เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
BUTTERFLY EFFECTyel.s.low
butterfly effect





  • หลังจากวันนั้น ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วที่ผมไม่ได้เจอคุณวินด์เลย เกือบจะคิดว่าเขาหายไปอีกแล้วถ้าเมื่อเช้าไม่บังเอิญสวนกันหน้าลิฟท์ตอนผมจะไปทำงาน คุณวินด์เหมือนจะลืมของอะไรสักอย่างเลยกลับมาเอา แต่อีกฝ่ายดูรีบๆเลยได้ทักกันไม่กี่คำ

    เฮ้อ.. คิดถึงอ่ะ

    ช่วงนี้งานผมยุ่งมากเลยไม่ได้ไปก่อกวนเขา เวลานอนยังแทบไม่มี วันนี้เคลียร์งานเสร็จก็แทบทิ้งทุกอย่างพุ่งตัวกลับมานอนที่ห้องแต่ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะดันมีเจ้ากรรมนายเวรเกาะติดมาด้วย 

    เต้อ้างว่าจะมาเลี้ยงฉลองให้ผมที่อุตส่าห์ทำงานหนัก แต่จริงๆมันแค่อยากมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องผมกับคนข้างห้องมากกว่า เสียใจด้วยนะ ไม่มีอะไรให้มึงเสือกหรอก เพราะกูก็ไม่ได้เจอเขามานานแล้วเหมือนกัน อีกอย่างเดี๋ยวพวกพี่ที่บริษัทก็จะพากันไปเลี้ยงอยู่แล้ว ไอ้นี่ตอแหลไม่เนียน


    "ทำอะไร"


    "หาหลักฐาน"


    "มึงเป็นโคนันหรือไง"


    "กูเป็นโมริ โคโกโร่"


    "งั้นมึงคงไขคดีนี้ไม่ได้แล้วล่ะ"


    "กูก็ว่างั้น"


    ไอ้เต้พยักหน้ารับแกนๆแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจไปซะอย่างนั้น


    "นี่คือมึงเชื่อแล้วว่าห้องกูไม่มีอะไรให้มึงเสือก?"


    "เปล่า กูแค่ไม่อยากทำลายสถิติโคโกโร่นิทรา"


    "..."


    "เขาไม่เคยไขคดีได้ด้วยตัวเอง"


    "ทำไมกูถึงยังคบคนอย่างมึงเป็นเพื่อนวะ"


    "เพราะมึงก็ไม่มีใครคบไง"


    "เออ ไม่ต้องแดกละ กลับบ้านมึงไปเลยปะ"


    "แหม ขอโทษครับพี่"


    ถอนหายใจใส่มันหนึ่งทีก่อนทิ้งตัวลงนั่งหน้าโซฟา มือหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อย เต้เดินไปหยิบแก้วกับมิกเซอร์ แกะกับแกล้มที่แวะซื้อหน้าคอนโดฯใส่จาน ยกมาบริการให้ถึงที่เพราะกลัวผมจะไล่กลับห้องเข้าจริงๆ

    พอได้ที่มันก็ชวนคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ส่วนมากหนีไม่พ้นเรื่องงาน มันกับผมทำงานแผนกเดียวกันแต่บางครั้งก็ได้รับงานไม่เหมือนกันบ้าง เพราะบริษัททำทั้งนิตยสารรายเดือนและตีพิมพ์พวกหนังสือวรรณกรรมเยาวชนด้วย ถึงฝ่ายอื่นจะแยกงานของสองส่วนอย่างชัดเจน แต่ทีมอาร์ตมีแค่ทีมเดียวเลยต้องทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน 

    ทีมงานนิตยสารที่นี่เป็นพวกชอบปาร์ตี้ ทุกเดือนหลังปิดต้นฉบับเรียบร้อยก็ต้องนัดกันไปเลี้ยงฉลอง ส่วนฝ่ายอาร์ตคือไปยกทีม ถึงเดือนนั้นบางคนจะไม่ได้ช่วยงานนิตยสารก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่าทำงานร่วมกันหมดอยู่แล้ว 

    อย่างคราวนี้ที่ไอเต้ติดวาดปกให้วรรณกรรมแปลเรื่องใหม่สองสามเล่มที่จะตีพิมพ์ต้นเดือนหน้า ฝั่งนิตยสารเลยมีผมกับรุ่นพี่คนอื่นช่วยกันทำแทน แต่ปลายเดือนที่พวกพี่เขานัดฉลองกัน มันก็ติดสอยห้อยตามไปด้วยอยู่ดี

    รุ่นพี่คนอื่นในทีมทำงานกันมาตั้งแต่บริษัทเปิดตัวที่ไทยใหม่ๆจึงค่อนข้างสนิทกัน หัวหน้าผมที่ชื่อพี่โก้ก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นลูกทีมอยู่บริษัทแม่ แต่ถูกขอให้มาช่วยดูแลสาขาใหม่ให้ จะได้ควบคุมคุณภาพและสไตล์งานให้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ฉีกแนวจากเดิมจนเกินไปนัก แต่ก็ต้องปรับให้เข้ากับความเป็นนิตยสารไทยด้วย 

