เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หนังหนึ่งคืน | OnenightCinemaOnenightz.
(500) Days of Summer : บทเรียนเร่งรักฉบับ 500 วัน
  • (500) Days of Summer ???
    Director : Marc Webb
    Genres : Comedy ,Drama ,Romance
    My Score : 8.5/10
    [ภาพยนตร์มีความยาว 1 ชั่วโมง 35 นาที สามารถรับชมได้ทาง Disney+]
    .
    ℹ เนื้อหาภายในบทความมีการสปอย ถ้าไม่ถือก็อ่านได้เลย
    .
    - (500) Days of Summer นำแสดงโดย Joseph Gordon- Levitt และ Zooey Deschanel ได้เปลี่ยนการนำเสนอมุมมองความรักของภาพยนตร์รอมคอม (Romantic Comedy) และได้เติมเต็มส่วนที่ขาดหายของนักค้นหาความรักในชีวิตจริง
    - นับตั้งแต่การเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้มีแนวคิดมากมายเกี่ยวกับวิธีที่ภาพยนตร์ได้นำเสนอเรื่องราวความรักอย่างที่ควรจะปรากฏออกมา ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเหล่านี้ทำให้เกิดการโต้เถียงกันมากมายในวงการภาพยนตร์ แต่สิ่งหนึ่งที่คนดูจะได้รับอย่างแน่นอนเลยคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้บรรยายถึงความรู้สึกอกหักได้อย่างสมจริงจนสามารถรู้สึกได้ และเต็มไปด้วยบทเรียนอันมีค่าจากมุมมองจากทั้งสองตัวละคร
    - จากบทความที่แล้ว ที่ได้ทำการวิเคราะห์ตีความเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่าง Tom และ Summer ภายใน 500 วัน ซึ่งอาจจะอธิบายและไขข้อกระจ่างให้กับผู้อ่านในประเด็นที่เกิดข้อถกเถียงได้พอสมควร แต่ในบทความนี้ ผมจะนำเสนอบทเรียนและแง่คิดที่ภาพยนตร์ได้นำเสนอ และหลังจากการตกตะกอนมาพอสังเขป ผมจึงสรุปบทเรียนและแง่คิดได้ดังนี้ ...
    .

    ➡️ อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องแบกรับความคาดหวังของคุณ

    - Tom มีความคิดที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Summer นั่นคือความคิดที่ว่า 'พวกเขาจะอยู่ด้วยกันตลอดไป' คนดูจะเห็นมุมมองที่แท้จริงของทอมเกี่ยวกับวิธีที่เขารับรู้ตัวตนของซัมเมอร์ และความคาดหวังในความสัมพันธ์ของพวกเขาตลอดทั้งเรื่อง แต่นั่นไม่ใช่ในความเป็นจริงเลย
    - Tom เสียใจหนักมากเมื่อ Summer เลิกกับเขา และรับรู้ว่าแท้จริงแล้วซัมเมอร์แทบจะไม่มีวิธีคิดเช่นเดียวกันกับเขาเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคิดที่เขามีต่อซัมเมอร์นั้น ปราศจากการมองจากความเป็นจริงในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ทอมจับเธอยัดใส่ชุดความคิดของเขา บงการเธอว่าควรจะเป็นเช่นนั้น ควรจะตอบแทนเขาเช่นนี้ เป็นความคิดโรแมนติกในแง่มุมของเขาคนเดียว ซึ่งจะเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับคนดู ว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องตอบสนองความคาดหวังของคุณเสมอไป ความรักมันคือความสมดุลจากความคาดหวังของคนสองคน
    ▪︎
    ➡️ เราจะไม่มีทางก้าวข้าม (Move On) หากเราจมอยู่กับอดีต

    - แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ควรจะงอแงฟูมฟาย หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าเศร้าเช่นการเลิกราที่ยากลำบาก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตีแผ่ชีวิตและความหดหู่ของ Tom หลังจากที่เขาคิดว่าโลกของเขาได้สิ้นสุดไปพร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Summer ไว้อย่างชัดเจน
    - จากการที่เขาได้ไปพูดคุยกับ Rachel น้องสาวของเขา และเธอได้ให้แง่คิดกับเขาข้อหนึ่ง เธอบอกทอมให้มองความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองให้ดีๆและให้สมจริง จนทำให้เขาตาสว่าง ซึ่งในที่สุด Tom ก็สามารถหลุดจากความสัมพันธ์อันเป็นพิษ และพบว่าเขารู้สึกมีความสุขอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับ Summer แล้วก็ตาม เหตุผลเดียวที่เขาสามารถก้าวต่อไปได้ก็คือ เขาสามารถปล่อยวางเรื่องซัมเมอร์ไว้กับอดีตได้ และเรียนรู้ที่จะโฟกัสกับโอกาสใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
    ▪︎
    ➡️ มันไม่ผิดที่จะให้ความสำคัญกับการงานมากกว่าเรื่องรักๆใคร่ๆ

