เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Hokkaido Home-MadeSALMONBOOKS
คำนำ


  • 1.

    นอกจากห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต ที่สามารถหยิบขนมได้อย่างไม่จำกัดหรือซื้อสิ่งของต้องประสงค์อย่างไม่ต้องคำนึงงบประมาณ เรายังอยากไปที่ไหนพร้อมกับครอบครัวอีก?

    ยิ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชิคๆ หรือเมืองที่อุตส่าห์ดั้นด้นออกไปไกลบ้านยิ่งอยากถามว่าเราอยากไปกับครอบครัวไหม? เด็กเจนวายอย่างพวกเราผู้ที่เกิดยุคหลัง 90s คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากจะสะพายเป้ย่างกรายไปทั่วอย่างอิสระตามคอนเซ็ปต์แบ็กแพ็คเกอร์ ค่ำไหนนอนนั่น สมบุกสมบันไม่ต้องเดินคอยใครหรือมีพ่อแม่ตามไปคอยดูแล 

    แหม…ก็โตๆ กันแล้ว

    2.

    หลังจากที่แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ เขียนหนังสือ Wish Us Luck ขอให้เราโชคดี จบ หนังสือยังขายไม่ทันหมด เราก็แอบถามเธอเหมือนอย่างที่คนอื่นทั่วไปถาม อยากรู้ว่าหญิงสาวในมาดนักเดินทางและนักเล่าเรื่องอย่างเธอจะไปลุยดินแดนเท่ๆ ที่ไหนอีก แล้วจะไปด้วยวิธีไหน นั่งรถไฟไหม หรือโบกรถไป หรือออกเดินด้วยสองเท้า? แล้วไปนานเท่าไหร่ แล้วจะมีหนังตามออกมาอีกหรือเปล่า (แล้วเราจะได้ชวนมาเขียนหนังสืออีกสักเล่ม)แววส่ายหน้า ไม่มีคำตอบ

    แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอส่งข้อความมาหาเรา บอกว่ากำลังจะไปฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น

    ไปกับครอบครัว...

    3.

    ขณะที่วัยรุ่นแทบทุกคนมุ่งหน้าสู่ญี่ปุ่นด้วยความรู้สึกต้องการความอิสระ ประเทศนี้กว้างใหญ่และน่าสนใจมากกว่าจะรอคนแก่เดินช้า รอผู้หญิงท้องอ่อนที่มีอุปสรรคในการเดินทางมากมาย หรือต้องคอยดูเด็กสองขวบอย่างไม่ให้คลาดสายตา (อันที่จริงพวกบ้าช้อปปิ้งก็รวมอยู่ด้วย แต่อาจมีเลเวลน้อยกว่า) แต่ทริปนี้ของแวววรรณประกอบไปด้วยบุคคลเหล่านี้รวมแล้วทั้งหมด 12 ท่าน…

    การเดินทางที่ความเท่ไม่ใกล้เคียงกับการนั่งรถไฟข้ามทวีปยาวนานหนึ่งเดือน ไม่มีประสบการณ์เสี่ยงตาย ตกรถไฟ หรือหลงทาง ไม่มีความเหงาหงอย คิดถึงบ้าน การเดินทางของแวววรรณครั้งนี้เป็นอย่างนั้น

    สำหรับบางคนอาจจะน่าผิดหวัง

    แต่เราไม่

    4.

    แวววรรณใช้บรรยากาศของลองจิจูดที่แตกต่างเอามาเล่าเรื่องความห่างระหว่างวัยได้อย่างสนุก—สำหรับเรามันอาจสูสีกับเรื่องบนโบกี้รถไฟสามสิบวันของเธอเสียอีก

    การเดินทางของเธอ (และครอบครัว) ครั้งนี้ อาจเป็นอีกครั้งที่เดินทางแทนพวกเรา ขณะสาวเท้าอยู่บนดินแดนอาทิตย์อุทัยในแบบแฟมิลี่ทริปเธอก็พาเราเดินทางไปบนช่องว่างระหว่างวัยที่เราหลายๆ คน (หรือแทบทุกคน) เว้นเอาไว้ไม่ยอมพูดถึงมัน ประเพณีในครอบครัวที่ทำกันมาในรูปแบบซ้ำๆ นั้นไม่มีการทำความเข้าใจอย่างจริงจัง ในเลขของปี พ.ศ. เกิดนั้นมีอะไรมากกว่าระดับอาวุโส ความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง มีช่องว่างที่น่าทบทวนและเรียนรู้ถึงเราจะอยู่ใกล้ชิดกันขนาดไหน

    เป็นสิ่งที่เด็กอย่างเราควรจะเข้าใจเอาไว้

    แหม…ก็โตๆ กันแล้ว






  • “คราวหน้าไปเที่ยวไหน?” เป็นคำถามยอดฮิตหลังจาก ‘หนัง+สือ’ Wish Us Luck ขอให้เราโชคดี เข้าฉายและวางแผงเป็นที่เรียบร้อย

    “ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ” ฉันตอบเจื่อนๆ

    “มีความคิดชั่ววูบว่าอายุ 30 จะไปทิเบตค่ะ” วรรณกู้สถานการณ์เอาไว้

    “30 วัน 9 ประเทศ 2 แฝดสาว ที่เดินทางกลับเมืองไทยด้วยรถไฟจากอังกฤษ”

