เสียงโทรศัพท์ดังสนั่นแทรกในภวังค์ฝันจนสะดุ้งตื่น ในทีแรกผมเพิกเฉยและรอให้มันหยุดไปเอง แต่ผ่านมา10นาทีเห็นจะได้เสียงมันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดผมจึงจำใจลุกจากที่นอนแสนสุข ไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหลครับ ”
“คุณ อินทร์ ใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“แพร ตายแล้วนะครับ คุณอินทร์ต้องมาร่วมงานให้ได้นะครับ”
“แพรฝัน น่ะเหรอครับ”
“ใช่ครับ วันนี้สวดคืนสุดท้ายแล้วคุณอินทร์ต้องมาให้ได้นะครับ มันเป็นหนึ่งในคำขอสุดท้ายของเธอ…”
ผมวางสายก่อนสิ้นเสียงของอีกฝั่ง แม้จะเป็นการผิดมารยาทไปมากแต่การโทรมาแจ้งเรื่องให้ไปงานศพตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องปกติวิสัยเช่นกัน เขามองนาฬิกาบอกเวลาตีห้าสิบสองนาทีเข็มวินาทีค่อย ๆ เขยื้อนไปเรื่อย ๆ แพรฝัน เหรอ เกิดไรขึ้นกับเธอ เธอใช้ชีวิตผิดพลาดตรงไหนทำไมถึงได้สะดุดล้มหายไปแบบนี้ ไม่มีคำตอบในเช้าวันนี้ผมลุกไปอาบน้ำ แต่งตัวไปงานศพ
ควันธูปลอยอ้อยอิ่งเสียงธรณีกรรณแสงแตกซ่าดังมาจากลำโพงข้างนอกตัวบ้านใบหน้าเปื้อนยิ้มที่คุ้นเคยถูกจัดใส่กรอบประดับด้วยดอกไม้ว่างไว้ด้านข้างโลงเย็นที่หน้าบ้าน ผมไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรดีทุกอย่างว่างเปล่าในหัว ไม่มีความโศกเศร้าแต่เป็นความรู้สึกกลวงโหวงในอกอย่างบอกไม่ถูก ความตายของ แพรฝัน บอกเป็นนัยบางอย่างแก่ผม ผมพยายามสลัดลืมสิ่งเหล่านี้ให้พ้นไปสิ้นผมอยากจะลืมอยากที่จะไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ผมรีบออก มาจากงานโดยอ้างติดธุระด่วน
เธอ อัตวินิบาตกรรม ในคืนวันศุกร์ก่อนเกิดเหตุไม่มีสัญญาณใด ๆ ทุกอย่างธรรมดาสามัญเธอแต่งงาน เมื่อสี่ปีก่อน ตอนนี้เธอมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนพึ่งจะได้สองขวบกว่า ๆ สามีของเธอเป็นผู้จัดการที่บริษัทแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นอย่างที่มนุษย์ชนชั้นกลางคนหนึ่งจะดำเนินไป แต่ด้วยเหตุใดผมไม่อาจทราบได้ เธอเลือกที่จะยุติทุกอย่างเมื่อพรุ่งนี้มาถึง เธอก็กลายเป็นเพียงภาพทรงจำที่รอเวลาทำให้จางหายไป ผมจึงอยากจะเขียนเรื่องนี้อุทิศแด่เธอ เผื่อในสักวันหนึ่งที่ผมจำเธอไม่ได้อีกแล้ว ความทรงจำของ เรา จะยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นอนุสรณ์แด่ทรงจำอันกะพร่องกะแพร่งที่งดงาม
วันจันทร์ ของฤดูร้อนแรกในวัย16ปี เป็นครั้งแรกที่ผมได้ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง เธอสูงประมาณ150 กว่า ๆ ใบหน้าไม่ได้สวยหมดจดแต่มีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง โดยเฉพาะรอยยิ้มของเธอ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใจผมวาบสั่นสะท้านในอกทุกครั้งที่นึกถึง เรารู้จักกันเพราะหนังสือ เธอชอบอ่านวรรณกรรมคลาสสิคยาก ๆ ดอสโตเยฟสกี้ คาวาบาตะ ยาสุนาริ
