ่านสายตาคมคู่นี้


    "คุณน่าจะสลับงานกับฉันนะคะ" เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ "แต่ฉันเข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมคุณถึงควรเป็นผู้รับฟัง โลกใบนี้ไม่ได้มีคนที่คิดแบบคุณมากนัก และทั้งหมดล้วนเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้ที่คิดจะรับฟังผู้อื่น"


    "คุณก็เป็นผู้ฟังที่ดีได้ หากคุณอยากเป็น" ความตั้งใจที่มากพอล้วนนำพาวิธีการมาให้ ไม่ช้าก็เร็ว แต่มาแน่นอน เขาจะสื่อแบบนั้น


    เธอหันไปทอดสายตามองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ดาวโลกที่เคยเป็นเพียงจุดแสงกำลังสะท้อนภาพชั้นบรรยากาศในระยะใกล้ บ่งบอกว่าอีกไม่นานคงถึงเวลาลงจอดที่สถานีรถไฟอวกาศ ตอนนี้เธอเหมือนได้คำตอบใหม่สำหรับสิ่งที่เธอถามตัวเองในใจไปตอนตื่นขึ้นมา


    การที่ถึงปลายทางช้าอาจไม่ใช่เพราะเธอตื่นเร็วหรือเทคโนโลยีล้าสมัย แต่เพียงแค่เพราะไม่มีผู้ร่วมทาง หรืออะไรสักอย่างที่คอยจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับตนในระหว่างที่กำลังเดินทางไปสู่เป้าหมาย


    "งั้นก่อนจากกัน ขอฉันทดลองเป็นผู้ฟังที่ดีดูสักครั้งแล้วกันนะคะ" เธอเกริ่นขึ้นขณะหันไปสบสายตากับชายหนุ่ม "ถ้าสักวันคุณกลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา คุณจะอยากทำสิ่งใดกับชาวโลกบ้างคะ?"


    "ผมเหรอครับ?" ผู้ถูกถามเอ่ยทวนระคนแปลกใจ เขาผ่านการต้อนรับผู้โดยสารมามากมาย แต่มีน้อยนักที่จะใส่ใจผู้ให้บริการเช่นเขา เทียบเคียงกับมนุษย์คนหนึ่ง? ย้ำให้เขารู้ว่าคิดไม่ผิดที่คอยสังเกตเธอมาตลอดทุกปีโดยที่ไม่เคยเข้าหาอย่างวันนี้


    "อันดับแรกคงอยากให้ทุกคนตระหนักรู้ว่า เรื่องทุกเรื่องมีจังหวะของมัน การที่ตอนนี้ยังไม่เจอ ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่ คุณอาจจะกำลังรู้สึกเผชิญปัญหาอยู่เพียงลำพัง ไร้แสงสว่างนำทางชีวิต แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะหามันไม่เจอไปตราบนิรันดร์"


    "การพยายามไขว่คว้าอาจยิ่งทำให้สิ่งที่ปรารถนาหนีหายไปไกลกว่าเดิม เหมือนผีเสื้อที่ไม่เคยหยุดรอหากคุณวิ่งไล่ตาม แต่เมื่อคุณอยู่เฉย ๆ มันกลับบินมาเกาะอยู่ตรงหน้าคุณเองอย่างง่ายดาย"


    "เหมือนที่ฉันเพิ่งมาเจอคุณในปีนี้สินะคะ" เธอหยอกเย้า ส่งเสียงหัวเราะใสพอให้ไม่เสียมารยาท เธอคงคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ โดยหารู้ไม่ว่าบางอย่างมันมีจังหวะของมันจริง ๆ ดั่งที่เขากล่าวไป


    "อย่างต่อมาคงเป็นการทำให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็น ไม่ใช่แค่ตัวตนอันเป็นเอกเทศ แต่เป็นการยอมรับแม้แต่ความเป็นมนุษย์ นั่นจะทำให้เราตระหนักรู้ว่าทุกคนแตกต่างเหมือนกัน"


    "มีดีมีร้าย มีสุขมีทุกข์ เสียใจได้ อ่อนแอเป็น ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ยอมรับมัน และปล่อยให้เป็นอย่างที่ควรจะเป็นบ้าง ให้ชีวิตสอนบางอย่างกับเราดู"


    "ฉันชักอยากให้คุณเป็นมนุษย์ขึ้นมาจริง ๆ ซะแล้วสิ เชื่อว่าคุณต้องมีเสน่ห์มากแน่ ๆ พนันได้เลย" เธอยิ้มเล็กยิ้มน้อย เลื่อนปัดหน้าจอที่มีแต่ลิสต์ของขวัญออกไป แทนที่ด้วยรายชื่อผู้ติดต่อ ก่อนส่งมันไปให้อีกฝ่าย หวังให้ส่งสิ่งเดียวกันบนหน้าจอคืนกลับมาให้เธอ


    "ฉันขอช่องทางติดต่อคุณได้ไหม อะไรก็ได้"