    ส่วนคนอื่นๆก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักกันดีในแวดวงนักวาด มีผมกับเต้ที่เป็นรุ่นน้องจากคณะเดียวกันกับพี่โก้ ถึงจะบอกว่าเป็นรุ่นน้อง แต่ตอนที่พวกผมเข้าปีหนึ่งพี่มันก็เรียนจบพอดี 

    ได้รู้จักกันจริงๆตอนที่พี่โก้กลับมางานรับปริญญา ไอ้เต้บอกว่าพี่เขาเป็นไอดอล มันเลยเข้าไปขอถ่ายรูปหลังจากนั้นก็คุยกันยาว ส่วนผมยืนเงียบ ทำหน้าตาย ถามคำตอบคำเพราะไม่ชอบคุยกับคนไม่สนิท แต่พี่มันดันหัวเราะชอบใจบอกว่าท่าทางผมกวนตีนดี 

    พอเริ่มปลงกับความประหลาดของพี่โก้ได้ก็เห็นว่าเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง ตอนพี่มันชวนเข้าทำงานที่นี่ถึงตกลงรับทันที 

    พี่โก้ชอบผลงานผมกับไอ้เต้ตั้งแต่สมัยเรียน เคยมาทาบทามไว้ตอนยังทำงานอยู่อเมริกาด้วยซ้ำ

    ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ตกลงรับคือขี้เกียจหางาน จะมีเด็กจบใหม่สักกี่คนที่ได้งานทำตั้งแต่เรียนจบ แถมยังเป็นบริษัทชื่อดัง รายได้ก็ดีอีกต่างหาก


    "ไอ้ปัชญ์ มึงได้ข่าวเรื่องหัวหน้าช่างภาพคนใหม่แล้วยัง"


    "ที่ว่าย้ายมาเดือนก่อนใช่มั้ย"


    "เออ เห็นว่าจะมาอยู่ที่นี่ถาวรเลย ให้คุณปีเตอร์กลับไปทำงานที่นู่นเหมือนเดิม"


    คุณปีเตอร์ที่ว่าคือหัวหน้าช่างภาพคนก่อน เป็นคนอเมริกันแท้ เห็นว่าตอนมาแรกๆไม่ค่อยคุ้นเคยกับวัฒนธรรมที่นี่ ใช้เวลาปรับตัวกันอยู่นาน แต่ตอนผมเข้ามาคุณปีเตอร์เขาพูดภาษาไทยได้แล้ว โดยเฉพาะคำสบถนี่คล่องปร๋อ แถมยังชอบเดินไปซื้อส้มตำข้างออฟฟิศมากินตอนพักเที่ยงอีกต่างหาก


    "แต่รู้สึกว่าเขาจะถนัดถ่ายพวกทิวทัศน์ไม่ใช่หรอวะ"


    "ได้ยินพี่โก้บอกอยู่เหมือนกัน รู้สึกว่าคุณเขาจะให้พี่คณินถ่ายพวกคอลัมน์แฟชั่นเหมือนเดิม ส่วนเขาจะมาดูภาพรวมให้ แล้วก็ช่วยทำตรงส่วนคอลัมน์ท่องเที่ยวเพิ่ม"


    "อ่า ตอนนี้คอลัมน์ท่องเที่ยวมีช่างภาพอยู่คนเดียวนี่นะ"


    "เออ แล้วก็นะ กูได้ยินสาวๆเม้าท์กันว่าเขาหล่อมากกก"


    "หึ กูก็ไม่เคยเห็นสาวๆที่นี่บอกว่าใครไม่หล่อ คราวก่อนเจอเด็กเข้ามาสัมภาษณ์ฝึกงานยังชมว่าน่ารักกันเป็นวันๆ"


    "นั่นก็จริง ฮ่าๆๆๆ"


    ผมยกยิ้มขำๆเมื่อนึกถึงสุภาพสตรีทั้งหลายในแผนก นี่ถ้าพวกเธอรู้ว่าโดนเอามาเป็นหัวข้อนินทาคงโวยวายกันน่าดู 

    หลังจากดื่มไปค่อนคืน ไอ้เต้ก็เริ่มเลื้อยลงไปกองกับพื้น พล่ามเรื่องน้องจิ๊บน้องแจงน้องส้มอะไรของมันไปเรื่อย ผมปรายตามองเหยียดๆก่อนตัดสินใจลุกไปยืดเส้นยืดสายที่ระเบียง

    ปากคาบบุหรี่ที่ถือติดมือมาด้วย จ่อไฟให้ปลายมวนนิโคตินเริ่มเผาไหม้ช้าๆ ลมเอื่อยๆที่พัดมากระทบผิวกายทำให้รู้สึกดีจนต้องหลับตา ปล่อยควันพิษออกจากปาก ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ

    แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดประกอบกับบรรยากาศตอนเที่ยงคืนเศษ ท้องฟ้ามืดสนิท แสงไฟเล็กๆจากเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล เพียงพอจะทำให้ความคิดฟุ้งซ่านก่อกวนขึ้นในหัว

    ผมยืนพิงราวระเบียง ปล่อยให้สายลมพัดจนเส้นผมปรกหน้าโดยไม่คิดทำอะไร สองนิ้วคีบบุหรี่ไว้หลวมๆ ใช้นิ้มโป้งเคาะก้นกรองสองสามทีให้เถ้าบุหรี่หล่นลงบนที่เขี่ย หันหน้าไปทางห้องข้างๆพลางคิดว่าป่านนี้เจ้าของห้องจะนอนแล้วยัง

    ถ้าลองไปเคาะประตูตอนนี้จะโดนว่ามั้ยนะ..

    อันที่จริง คิดไปแล้วตอนนี้ก็เหมือนกับฝัน ผมใช้เวลาอยู่กับความคิดถึงมาห้าปี ห้าปีที่เขาหายไปและผมไม่เคยรู้ว่าต้องไปตามหาเขาจากที่ไหน ไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใคร และไม่เคยลืม.. ว่าเขาทำอะไรไว้กับความรู้สึกของผม

    เวลาผ่านไปนานจนคิดว่ามันคงเป็นแค่ความฝังใจ แต่ตอนที่อีกคนกลับมาอยู่ตรงหน้า หัวใจผมก็ซื่อตรงเสียจนน่าตกใจ 

    มันเต้นในจังหวะเดิม 

    เต้นให้กับคนๆเดิม

    เต้นในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้

    จนถึงตอนนี้ผมคิดว่าต่อให้เขาหายไปอีกสักสิบปี ยังไงความรู้สึกของผมคงไม่เปลี่ยน แต่ก็ไม่ได้อยากรอนานขนาดนั้น เสียเวลากับความคิดถึงมาเกินพอแล้ว คงต้องพยายามให้มากกว่านี้  ถ้าไม่อยากพลาดอีก

    สะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ประตูระเบียงห้องข้างๆเปิดออก ตาสีฟ้ามองสบกันก่อนจะของดวงตาจะเลิกคิ้วเล็กน้อย ผมยกยิ้มตอบกลับไป

    โชคดีจริงๆที่ไม่กลับเข้าห้องเสียก่อน


    "ยังไม่นอนอีกหรอครับ"


    "นอนแล้ว"


    "อ้าว นี่วินด์มีพี่น้องฝาแฝดด้วยหรอ ไม่เห็นเคยบอกกันเลย"


    "กวน"


    "คุณเริ่มก่อน" ผมแย้ง อีกฝ่ายยกมือยอมแพ้ก่อนเปลี่ยนเรื่อง


    "เพิ่งรู้ว่าคุณสูบบุหรี่ด้วย"


    "เวลาดื่มน่ะครับ"


    "แสดงว่าดื่มมา?"


    "ครับ ในห้องนี่แหละ เต้ซื้อของมา"


    "อืม"


    ไม่มีใครพูดอะไรอีก เรามองหน้ากันในความเงียบ ควันจากปลายมวนบุหรี่ลอยไปตามสายลมโดยที่ผมไม่ได้ยกมันขึ้นมาสูบอีก

    ก็นะ การยืนมองหน้าอีกคนนิ่งๆอย่างนี้สุนทรีย์กว่าสูดควันพิษให้มันเข้าไปทำลายปอดเยอะ

    ผมตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่คิด หลังสบกับดวงตาสีฟ้าคู่นั้นอยู่นาน


    ".. วินด์" 


    "ครับ"


    "สีตาคุณ เหมือนสีของมหาสมุทรเลยนะ"


    "..."


    "เคยมีคนจมลงไปในนั้นบ้างหรือเปล่า"


    มองลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่าย 

    เคยมีคนจมลงไปในนั้นบ้างไหม 

    จมลงไปแบบผม 

    รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกทุกครั้งที่ได้สบตา เหมือนถูกดึงลงไปในมหาสมุทรลึกไร้ก้น และถึงแม้จะว่ายน้ำเป็นผมก็ไม่คิดจะตะเกียกตะกายขึ้นมา ยินยอมให้ลมหายใจถูกพรากไปด้วยความเต็มใจ

    คนถูกถามมองหน้ากันนิ่ง สุดท้ายก็ยอมพูดอะไรออกมา


    "เมาหรอ"


    "หึ ผมไม่ได้ดื่มไปเยอะขนาดนั้น" หัวเราะในลำคอขำๆกับท่าทีเฉไฉของอีกฝ่าย


    หมุนตัวกลับมามองวิวอีกครั้ง อัดนิโคตินที่ยังเหลืออยู่ครึ่งมวนเข้าปอด พ่นควันสีเทาลอยปกคลุม บดบังทัศนวิสัย ก่อนมันจะค่อยๆสลายไปเมื่อลมพัดมา


    "คุณรู้จัก butterfly effect ไหม"


    "ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก?"