    - Tom หมกมุ่นอยู่กับแต่ความคิดเรื่องความรัก และอยากจะรักษาสถานะให้ตัวเองไว้ในความสัมพันธ์อยู่เสมอ ตลอดเรื่องราว เขาใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อพยายามทำให้ชีวิตคู่ของเขาสมบูรณ์แบบ
    - หลังจาก Summer บอกเลิกกับเขา แทนที่ Tom จะกระโดดเข้าสู่ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ทอมได้เรียนรู้ว่าเขาสามารถเปลี่ยนไปโฟกัสกับอาชีพการงานของเขาได้ และเขาได้ทุ่มเทเวลาและพลังทั้งหมดในการเป็นสถาปนิก ซึ่งเดิมเป็นอาชีพในฝันของเขา ภาพยนตร์ได้พิสูจน์ว่า ชีวิตไม่ได้เกี่ยวพันกับเรื่องความรักทั้งหมด และเป็นเรื่องที่ดีที่จะดูแลตัวเองบ้าง รวมไปถึงให้ความสำคัญกับอาชีพการงาน ซึ่งนั้นจะทำให้เกิดเรื่องดีๆตามมา
    ▪︎
    ➡️ แนวคิดเรื่อง 'คนที่ใช่' (The One ) มีแค่ในมโน

    - ตลอดทั้งเรื่อง Tom ได้เชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์ว่าเขานั้นได้พบ 'คนที่ใช่' เข้าให้แล้ว เขาคิดว่าการค้นหารักแท้ของเขาได้จบลง และเขาทั้งสองจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น
    - Tom รู้สึกท้อแท้และคิดว่าเขาจะไม่มีวันพบรักกับใครอีกแล้ว เพราะ Summer นั้น คือคู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด และเธอก็ได้ทำลายชีวิตของเขา โดยทำให้เขาความล้มล้างความเชื่อในความรัก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าทอมสามารถเยียวยาชีวิต และสามารถก้าวต่อไปได้ จนกระทั่ง เขาได้พบคนใหม่ในตอนท้าย ทำให้แนวคิดเรื่อง 'คนที่ใช่' นั้นดูไม่เป็นความจริงเสมอไป 'คนที่ใช่' บางทีมันคือคนที่เราแน่ใจแล้วว่า เรากับเขาจะสามารถสานสัมพันธ์กันต่อไปได้ ไม่ใช่แนวคิดที่เราจะสร้างขึ้นมา เพื่อมากำหนดชีวิตของเขา รวมถึงชีวิตเราให้อยู่ในกรอบ และเป็นกับดักในความสัมพันธ์ในอนาคตเมื่อมันจบลง
    ▪︎
    ➡️ เป็นโสดก็ไม่ได้แย่

    - มีแนวคิดอย่างหนึ่งของ Tom ในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำร้ายเขามากๆในช่วงท้ายของเรื่อง นั่นคือตั้งแต่ที่เขาเริ่มคบหากับ Summer ทอมคิดว่าตัวเขาต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอให้ตลอดรอดฝั่ง และหากเขาไม่สามารถรักษาไว้ได้ เขาก็จะต้องสูญเสียส่วนหนึ่งของชีวิตไป จะเห็นได้จากชีวิตของเขาหลังโดนซัมเมอร์ยุติความสัมพันธ์ ชีวิตของเขาแทบไม่เป็นอันทำอะไร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่เกิดจากคาดหวังอันล้นเกินไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างของเขากับซัมเมอร์
    - ในท้ายที่สุด เราจะได้เรียนรู้จาก Tom ว่าเราจะไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ หากเราไม่รู้วิธีปล่อยวางและเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวของเราเอง แน่นอนว่ามันอาจจะเหงาในบางครั้ง แต่อย่างน้อย ชีวิตเราไม่ได้มีเราตัวคนเดียวเสมอไป แต่ยังมีครอบครัวหรือเพื่อนของคุณ ที่พวกเขาจะคอยซัพพอร์ตคุณเสมอ
    ▪︎
    ➡️ ไม่มีทางที่บังคับใครสักคนมารักเราได้หรอก

    - ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หมุนรอบความคิดของ Tom เกี่ยวกับสิ่งที่เขาคาดหวังต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ Summer เขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้เธอรักเขาในแบบที่เขารักเธอ แต่มันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย ไม่ว่าเขาจะพยายามและต้องการมันมากขนาดไหน ซัมเมอร์ก็ไม่มีวันจะมีความรู้สึกแบบเดียวกับเขาได้
    - เรื่องนี้ ทำให้เราได้รู้แล้วว่า เราไม่สามารถทำให้ใครรักเราได้ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดกับความจริงข้อนี้ แต่ทุกคนนั้นมีทางเลือกและความรู้สึกของตัวเอง และบ่อยครั้งมันก็ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกและความคาดหวังของเราเสมอไป
    ▪︎
    ➡️ ความคาดหวังของเรา (ส่วนใหญ่) มักจะไม่เหมือนกับความเป็นจริง