อะไรเทือกนั้น ผมไม่สนใจหนังสือที่หนาไปกว่า300หน้าทั้งสิ้น เธอเข้ามาทักทายผมตอนที่ผมอ่านรวมเรื่องสั้นของฟิตซ์เจอรัลด์ ที่ห้องสมุด “นายอ่านฟิตซ์เจอรัลด์เหรอ”
“นี่น่ะเหรอ เราพึ่งลองอ่านน่ะ เห็นหน้าปกสวยดี”ในตอนนั้นผมไม่รู้ห่าอะไรเห็นน่าปกสวยดีเลยลองเอามาอ่านเลยพูดส่งๆไป จากนั้นเธอก็ชวนคุยยาวและแนะนำหนังสือมากพอที่จะอ่านจนจบมหาลัยได้ ในตอนนั้นขณะที่คุยกันโดยเฉพาะเรื่องหนังสือ ผมสารภาพว่าผมไม่รู้ห่าไรเลยเกี่ยวกับที่เธอพูด คาฟคา แฮมมิ่งเวย์ ฟิตซ์เจอรัลด์ ผมรู้จัก ฟิตซ์เจอรัลด์ ก็เพราะมูราคามิ แต่ผมไม่มีโอกาสได้พูดอะไรมากเนื่องจากหาช่องแทรกไม่ได้ ในตอนนั้นผมจับประเด็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เธอพูดไม่ได้เท่าไหร่เพราะสนใจแต่ใบหน้าเธอมันมีเสน่ห์บางอย่างที่ปรากฏอยู่ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เมื่อถึงจังหวะหนึ่งเพื่อนของเธอเรียกเธอจึงลุกเดินออกไปในขณะนั้นเองเธอได้ส่งยิ้มมาให้ผม เป็นคำอำลาในการเจอกันครั้งแรกของเรา วินาทีนั้นเองที่ความรู้สึก กลวงเปล่าเกิดขึ้นในอก รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่เคยดำรงอยู่ในตัวผมบัดนี้ได้หล่นหายไป
หลังจากนั่งผมก็เริ่มคุยกับเธอทุกวันทางMessenger ในแชทเธอดูพูดมากกว่าที่เห็นประจำวัน เราคุยกันเรื่อย ๆ แลกเปลี่ยนหนังสือกันอ่าน แนะนำเพลง เธอชอบ In my life ของ The Beatles บทเพลงงดงามประจำ อัลบั้ม Rubber Soul มีครั้งหนึ่งเธอชวนผมไปที่บ้าน บ้านของเธออยู่ในอำเภอเมืองเปิดเป็นคาเฟ่ ร้านหนังสือ แต่ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจเล็ก ๆ ของที่บ้านเธอ ร้านเล็ก ๆ ในซอย แม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่มีหนังสือน่าสนใจหลายเล่ม บางเล่มไม่มีวางบนแผงที่ร้านทั่วไปแล้ว มี ตั้งแต่รวมบทความของนักเขียนไร้ชื่อ ไปจนถึง วรรณกรรมคลาสสิค อย่าง อุตมรัฐ ของ เพลโต
มึงอยากตายตอนอายุเท่าไหร่
ถามงี้ทำไมวะ
“ไม่รู้ดิ บางครั้งกูก็รู้สึกกลัวขึ้นมาลึก ๆ กลัวว่าตัวเองจะเติบโตเป็นคนแบบไหน จะมีชีวิตที่ราบรื่นได้เหมือนคนอื่นหรือเปล่า ที่ผ่านมาเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะครอบครัวคอยช่วยเหลือปกป้อง แต่วันหนึ่งพวกเขาก็ต้องหายไป คงใจหายเหมือนกัน บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าชีวิตของมนุษย์นั้นเปราะบางไร้ความหมายเราคิดทึกทักกันไปเองว่าชีวิตจะดำรงไปอย่างที่มันเป็นมาโดยตลอดแต่ในความเป็นจริงแล้วทุก ๆ อย่างค่อยเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อย ทั้งกูและมึงอีก 10 ปีก็เปลี่ยนไปจากนี้ ทั้งในแง่ของกายภาพ ความสัมพันธ์ เราอาจจะไม่ได้สนิทกันอย่างวันนี้ มึงอาจจะมีครอบครัวแสนสุข