    "ครับ การขยับปีกเพียงแผ่วเบาของผีเสื้อแค่ครั้งเดียวก็อาจทำให้เกิดพายุได้"


    "..."


    "คุณคิดว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า.."


    "..."


    "การกระทำที่เล็กน้อยที่สุดของใครคนหนึ่ง แต่ส่งผลกระทบต่อคนอีกคนอย่างมหาศาล"


    "..."


    "คุณวินด์ว่า.. รอยยิ้มสามารถเปลี่ยนโลกได้มั้ยครับ"


    "... นั่นสินะ" 


    อีกคนพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน พร้อมกระตุกรอยยิ้มที่มุมปาก


    "..."


    "แล้วคุณล่ะคิดว่าไง"


    ผมมองหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบอะไร 

    เพียงแค่ส่งยิ้มกว้างกลับไปแทน 

    คิดว่าเขาคงรู้คำตอบของผมอยู่แล้ว

    ขยี้บุหรี่ที่ใกล้หมดมวนลงกับที่เขี่ยหลังจากสูบไปได้ไม่กี่ครั้งก่อนหันมาเผชิญหน้ากับอีกคน


    "คุณวินด์อยากกินข้าวต้มหมูหรือข้าวต้มกุ้งครับ"


    "อยากกินข้าวต้มปลา"


    "งั้นเป็นข้าวต้มหมูแล้วกันนะครับง่ายดี"


    คุณวินด์หัวเราะในลำคอเบาๆหลังผมพูดจบก่อนเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม


    "ไม่ใช่ว่าเชฟต้องทำอาหารตามใจคนกินหรอ" 


    "พอดีผมไม่ใช่เชฟครับ และวัตถุดิบก็มีแค่นี้ คงต้องขออนุญาตตามใจคนทำแทนนะครับ"


    "งั้นผมจะช่วยรับไว้แล้วกัน" อีกคนยักไหล่ ตอบกลับพร้อมดวงตาเป็นประกายอย่างขบขัน


    ผมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจเล็กน้อย ทำไมนับวันถึงยิ่งกวนขึ้นเรื่อยๆอย่างนี้นะ มันผิดพลาดอะไรตรงไหนหรือเปล่า ตอนแรกคิดว่าจะเป็นคนนิ่งๆเสียอีก


    "ผมจะไปนอนแล้ว"


    "อืม" รับคำพร้อมรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า


    "อย่าทำงานจนดึกนะครับ"


    "ไม่หรอก ผมก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน"


    "งั้น.. ฝันดีครับ"


    "อืม พรุ่งนี้เจอกัน"


    "ครับ พรุ่งนี้เจอกัน" 


    ตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมชอบคำนี้จริงๆเลย..



    กลับเข้ามาในห้องก็พบกับซากศพหนึ่งรายนอนอยู่หน้าโซฟา ลืมไปแล้วนะเนี่ยว่ามันยังอยู่...

    ผมลากไอ้ตัวภาระขึ้นมานอนบนโซฟา หาผ้าห่มมาคลุมให้ลวกๆกันมันหนาวตายอยู่ในห้อง เก็บซากอารยธรรมบนโต๊ะไปล้างก่อนกลับมาตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง เห็นหน้าคนที่นอนอยู่แล้วหมั่นไส้เลยจัดการตบหัวไปหนึ่งที

    อุ้มไทเกอร์ที่นอนขดอยู่ข้างโซฟาไปยัดใส่ที่นอน ไม่รู้แมวปกติกวนตีนแบบนี้ทุกตัวหรือเปล่า แต่ไอ้อ้วนนี่คือซื้อที่นอนให้ก็ไม่ยอมนอนเอาแต่มุดเข้าถุงเข้ากล่อง ที่ลับเล็บมีก็ไม่เคยใช้ ข่วนโซฟาผมจนถลอกปอกเปิกไปหมด

    กวนเหมือนเจ้าของมันไม่มีผิด

    ความหงุดหงิดค่อยๆคลายลงเมื่อนึกถึงเจ้าของดวงตาสีฟ้าเป็นประกายกับรอยยิ้มที่แต้มมุมปาก