    "ผมอยู่บนรถไฟขบวนนี้ตลอด ตอนที่คุณกลับมา เดี๋ยวผมมาพบคุณใหม่ก็ได้ครับ" เสมือนคำปฏิเสธกลาย ๆ เธอไม่ทราบเหตุผล แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร


    "ฉันอาจจะไม่ได้กลับมาน่ะสิคะ" รอยยิ้มถูกวาดขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้แฝงความขมขื่นใด ๆ ออกจะดูเหมือนเธอกำลังอิ่มเอมใจด้วยซ้ำ


    "บางทีปีนี้อาจเป็นปีที่ฉันควรเปลี่ยนวิถีดูบ้าง กลับมาดูแลดาวบ้านเกิด ส่งมอบสิ่งดี ๆ ให้กับเพื่อนร่วมโลกมากกว่าแค่แวะผ่านมาแจกของขวัญตามหน้าที่ แล้วจากไปอีกราวกับที่นี่ไม่มีค่าพอให้ฉันใช้ชีวิตไปกับมัน"


    และบางที ก็ควรคิดอย่างนี้กับตัวเองสักที มองเห็นคุณค่าและเรียนรู้ที่จะรับฟัง ดูแลจิตใจของตัวเองให้เท่ากับที่เราอยากให้ผู้คนปฏิบัติต่อตน หรือมากกว่านั้นได้ก็ดี?


    "งั้นเหรอครับ?" หนุ่มเอไอประมวลผล ก่อนสรุปทางเลือกที่เป็นกลางสำหรับทั้งสองฝ่าย "ถ้าอย่างนั้น ผมฝากแบบสอบถามให้คุณแนบไปกับของขวัญทุกชิ้นที่คุณต้องส่งแล้วกันนะครับ เราจะได้ติดต่อกัน อย่างน้อยก็มีเหตุผลในเรื่องงานไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว"


    "นั่นคือกฎระเบียบของแอนดรอยด์เหรอคะ?"


    "ท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็เป็นเพียงเครื่องมือ ระเบียบแบบแผนจึงสำคัญ พวกคุณมีอิสรภาพ แต่กลับชอบสร้างกรงขึ้นมาขังอะไรก็ตามที่งดงามในแบบของมันเพียงแค่ลองมองต่างมุม จุดนี้เป็นอีกเรื่องที่แอนดรอยด์อย่างผมไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไม"


    คำตอบของเขาทำให้หญิงสาวหลับตาลง ในจังหวะนั้นเขาก็ได้รับอุปกรณ์สื่อสารของเธอมากรอกช่องทางติดต่อ รวมถึงส่งไฟล์แบบสอบถามเข้าไปในเครื่องผ่านระบบเอไอในตัว


    เธอที่รับรู้ได้ถึงน้ำหนักของสิ่งที่ถูกดึงไปจากมือก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เลื่อนนิ้วเปิดไฟล์ข้อมูลคล้ายสำรวจว่ามันคือแบบสอบถามอะไร ยังไงเธอก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ในเมื่อเขาส่งมอบให้เธอแล้ว


    "ว้าว เจ๋ง นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้การแจกของขวัญของฉันมีค่ามากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา" เธอโพล่งขึ้นอย่างชื่นชมในไอเดียของอีกฝ่าย คิดว่าสักวันคงมีโอกาสเรียนรู้และรู้จักคนข้างกายมากกว่านี้


    "คุณพูดผิดแล้ว คุณมีค่าโดยที่ไม่จำเป็นต้องพยายามทำสิ่งใดให้ใครเห็น มนุษย์มักคิดว่าการโดดเด่นคือการสร้างคุณค่าให้โลกประจักษ์ แต่แค่คุณได้ใช้ชีวิต เรียนรู้ เติบโต วันหนึ่งคุณจะกลายไปเป็นจุดเช็คพอยท์ของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว"


    "คุณแค่ตั้งใจและไม่หลงลืมตัวตน ไม่พยายามเป็นในสิ่งที่สังคมตีกรอบให้คุณ รู้ว่าคุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ความคิดใคร แต่อยู่ในความสม่ำเสมอซึ่งเป็นอีกรูปของความรักตัวเอง หากคุณมีความฝัน แค่ก้าวต่อไปทีละนิดแต่สม่ำเสมอ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นแสงสว่างให้กับใครสักคน สังคมสักแห่ง หรือแม้กระทั่งโลกสักใบ"


    .

    .

    .