หรืออาจจะมีชีวิตที่ไหนสักแห่งที่บนโลก จริง ๆนะ เรื่องนี้ทำให้กูรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่นึกถึง บางทีกูอาจจะไม่มีชีวิตถึง 10 ปีข้างหน้าก็ได้…”
เธอหยุดพูดไปสักพักใหญ่ผมนั่งฟังอย่างนิ่งเงียบคิดตาม ที่เธอพูดเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำพูดของเธอในวันนั้นผมยังคงคิดมาจนถึงทุกวันนี้ ทันใดนั้นเธอก็พูดขึ้นมา
“ถ้ากูตายก่อนมึง มึงต้องมางานศพกูนะเว้ย”
“พูดอะไรแบบนั้นวะ”
“สัญญาสิ อิน สัญญากับกูว่าถึงวันนั้นมึงจะไม่ลืมกู มึงจะมางานศพ แต่ไม่ต้องร้องไห้ให้ก็ได้ขอแค่มาส่งกูหน่อยนะเพื่อน”
“กูอาจจะตายห่าก่อนมึงก็ได้” ผมพูดหยอกกลับไปเพื่อไม่ให้มันเศร้ามากเกินไป
เธอยิ้มรับคำ
ผมพริ้มหลับตานึกถึงรอยยิ้มนั้นรอยยิ้มใบหน้าค่อยๆปรากฏในสำนึกคิดของผม ผมสูดหายใจลึกลืมตาแหงนมองเพดานห้องทุกอย่างขาวโพลนไปเสียหมด ในขณะที่จ้องมองอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังแทรกขึ้น ผมลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์โทรนัดชวนทานข้าวเย็นของสามีแพรฝัน
“เธอมีของบางอย่างฝากทิ้งไว้ให้คุณ สักอาทิตย์หน้าเรามาเจอกันได้ไหมครับ”
ผมรับคำหลังจากนั้นเขานัดเวลาสถานที่ สิ้นเสียงโทรศัพท์ห้องของผมเงียบสงัดแสงสุดท้ายของวันได้สาดคลุมทั่วพื้น
.
ผมมาถึงที่นัดหมายก่อน5นาทีแต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาเช้ากว่านั้นร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ แต่ดูดีกว่าร้านข้างทางทั่วไป
“แพรฝัน เล่าเรื่องคุณเอาไว้เยอะมากเลยครับ”
“อ๋อ ครับ” ผมยิ้มตอบ แก้เก้อ เธอจะเล่าถึงผมในแง่มุมไหนกัน?
“นี่ครับของชิ้นสุดท้ายที่เธอเขียนมอบให้คุณ” เขายื่นกล่องห่อด้วยกระดาษบรูฟสีขาว ผมลองจับดูน้ำหนักไม่มากน่าจะเป็นหนังสืออะไรบางอย่าง
“ใจหายเหมือนกันนะครับ อยู่ ๆ ก็มาจากกันไปไม่บอกกล่าวกันสักคำ ” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนกับเวลาพูดว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
ผมเงียบไม่รู้จะกล่าวอะไรออก มา สถานการณ์แบบนี้ทำผมอึดอัดใจเสมอ
“ ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอเธอคือตอนเช้าของวันพุธ เธอก็ดูปกติทุกอย่างไม่มีสัญญาณอะไรบ่งชี้ถึงความผิดปกติ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมก็ทำหน้าที่สามีที่ดี ไม่เคยนอกใจให้เธอช้ำใจ เรื่องบนเตียงก็ไม่เคยบกพร่อง”
ผมนิ่งเงียบสดับรับฟัง นึกภาพ แพรฝัน และ ผู้ชายตรงหน้าประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะกันให้ภาพแปลกชอบกล
“บางทีชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละครับมีคลื่นใต้น้ำบางอย่างที่เราไม่รู้ ผิวน้ำที่เรียบสงบมาวันหนึ่งคลื่นนั้นไต่ระดับขึ้นสู่ผิวน้ำแล้วซัดเข้าฝั่ง ทำลายทุกสิ่ง” ผมพูดออกไป