    อืม 

    แบบนี้ก็ดีแล้ว

    ถึงจะกวนไปหน่อย 

    แต่ถ้าเป็นสีฟ้าที่สดใสได้แบบนี้ก็ดีแล้ว 






                                                                      #####







    ตอนที่ผมมาเคาะประตูห้อง คุณวินด์ยังไม่ตื่น 

    เขาเดินตาปรือหัวฟูมาเปิดประตู ถามอะไรไปก็เอาแต่หันมาทำหน้าอึนใส่ ตอนนี้ก็ยังนั่งทำหน้างัวเงียอยู่หน้าถ้วยข้าวต้ม จนผมกินของตัวเองหมดไปแล้วแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะตักเข้าปากสักคำ

    เก้าโมงมันก็ไม่ได้เช้าขนาดนั้นนะ


    "ผมบอกแล้วว่าให้คุณไปนอนต่อ ข้าวต้มนี่ค่อนตื่นมาอุ่นใหม่ก็ได้"


    ผมถอนหายใจ พูดพร้อมส่งยิ้มขำไปให้คนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังเปิดตาได้แค่ครึ่งเดียว


    "ตกลงเมื่อคืนกลับมาทำงานต่อหรอครับ ถึงได้ดูง่วงขนาดนี้"


    "อืม มีงานด่วนเข้ามา"


    "งั้นคุณวินด์ไปนอนต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมยกข้าวต้มไปเก็บให้"


    อีกคนพยักหน้าหงึกหงัก ยอมแพ้ให้กับความง่วงของตัวเองในที่สุด 

    ผมจัดการเก็บข้าวต้มเข้าตู้เย็นให้เรียบร้อย ออกมาอีกทีก็เห็นคนตัวสูงทิ้งตัวนอนอยู่ที่โซฟาตัวยาว ผมเดินไปนั่งบนพื้นตรงหน้าอีกฝ่าย มองใบหน้าตอนหลับสนิทของเขาอยู่นานก่อนยกมือลูบผมสีดำสนิทของอีกคนเบาๆ

    คนที่คิดว่าหลับไปแล้วลืมตาขึ้นมามองกันนิ่งๆ ผมยกยิ้มส่งกลับไปให้


    "ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องล่ะครับ"


    อีกคนไม่ตอบ เพียงแค่หลับตาปล่อยให้ผมลูบหัวต่อโดยไม่ว่าอะไร แต่ผ่านไปสักพักก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง


    "ขึ้นมานั่งข้างบน"


    ผมทำหน้างงส่งไปให้ แต่ก็ยอมลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาตามแรงดึงที่แขน


    "หืม อะไรครับเนี่ย"


    พูดพร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆตอนอีกคนทิ้งตัวลงมานอนบนตัก คนที่ถือวิสาสะใช้ตักคนอื่นแทนหมอนไม่ตอบอะไร หมุนตัวซุกเข้ากับหน้าท้องผมก่อนดวงตาจะปิดสนิทลงอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ โดยมีมือของผมทำหน้าที่ลูบหัวอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

    นั่งมองหน้าคนบนตักเล่นอย่างไม่มีอะไรทำ คิดจะเปิดโทรทัศน์เพื่อไม่ให้ห้องเงียบเกินไปแต่ก็กลัวจะทำให้อีกคนตื่นเลยเปลี่ยนมานั่งเล่นโทรศัพท์แทน 

    ผ่านไปนานจนขาเริ่มชาถึงได้หันมองนาฬิกา เกือบเที่ยงแล้ว 

    ผมก้มมองคนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นนิ่งๆ

    หลับสบายเกินไปหน่อยหรือเปล่า..

    ขยี้ผมคนบนตักอย่างมันเขี้ยว คนขี้เซาขยับพลิกตัว คิ้วเข้มขมวดมุ่น ดวงตาสีฟ้ามองผมอย่างหงุดหงิดที่ถูกรบกวนการนอน


    "ลุกได้แล้ว อีกนิดเหน็บจะกินขึ้นไปถึงคอผมแล้ว"


    อีกคนทำเหมือนไม่ได้ยินที่คำบ่น พลิกตัวเอาหัวซุกเข้าที่ท้องผมเหมือนเดิม

    ผมใช้สองมือจับใบหน้าเขาไว้ให้หันกลับมาหากัน


    "ตื่นครับ เที่ยงแล้ว ข้าวเช้าคุณก็ยังไม่ได้ทาน ห้ามอดอีกมื้อนะครับ"


    คนเพิ่งตื่นลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ยังทำหน้ามู่อยู่เหมือนเดิม


    "ไปไหน"


    คุณวินด์ถามขึ้นเมื่อเห็นผมลุกจากโซฟา ผมถอนหายใจ หันไปดึงแก้มคนที่ยังไม่ยอมคลายหน้าบูดบึ้งออกจนยืด เพิ่งรู้ว่าเวลาตื่นจะงอแงขนาดนี้


    "ไปทำข้าวเที่ยงครับ ตู้เย็นคุณไม่มีอะไรให้ผมทำ"


    "เดี๋ยวไปช่วย"


    "ทำเป็น?"