    ม้าเหล็กเทียบชานชาลา พร้อมการจากลาของสองวิถีชีวิตอันแตกต่างกัน ที่ไม่ต่างคงมีเพียงต่างฝ่ายต่างยังคงเดินทางต่อไปในเส้นทางของตัวเอง เส้นทางที่ไม่มีฝ่ายใดตัดสินมันว่าถูกหรือผิด มีเพียงการเคารพในความแตกต่าง เคารพในความมีชีวิต แม้ว่ามนุษย์ยนต์จะมีชีวิตเทียมก็ตาม


    สรุปแล้วผิดถูกเกิดจากอะไร? เธอก็ยังไม่ได้ให้คำตอบกับเขา


    มันอาจเกิดจากบรรทัดฐานที่คน ๆ หนึ่งใช้วัดค่าในสิ่งที่แตกต่างจากตน หรือแค่ใช้ผิดถูกเป็นโล่เพื่อปกป้องตัวตนที่ไม่มีผู้คนยอมรับ เฉกเช่นเดียวกับการเอาชนะ บางครั้งเรามักจะถกเถียงแก่งแย่งกันเพื่อความถูกต้อง แต่ยิ่งเมื่อใช้เวลาไปกับการปกป้องความถูกต้องมากเท่าไหร่ สุดท้ายสิ่งที่ปกป้องอยู่อาจไม่ใช่ความถูกต้อง


    แต่เป็นเพียงอัตตาของตน


    ในคืนวันคริสต์มาส ใครบางคนจำแลงกายเป็นผู้แจกจ่ายของขวัญ เพื่อให้คนที่รักมีความสุข ได้รับรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และสิ่งดี ๆ ที่แต่ละคนคาดหวังในเรื่องที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับบริษัทของเธอที่มีพนักงานนับร้อยพันพร้อมใจกันทำหน้าที่นี้ในคืนวันศักดิ์สิทธิ์


    แต่การแจกของขวัญของเธอในปีนี้แตกต่างไปจากทุกปี เพราะมันมีสิ่งที่ของขวัญรูปธรรมไม่อาจมอบให้ได้ นั่นคือแบบสอบถาม ที่มนุษย์ยนต์คนนั้นได้คิดคำถามซึ่งเหมาะแก่การให้มนุษย์ทุกคนได้ลองถามตอบกับตัวเองดูในคืนแห่งการเฉลิมฉลองแบบนี้


    หลังจากที่เธอทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองเรียบร้อยทุกประการ เธอแหงนมองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรี รถไฟอวกาศทอดกายไปตามนภาสีรัตติกาล มันยังคงขนส่งผู้คนจากโลกไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น และจากที่อื่นแสนไกลโพ้นกลับมายังโลกใบนี้


    บางทีมองไปแล้ว มันก็คลับคล้ายคลับคลากับรถลากของซานต้าอยู่นะ ต่างแค่เพียงมันไม่ได้ยาวแบบนั้น และไม่มีล้อ ที่สำคัญไม่มีสิ่งมีชีวิตลากยานพาหนะดังกล่าว แต่ถามจริง ใครเป็นคนกำหนดนะว่ารถของซานต้าต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป?


    เธอแน่ใจได้ว่า ต่อให้มันไม่ใช่รถลากเลื่อนของบุคคลที่หลายคนรอคอย แต่บนรถไฟแห่งนั้นก็มีของขวัญแสนล้ำค่าคอยดูแลผู้โดยสารอยู่ ดูแลเอาใจใส่โดยไม่ได้ใส่ใจว่าจำเป็นต้องเป็นวันพิเศษหรือไม่ พวกเขาเพียงทำหน้าที่เช่นทุก ๆ วัน ทำสิ่งที่ควรทำ และเลือกรับฟังในยามที่มีโอกาส


    "ขอบคุณนะคะ ..."


    เธอเอ่ยคำขอบคุณ พร้อมชื่อของตัวเอง


    'เรียกผมด้วยชื่อของคุณก็ได้ครับ'


    นัยยะของถ้อยคำนี้ อาจแค่ต้องการสื่อให้เธอได้ขอบคุณตัวเองสักครั้ง แม้เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเรียกอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เอื้อนเอ่ยออกไปก็เป็นชื่อของตัวเธอเอง


    บางครั้งเราอาจขอบคุณผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ แต่หลงลืมไปว่า สิ่งดี ๆ ต่าง ๆ ล้วนไม่อาจเกิดขึ้นกับตัวได้ หากคุณไม่ได้เป็นคนนำพาตัวเองให้ไปอยู่ในจุด ๆ นั้น สถานการณ์นั้น ๆ หรือการได้เปิดใจรู้จักกับใครสักคนจนได้มิตรภาพและความรักดี ๆ


    ดังนั้นเวลาที่ขอบคุณสิ่งใด ลองขอบคุณตัวเองดูบ้าง ถ้าไม่รู้จริง ๆ ว่าจะขอบคุณสิ่งใดในตัวเอง ก็แค่ขอบคุณที่คุณอยู่ตรงนี้ เพราะการที่คุณคงอยู่ นั่นเป็นการทำให้ผู้อื่นได้มอบสิ่งดี ๆ ให้กับคุณ คุณทำให้ผู้อื่นได้มีโอกาสสวมบทบาทเป็น 'ผู้ให้' นั่นน่ะ เป็นสิ่งที่มีความหมายมากเลยนะ รู้ตัวไหม


    ขอบคุณนะคะ คุณนั่นล่ะ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in