    ไอ้ประโยคยาวเฟื้อยที่อยู่บนหน้าปกหนังสือสร้างความกดดันให้ฉันไม่น้อย

    “พี่โคตรเจ๋งอะ หนูอยากทำอย่างพี่บ้าง เขียนอีกนะคะ หนูจะรอ” แววตาเป็นประกายที่คลอไปกับประโยคจากปากผู้อ่านวัยรุ่น เพิ่มน้ำหนักให้มวลอากาศบนบ่าสองข้างของฉันซ้ำอีก เขียนเรื่องอะไรดีล่ะ การเดินทางอันน่าจดจำจนอยากจะบอกต่อมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ นะน้อง

    เอาล่ะ...ก็ได้ ฉันจะออกเดินทางอีกครั้งเพื่อหมู่มวลมนุษยชาติผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี

    ไม่...ไม่ใช่จุดหมายอินดี้ เท่ๆ เซนๆ อย่างทิเบตที่วรรณโม้เอาไว้ แต่เป็นจุดหมายที่โคตรจะป๊อปอย่าง ‘ญี่ปุ่น’ ต่างหาก ยังไม่พอ เราขอทำลายความฝันวัยรุ่นด้วยการโยนแบ็กแพ็คทิ้งจากหลัง แล้วลากกระเป๋า ยกธงนำทัวร์ลูกเป็ดทั้งครอบครัวมุ่งสู่เกาะฮอกไกโด ...นั่งเครื่องบินไปนะรถไฟมันนาน 

    ฉันเห็นประกายในแววตาผู้อ่านหลายคนดับวูบ

    ‘ทริปครอบครัว’ ฟังดูไม่เท่เอาเสียเลย ดูเป็นลูกแหง่ติดพ่อแม่ ไม่แบกเป้ลุยเดี่ยว เป็นกลุ่มคำที่ฟังดูล้งเล้งวุ่นวายอย่างไรบอกไม่ถูก ช่างขัดกับการเดินทางด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียอย่างสิ้นเชิงทั้งในระดับความชวนฝันของเส้นทาง ความเท่ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค สิ่งที่ตกตะกอนเกี่ยวกับชีวิต และความ poetic ของวิธีการ ...หรือถ้าลดระดับความอินดี้ลงมาหน่อยเป็นการไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเพื่อน มันคงจะชิคกว่านี้แน่ๆ แก๊งวัยรุ่นสามสี่คน (ห้าคนขึ้นไปจะเริ่มปวดหัวละ) ออกไปตะลุยญี่ปุ่นกันเอง เที่ยวกันเอง หลงกันเอง โพสท่าถ่ายรูปบ้าๆ กินบุฟเฟต์เนื้อย่าง เหล่หนุ่มญี่ปุ่น ร้องคาราโอเกะ ช้อปปิ้ง ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ และเรื่องสนุกอื่นๆ ที่จะไม่เกิดขึ้นถ้าเราไปกับครอบครัว

    ทริปครอบครัวครั้งนี้ ถ้าเปรียบเป็นหนัง ก็เป็นหนังแมสที่โคตรจะป๊อป โคตรจะไม่คูล เป็นขั้วตรงข้ามกับหนังอินดี้ที่ถ่ายรถไฟวิ่งเอื่อยไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย แล้วเอามาตีความนามธรรมหล่อๆ ว่ามันเป็นสัญญะของชีวิตอันเนิบช้าที่มีความสุขและปล่อยวาง หนังการเดินทางเรื่องใหม่นี้ แค่รู้ชื่อเรื่องก็เดาได้เลยว่ามันจะไปเที่ยวไหนบ้าง ทุ่งลาเวนเดอร์แน่ๆ กินปูกันชัวร์ๆ ออนเซ็นแหงๆ แล้วก็จะมาบอกว่าอายอย่างนั้น อย่างนี้ หนีไม่พ้นพล็อตนี้หรอก เชื่อเหอะ

    ยัง...อย่าเพิ่งตัดสินหนัง (สือ) เรื่องนี้ว่าจะน่าเบื่อแบบนั้น ถ้ามองให้ลึกลงไป จะเห็นว่ามวลก้อนความสัมพันธ์อันซับซ้อนซ่อนเงื่อนภายในครอบครัวลูกเป็ดจะทำให้หนัง (สือ) เรื่องนี้เป็นหนังคอเมดี้ดราม่าที่ทุกครอบครัวต้องตบตักฉาดด้วยความอิน เป็นไง ดูดีขึ้นไหม?

    ทำไมบางครั้งคนที่มีพันธุกรรมเดียวกับเรา รูปทรงคิ้วบานปลาย หน้าผากเถิก ตาสองชั้นหลบในเหมือนเรา กลับเป็นคนที่เราพยายามจะทำความเข้าใจเขาน้อยที่สุด ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่วงกลมชีวิตของเราถ่างออกจากกัน ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน กินข้าวที่เขาหุง นอนบ้านของเขา ดูทีวีที่เขาจ่ายค่าไฟ

    “อยู่ใกล้พ่อแม่แล้วร้อน” หลายคนคิดแบบนั้น รวมทั้งฉันด้วย “เราเข้ากันไม่ได้” “แม่ไม่เข้าใจ” “พ่อเผด็จการ” “น้าชอบจิก” “ญาติคนนั้นชอบวีน”“อีหลานโคตรดื้อ” 

    ทริปครอบครัวเหรอ? นี่มันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ 

    แต่...เที่ยวหรู อยู่สบาย ไม่ต้องจ่าย ใครไม่ไปก็โง่แล้ว

    พร้อมจะเดินทางไปกับหนัง (สือ) เรื่องนี้หรือยัง?

    กรุณาเปิดใจก่อนชมหนัง (สือ) 

    ด้วยความปรารถนาดีจากลูกเป็ดตัวหนึ่ง













  • แด่

    วัวนมทุกตัวในฮอกไกโด

    ซอฟต์ครีมอร่อยมาก












Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in