    "ไม่"


    "งั้นนั่งรอกินไปเถอะครับ"


    "อาบน้ำก่อน เดี๋ยวไปช่วย เปิดประตูให้ด้วย"


    พูดจบก็เดินเข้าห้องไม่รอให้ผมได้ปฏิเสธอะไรอีก ส่ายหน้าให้คนที่อารมณ์สวิงยิ่งกว่าผู้หญิงตอนประจำเดือนมาก่อนเดินกลับห้อง

    ผมทำอาหารสิ้นคิดอย่างกะเพรากับไข่ดาวเพราะวัตถุดิบในตู้เหลืออยู่ไม่กี่อย่าง จัดการยกอาหารมาวางบนโต๊ะเรียบร้อย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพอดี


    "ทำไมไม่รอ" หันมาโวยวายเมื่อเห็นว่าอาหารพร้อมแล้ว


    "คุณช้าเอง"


    "..."


    "ทานเถอะครับ"


    "..."


    คุณวินด์ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามผมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ตกลงเขาเป็นวันนั้นของเดือนจริงๆใช่ไหม


    "ยิ้มให้ผมหน่อย" พูดขึ้นเมื่อเห็นอีกคนไม่ยอมคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ออกสักที


    "..."


    "ผมไม่อยากให้มันเลยมื้อเที่ยงไปมากกว่านี้ เมื่อเช้าคุณก็ยังไม่ได้ทานอะไร ถ้าอยากช่วยทำไว้ครั้งหน้าค่อยมาช่วยโอเคไหมครับ"


    คนตรงหน้าเบ้ปากให้ก่อนก้มหน้าก้มตากินข้าว แต่มุมปากที่กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วก็ไม่รอดพ้นสายตาผมหรอก

    เด็กจริงๆ

    ส่ายหน้าหน่ายก่อนตักข้าวเข้าปากตัวเองบ้าง


    .
    .
    .


    "ดูหนังกันไหมครับ"


    หันไปถามคุณวินด์ที่เทอาหารให้ไทเกอร์อยู่ตรงอาณาจักรของมัน พอกินเสร็จผมก็พาร่างตัวเองมานอนแผ่อยู่บนโซฟา ลืมไปซะสนิทว่ายังไม่ได้ให้อาหารไอ้อ้วนจนมันกระโดดขึ้นมานั่งทำตาขวางอยู่บนท้องถึงนึกออก 

    แต่เพราะขี้เกียจเกินกว่าจะขยับตัวไปไหน สุดท้ายคุณวินด์เลยอาสาเอาอาหารให้ไทเกอร์เองก่อนที่มันจะงับหัวผม


    "จะออกไปข้างนอก?"


    "เปล่าครับ ดูที่ห้องนี่แหละ แต่เครื่องเล่นอยู่ในห้องนอนผมนะ" หัวเราะในลำคอพร้อมยักคิ้วให้อีกฝ่าย


    "ชวนผู้ชายเข้าห้องเหรอ"


    "สนใจไหมล่ะครับ"


    "มีอะไรน่าสนบ้างล่ะ" อีกฝ่ายยกยิ้มยียวนส่งกลับมา


    "แค่ผมคนเดียวก็น่าจะพอแล้วนะครับ คุณยังอยากได้อะไรอีกหรอ"


    "ถ้ามีแค่คุณผมไม่ถือว่าน่าสนใจหรอกนะ"


    "โอเค ผมมีหนังเป็นร้อยเรื่องให้คุณเลือก ดูกับผมหน่อยเถอะ"


    รีบพูดขัดขึ้นมาเมื่อคุณวินด์ทำท่าจะหันหลังเดินไปทางประตู


    "หึ ไหนล่ะหนังของคุณ"


    "เชิญทางนี้เลยครับท่าน"


    ผายมือไปทางประตูห้องนอน ปากขมุบขมิบด่าคนขี้แกล้งที่เดินตามหลังมาด้วย

    ผมเปิดประตูก่อนหันไปหาคุณวินด์ เห็นอีกคนกำลังมองไปยังมุมหนึ่งของห้องอย่างสนใจ 

    ภายในห้องตกแต่งด้วยสีน้ำเงินและสีน้ำตาล ผนังฝั่งหนึ่งเป็นกระจกมีผ้าม่านติดอยู่สองข้าง ประตูเปิดออกไปเป็นระเบียงกว้าง กลางห้องตั้งเตียงขนาดคิงไซส์ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาว ปลายเตียงเป็นเครื่องฉายและตู้เก็บแผ่นหนังที่กำลังจะให้คุณวินด์เลือก

    ส่วนมุมที่อีกคนกำลังสนใจอยู่คือพื้นที่ติดกระจกระเบียง อุปกรณ์วาดรูปทั้งชีวิตของผมกองรวมอยู่ตรงนั้น โต๊ะทำงาน ขาตั้งวาดรูป เฟรมผ้าใบ กระดานรองวาด ดินสออีอี พู่กัน จานสี สีน้ำ สีน้ำมัน หมึกจีน เกรยอง และอีกสารพัดอย่างที่สามารถใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้ อ่า รกเหมือนกันแฮะ


    "คุณชอบวาดรูปมากเลยหรอ"


    "อันที่จริงเมื่อก่อนผมวาดเป็นงานอดิเรก"


    "หืม?"