    - ฉากที่โดดเด่นที่สุดฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือช่วงเวลา "ความคาดหวังกับความเป็นจริง" ที่ Tom พบกับ Summer อีกครั้งหลังจากที่พวกเขานั้นได้เลิกรากันไป เขาจินตนาการว่าพวกเขามีค่ำคืนที่ยอดเยี่ยมและแม้กระทั่งคิดไปเองว่าพวกเขาจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ในความเป็นจริง พวกเขาแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยในงานสังสรรค์นั้น และทอมก็กลับบ้านไปอย่างสิ้นหวัง
    - เป็นเรื่องอันตรายที่จะปล่อยให้ความคาดหวังของเราเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ได้เข้าควบคุมความคิดทั้งหมดของเรา เราไม่อาจปล่อยให้ความคาดหวังครอบงำส่วนที่ดีของเรารวมถึงความสัมพันธ์ที่กำลังไปได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถสร้างความคาดหวังนั้นได้ แต่หมายความว่าเราต้องระมัดระวังความกดดันที่เกิดจากความคาดหวังนั้น เราต้องรู้จักควบคุมมัน และบางครั้ง เราอาจจะปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราและเขา นำพาชีวิตเราไปอย่างสบายๆและเป็นธรรมชาติบ้าง
    ▪︎
    ➡️ อย่าได้ละเลยสัญญานเตือนที่บ่งบอกว่าความสัมพันธ์กำลังถึงจุดจบ

    - เมื่อ Summer เลิกกับ Tom เธอชี้ให้เห็นว่าข้อผูกมัดในความสัมพันธ์นั้นมันไม่ได้ผล ทอมประหลาดใจ อกหัก และจมดิ่งลงในห้วงอารมณ์ซึมเศร้าอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยเห็นสัญญาณเตือนของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนกำลังไปเลยเหรอ? หรือเขาแค่เพิกเฉยที่จะเห็นสัญญานเหล่านี้?
    - การละเลยต่อสัญญาณเตือนถึงความสัมพันธ์ที่อาจนำความสัมพันธ์ไปถึงจุดจบ มันดูง่ายกว่าและเจ็บปวดน้อยกว่า เพราะเรากำลังหลอกตัวเองว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดี หรือเดี๋ยวมันอาจจะดีขึ้น แต่ในความเป็นจริง มันแต่จะพาทำให้ตัวเราประสบกับปัญหา เรากำลังอยู่ในห้วงจินตนาการอันหอมหวานที่กำลังจะพังทลายในที่สุด ดังนั้น เราจึงควรหมั่นสังเกตอีกฝ่าย รวมถึงบริบทโดยรอบอยู่เสมอ ว่ากำลังเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่? และกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีหรือเปล่า? เพื่อในท้ายที่สุด เราจะได้พร้อมรับมือกับมัน
    ▪︎
    ➡️ มันสำคัญนะ ที่ความคิดและความรู้สึกของเราและของเขา ควรไปในทิศทางเดียวกัน

    - เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ในช่วงเวลาหนึ่งของ Tom และ Summer ดูแข็งทื่อ ไร้พัฒนาการ เพราะพวกเขาไม่เคยเข้าใจตรงกันในหลายๆเรื่อง ทอมไม่เคยบอกซัมเมอร์ ว่าเขารู้สึกจริงๆอย่างไร และต้องการอะไรจากความสัมพันธ์นี้ ในขณะที่ซัมเมอร์เคยบอกเขาว่าเธอมีจุดยืนอยู่ตรงไหนมาแต่เนิ่นๆ แต่เธอก็ไม่เคยได้รับการปรนนิบัติแบบนั้น เมื่อทอมคิดว่าซัมเมอร์ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน ทอมก็ยิ่งใส่ใจมากขึ้น ซึ่งนั่นมันจะทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง
    - ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงตึงเครียดมาก เมื่อ Tom ตระหนักได้ว่า Summer ไม่ได้ทุ่มเทให้กับความสัมพันธ์อย่างที่เขาคาดหวัง หากทอมบอกว่าเขารู้สึกอย่างไรในช่วงแรกๆ และต้องการอะไร ความสัมพันธ์ของพวกอาจจะอยู่รอดได้นานขึ้นอีกหน่อย ซึ่งนี่คือบทเรียนที่ทำให้เรารู้ว่า ในเรื่องของความรัก ความเข้าใจถึงความต้องการในแต่ละฝ่ายเป็นเรื่องที่ควรตกลงกันเป็นเรื่องแรกๆเลย เพื่อให้ในระหว่างทาง จะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ได้พลัดตกไหล่ทางแห่งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนี้
    ▪︎
    ➡️ อย่าฝากความสุขของเราไว้กับคนอื่น

