เดอะลาสต์เลกเชอร์ เป็นปาฐกถาครั้งสุดท้ายของ ศ.แรนดี เพาช์ ที่บอกว่าครั้งสุดท้ายนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขากำลังจะเกษียณไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข แต่เป็นเพราะเขากำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่ยังอายุไม่ถึงห้าสิบด้วยซ้ำ ไหนจะลูก ๆ ทั้งสามคนก็ยังโตไม่ถึงสิบขวบ เป็นเรื่องราวที่ฟังเผิน ๆ เหมือนจะเต็มไปด้วยอารมณ์หดหู่เศร้าสร้อย แต่เมื่ออ่านแล้วกลับมีความหวังและเบิกบานที่จะละเลียดทุกวินาทีที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างมีสติ พร้อมตระหนักรู้ถึงคุณค่าของเวลาและการใช้ชีวิต
เลกเชอร์ของ ศ.แรนดี ได้กลายเป็นเลกเชอร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับล้าน และหนึ่งในนั้นก็คือเรา
นี่เป็นเพียงตัวอย่างไม่กี่อย่างจากเนื้อหาเท่านั้น
ศ.แรนดียังพูดเกี่ยวกับความฝันที่ยิ่งใหญ่ (เช่น ความฝันในวัยเด็กที่เคยอยากทำงานกับดิสนีย์แลนด์ จนต้องขออธิบการบดีพักร้อนระหว่างการทำงานสอนที่มหาวิทยาลัย) การใช้ชีวิตที่มีความสุขและขับเคลื่อนด้วยจินตนาการ รวมไปถึงเรื่องสนุก ๆ ที่อ่านแล้วจนต้องหลุดเสียงหัวเราะออกมา อย่างเช่น เทพนิยายไม่ได้จบดีไปทุกเรื่อง ที่เป็นการเล่าเรื่องราวตอนฮันนีมูนของศ.แรนดีและภรรยาว่าต้องเสี่ยงตายแค่ไหน
ความรู้สึกระหว่างการอ่านนับว่าเป็นความปั่นป่วนทางอารมณ์ในจิตใจมากพอสมควร ช่วงหนึ่งอาจจะยิ้มและหัวเราะกับเรื่องราวตลก ๆ ช่วงหนึ่งอาจจะอบอุ่นซาบซึ้งในหัวใจ หรืออีกช่วงหนึ่งอาจจะต้องเจ็บปวดและโศกเศร้าจนต้องหลั่งน้ำตา พร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ในหัวว่า "ถ้าเป็นเราล่ะ... เราจะทำได้แบบเขาไหม"
เหตุผลทั้งหมดในการปาฐกถาของ ศ.แรนดี มีไว้เพื่อลูก ๆ ที่อายุไม่ถึงสิบขวบซึ่งยังเด็กมาก และเพื่อที่ลูก ๆ ของเขาจะได้รู้ว่าพ่อนั้นรักพวกเขามากแค่ไหน ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากเขาต้องจัดการทุกอย่างให้ดีที่สุดท่ามกลางร่างกายที่อ่อนแอลงทุกวันด้วยโรคมะเร็งร้าย
ศ.แรนดี คือ สิงโตบาดเจ็บ ที่ยังอยากคำราม
เพราะเขาไม่ใช่นักดนตรี จึงไม่สามารถประพันธ์บทเพลงเพื่อให้ลูก ๆ ได้จดจำตัวเองได้ ไม่ใช่จิตกรจึงไม่อาจสร้างสรรค์ภาพวาดที่ถ่ายทอดความทรงจำความรู้สึกที่มีออกไป แต่เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะปาฐกถาฝากไว้
เขาบอกกับภรรยาว่า
"ผมบอกคุณได้เลยว่า เมื่อลูกของเราโตขึ้นเขาจะต้องผ่านช่วงชีวิตที่เจ็บปวด ซึ่งเขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่า พ่อของฉันคือใคร พ่อของฉันเป็นคนแบบไหน และการปาฐกถาครั้งนี้อาจช่วยตอบคำถามเหล่านั้นให้ลูก ๆ ได้"
นั่นจึงกลายเป็นที่มาของเลกเชอร์คร้ั้งสุดท้าย
.
.
"The Last Lecture"
END.
#mairumaichie
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in