    "แต่ผมได้เจอกับคนๆนึง เพราะอยากจะวาดรูปเขาให้ดี อยากเก็บทุกรายละเอียดของเขาให้ครบถ้วนที่สุด เลยตั้งใจเอามากๆ รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าจริงจังกับทุกอย่างที่ได้วาดไปซะแล้ว"


    "..."


    "เขาทำให้ผมผ่านอะไรหลายๆอย่างมาได้ ทุกครั้งที่วาดรูปผมมีความสุข แต่การมาทำมันอย่างจริงจังไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนเรียนผมก็นึกท้อตั้งหลายครั้ง"


    "..."


    "ผมวาดภาพเขาทุกครั้งที่เหนื่อยหรือรู้สึกแย่ มันทำให้นึกถึงตอนที่ตัวเองวาดรูปอย่างมีความสุข อีกอย่างก็เพราะได้ไอ้เต้ช่วยลากช่วยขุดเวลาทำตัวห่อเหี่ยวหมดแรงบันดาลใจด้วย สุดท้ายก็เลยผ่านมาได้"


    ผมหัวเราะขำๆเมื่อนึกถึงตอนนั้น นอกจากจะมีคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกเป็นกำลังใจก็ได้ไอ้เต้นี่แหละที่คอยตบกะบาลเวลาผมทำตัวงอแง กว่าจะจบมาได้เกือบฆ่ากันตาย


    "ตอนนี้คุณก็ยังวาดรูปอยู่หรอ"


    "ครับ แต่ไม่ค่อยได้ใช้โซนนั้นหรอก งานของผมต้องวาดในคอม"


    "คุณทำพวกงานวาดภาพประกอบสินะ"


    "หืม คุณรู้ได้ไง"


    "ผมเคยได้ยินชื่อปัชญ์ ปัชญ์ฌากรมาบ้าง คิดว่าชื่อแปลกแบบนี้น่าจะมีอยู่ไม่กี่คน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคุณจริงๆ"


    "ว้าว แสดงว่าเป็นแฟนคลับผมหรือเปล่าครับเนี่ย"


    "แค่เคยได้ยินชื่อ"


    "ผมไม่แจกลายเซนต์นะครับบอกไว้ก่อน"


    "ไหนล่ะหนังที่จะให้เลือก"


    "ฮ่าๆๆๆๆ"


    ผมหัวเราะเสียงดังลั่นเมื่ออีกคนเปลี่ยนเรื่องกันเสียดื้อๆ มือชี้ไปทางตู้เก็บแผ่นหนัง ไม่ได้ถึงร้อยเรื่องเหมือนที่โม้ไว้ แต่ก็ไม่เกินความจริงมากนัก


    "นี่เลยครับ เลือกได้เลย มีทุกเรื่องทุกแนวยกเว้นหนังโป๊เพราะปกติผมดูผ่านเว็บ"


    หัวเราะคิกคักเมื่อคนตัวสูงยื่นมือมาผลักหัว คุณวินด์นั่งเลือกอยู่นาน สุดท้ายก็ยื่นหนังแผ่นหนึ่งมาให้ หืม ไม่คิดว่าจะชอบแนวนี้นะเนี่ย


    "ผมเคยอ่านหนังสือเรื่องนี้ตอนยังเด็ก อยากรู้ว่าพอทำเป็นหนังแล้วจะออกมาเป็นยังไง" ตอบเหมือนรู้ว่าผมมีคำถามในใจ


    "แต่เรื่องนี้ก็ออกมานานแล้วนี่ครับ"


    "ปกติผมไม่ค่อยดูหนัง"


    "งั้นหลังจากนี้คุณคงได้ดูหนังเยอะมากๆเลยล่ะ"


    ฉีกยิ้มกว้างให้อีกคน หันกลับมาจัดการกับเครื่องฉายหนัง เสร็จเรียบร้อยก็ลากคนตัวสูงขึ้นมานั่งบนเตียง


    "ผมชอบซื้อแผ่นหนังเรื่องที่ดูแล้วมาเก็บไว้ ถึงเดี๋ยวนี้จะมีช่องทางสตรีมมิ่งเยอะแยะแต่ก็ไม่อยากให้อะไรเดิมๆพวกนี้หายไปเลย"


    "นั่นสิ แบบนี้มันดูคลาสสิคดี"


    "ใช่มั้ยล่ะครับ ว่าแต่ดูหนังแบบนี้มันควรมีอะไรกินเล่นด้วยหรือเปล่านะ"


    "ก็เพิ่งกินข้าวไปไม่ใช่หรือไง"


    "ไม่เหมือนกันสักหน่อย"


    "ตัวย้วยหมดแล้ว" พูดพร้อมยื่นมือมาบีบแขนผมเล่น


    "นี่ คุณวินด์-- !!"