เขามองจ้องหน้าผมราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง จนผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หรือผมพูดอะไรผิดไปหรือเรื่องนี้ไม่ควรที่จะเอ่ยถึง
“ก็ถูกของคุณ นะครับ” เขาว่าพลางถอนหายใจ
“แต่ผมน่าจะสังเกตพฤติกรรมของเธอได้บ้าง ในฐานะสามีและเพื่อนของเธอ ผมรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าที่เราจะเข้าไปจัดการทำความเข้าใจมันได้ ในเวลาที่เหมาะสม เหมือนกับเวลาทำข้อสอบนั่นแหละครับ บางข้อก็คุ้น ๆ แต่ก็ไม่แน่ใจ พอออกมาดูเฉลยหน้าห้องสอบถึงจะรู้คำตอบ ถึงจะรู้ตอนออกห้องสอบมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรจริงไหมครับ ทุกสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับความจริง ถึงแม้จะเจ็บปวดก็ตาม”
เขานิ่งเงียบไม่พูด ทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผมไม่อาจล่วงรู้
พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟพอดีตัดจังหวะบรรยากาศอึดอัดได้ทันเวลา ผมก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างเงียบ
ๆ เขาเองก็ไม่ปริปากสักคำเมื่อรับประทาอาหารเสร็จผมว่าจะขอตัวกลับก่อนโดยที่ผมจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารแต่เขาไม่ยอม
“ผมเป็นคนชวนคุณมา ผมจ่ายเองครับ”
“ไว้โอกาสหน้าให้ผมเลี้ยงคุณซักมื้อนะครับ”
“ขอบคุณ สำหรับคำแนะนำวันนี้นะครับ ผมไม่แปลกใจทำไม แพรฝันถึงพูดถึงคุณ อยู่บ่อย ๆ”
“แพรฝันพูดถึงผมยังไงเหรอครับ ฮ่า ๆ”
“เธอบอกว่าคุณเป็นพวกเข้าใจอะไรนามธรรมได้ดี ปรึกษากับคุณแล้วรู้สึกสบายใจ เธอเคยชอบคุณสมัยมัธยมด้วยนะครับ”
ผมนิ่งเงียบไป แพรฝัน เคยชอบผม?
“ผม ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผม ติณ นะครับ นี่ครับนามบัตร ว่าง ๆ นัดคุยกันอีกนะครับ”
“ครับ” ผมแลกนามบัตรกับเขา แยกย้ายกับติณ ความรู้สึกบางอย่างค่อย ๆ ก่อรูปขึ้น
ระหว่างทางกลับบ้านวิทยุจากรถยนต์ เล่นเพลง in my life ทำนองกีต้าร์ยังชัดแจ้งในโสตสัมผัส ภาพของเธอในเย็นของฤดูฝน วันนั้นฝนพึ่งจะหยุดตกหลังตกมาทั้งบ่ายผมนั่งรอรถกลับบ้านที่หน้าโรงเรียนเธอได้เปิดเพลงนี้ให้ผมฟัง
“มึงต้องลองของโคตรดี” เนื้อเพลงภาษาไทยที่เธอร้องไม่ตรงทำนองยังคงฝังค้างในหัวผม
“ในสถานแห่งที่เหล่านั้นที่ความทรงจำทั้งหลายได้เกิดขึ้น กับ เพื่อน ๆ คนรัก ผมยังไม่ลืมเลือน แม้ว่าบางคนจะจากไปหรือ บางคนยังคงอยู่ ผมมอบความรักแด่ผู้คนเหล่านั้นทุก ๆ คน”
ผมมาถึงที่พักแล้วฝนเริ่มค่อย ๆ ปรอยลง ผมหลับตา ฟังเพลงพร้อมเสียงเครื่องปรับอากาศในรถ และความชื้นของฝน
ทรงจำของเธอปรากฏอีกหนก่อนค่อยๆ จางหาย เมื่อแสงแดดยามเช้ามาถึงหยดฝนของค่ำเย็นนี้ก็ระเหยไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in