    "หนังมาแล้ว" ตัดบทก่อนหันกลับไปตั้งใจดูหนังแทน 


    ผมมองอีกคนตาขวางแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ หันกลับมาสนใจภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าบ้าง หนังที่คุณวินด์เลือกเป็นแนวแฟนตาซี การผจญภัยของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในโลกที่มีแต่ความประหลาด สัตว์พูดได้ ผู้คนนิสัยแปลกๆ

    ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงหนังก็จบ ผมยืดตัวบิดขี้เกียจหันไปหาคนที่กำลังมองมาอยู่เหมือนกัน


    "เป็นไงบ้างครับ"


    "อืม คนละความรู้สึกกับตอนอ่านหนังสือ"


    "แล้วแบบไหนดีกว่า"


    "ก็ดีกันคนละแบบ"


    "อ้อ..." 


    ตอบรับในลำคอ มองหน้าอีกคนยิ้มๆก่อนเอ่ยถาม


    "คุณวินด์ว่าตลอดไปนี่มันนานแค่ไหน"


    ประโยคอมตะจากหนังที่เพิ่งดูจบไป


    "หืม?"


    "ว่าไงครับ"


    "หึ ไม่รู้สิ คงเหมือนที่กระต่ายตัวนั้นบอกล่ะมั้ง"


    "..."


    "ตลอดไปของบางคนก็แค่วินาทีเดียว"


    "อืมม ก็คงจะจริง.."


    "..."


    "แต่ว่านะ ถึงตลอดไปของบางคนจะมีความหมายแค่วินาทีเดียว"

     
    "..."


    "แต่คุณรู้ไหม ตลอดไปสำหรับผม มันคือทั้งชีวิต"


    คุณวินด์มองกลับมานิ่งๆ ดวงตาสีฟ้ายังเคลือบไปด้วยความเศร้าจางๆที่ผมไม่เคยเข้าใจ 

    สักพักเขาก็คลี่ยิ้มบางที่มุมปาก


    "มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่พูดหรอกนะ"


    "ผมรู้.. คุณไม่เชื่อหรอว่าผมจะทำให้มันเป็นแบบนั้นได้จริงๆ"


    อีกคนเพียงแค่ยื่นมือมาขยี้หัวกันแรงๆก่อนทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ไม่ยอมตอบอะไรอีก


    "ห้องคุณนี่ห้องสาธารณะหรือไง"


    "ใช่ที่ไหน นี่มันสิทธิพิเศษต่างหาก ขนาดไอ้เต้ยังไม่เคยได้เฉียดเข้ามาเลยนะ"


    "หืม งั้นผมควรดีใจใช่มั้ย"


    "แน่นอน จริงสิ เย็นนี้คุณว่างไหม"


    "มีอะไร"


    "ไปห้างกันไหมครับ ของในตู้เย็นผมหมดแล้ว"


    "เอาสิ"


    "ผมกะว่าจะซื้อของใช้ด้วย รู้สึกว่าสบู่กับแชมพูในห้องน้ำก็ใกล้หมดแล้วเหมือนกัน วินด์มีอะไรต้องซื้อไหม"


    "อืม รู้สึกว่ากาแฟจะเหลือแค่ก้นขวด ซื้อมาเลยก็ดีเหมือนกัน"


    ผมบิดขี้เกียจครางรับในลำคอพลางพลิกตัวนอนคว่ำมองหน้าคนพูด


    "น่าจะซื้ออาหารสำเร็จรูปมาตุนไว้บ้าง บางทีก็ขี้เกียจลงไปกินข้างล่าง"


    "ถ้าขี้เกียจก็มาเคาะประตูสิครับ ห้องผมเปิดต้อนรับตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง"


    "ห้องหรือเซเว่น"


    หัวเราะคิกคักให้คนที่ทำหน้าระอาใส่ ผมชวนคุณวินด์คุยนู่นคุยนี่ไปเรื่อยเปื่อย บางครั้งเขาก็เป็นฝ่ายถามกลับมาบ้าง เราปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปโดยไม่มีใครคิดจะขยับตัวลุกจากเตียง 

    จำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป คุณวินด์ตอบกลับมาแต่ผมจับใจความในประโยคไม่ได้เลย เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ 

    ก่อนจมสู่ห้วงความฝันผมได้ยินอีกคนหัวเราะแผ่วเบาพร้อมสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่ที่วางลงบนหัว


    "ฝันดีครับ"






                                                                            #####


    หนังที่คุณวินด์กับน้องปัชญ์ดูคือเรื่อง Alice in Wonderland หลายคนน่าจะเคยดูกัน :)














Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in