    - มีบทเรียนอย่าหนึ่งที่ดูจะสำคัญมากๆจาก (500) Days of Summer คือความสุขของเราไม่อาจพึ่งพาคนอื่นได้อย่างเดียว เหมือนกับที่ Summer กลายเป็นแหล่งความสุขเพียงคนเดียวสำหรับ Tom และเขาก็สูญเสียตัวเองไปเพราะเหตุนั้น
    - มันดูจะไม่ยุติธรรมที่จะกดดันคนอื่นด้วยความคาดหวังของเรา แต่อย่าลืมว่ามันก็ไม่ควรเช่นกันที่จะกดดันตัวเอง เพราะในท้ายที่สุด มันจะพาให้ทุกอย่างต้องจบลงอย่างเลวร้าย และทำให้เราตกต่ำเฉกเช่น Tom หากเราต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดี เราต้องทำให้ตัวเองมีความสุขด้วย ไม่ได้หมายความว่าเราจะคาดหวังความสุขจากอีกฝ่ายไม่ได้ แต่หมายความว่าเขาจะไม่ใช่แหล่งความสุขเพียงแหล่งเดียวของเรา เราต้องรู้จักจัดการความสุขให้อยู่ในจุดสมดุล ความสุขที่เกิดขึ้นเพราะตัวเรา และความสุขของเราที่แบ่งปันให้อีกฝ่าย ถ้าเขาไม่ใจร้ายจนเกินไป เขาก็จะส่งคืนความสุขกลับมาให้กับเรา บางทีอาจจะเป็นระดับความสุขที่เกินความคาดหวังของเราก็เป็นได้
    ▪︎
    ➡️ เพราะแค่เริ่มมาดี ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะดีตลอดรอดฝั่ง

    - ในตอนเริ่มต้น ความสัมพันธ์ระหว่าง Tom กับ Summer นั้นดูมีความชัดเจนดี พวกเขามีความสนใจเหมือนกันและดูเข้ากันได้ง่าย เกิดความโรแมนติกจากเคมีระหว่างคนทั้งสอง และเราจะเห็นได้ชัดว่า มันเปลี่ยนไปตามวันเวลา และท้ายที่สุด จุดจบก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ
    - ทุกความสัมพันธ์มีขึ้นมีลง และนั่นคือเรื่องปกติในความเป็นไปในความสัมพันธ์ เราต้องเข้าใจว่ามันไม่เป็นไปได้ด้วยดีเสมอไป และบางครั้งมันอาจจะไม่กลับมาดีอีก จงหาวิธีประคับประคองความสัมพันธ์ ในวิธีที่สองคนเข้าใจและโอเคกับมัน
    ▪︎
    ➡️ ชอบอะไรเหมือนกัน นั่นไม่ใช่พรหมลิขิต

    - Tom ตกหลุมรัก Summer เป็นครั้งแรกในวันแรกที่ห้องประชุม และเหตุการณ์ในลิฟต์เป็นสิ่งการันตีความต้องการของเขาที่จะต้องไขว่คว้าตัวซัมเมอร์มาให้ได้ เพราะเขาพบว่าเธอมีรสนิยมทางดนตรีแบบเดียวกับเขา และเขาไม่เคยเจอใครที่ชอบแนวเพลงแบบเขามาก่อนในชีวิต มันกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้กับเรื่องราวในภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เป็นช่วงเวลาที่โดดเด่นภายในภาพยนตร์ ยกเว้นว่าความเป็นจริง ชีวิตความรักต่อจากนั้นมันไม่ง่ายอย่างนั้น
    - เราไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่กับใครซักคนเพียงเพราะพวกเขามีความชอบความสนใจเหมือนกับเรา มันอาจจะน่าตื่นเต้นสำหรับช่วงเวลาที่ใครบางคนรักวงดนตรีเดียวกับที่เราชื่นชอบ แต่เมื่อความรู้สึกนั้นผ่านไปแล้ว มันยังมีองค์ประกอบอีกมากมายที่จะทำให้เราตกหลุมรักใครคนนั้นได้อีก บอกตรงๆว่าความเป็นตัวของเรานั้นสำคัญกว่าชอบวงโปรดที่เราชอบเสียอีก
    ▪︎
    ➡️ ความรักมักมีสองด้านเสมอ

    - ประเด็นหนึ่งของ (500) Days of Summer คือการที่เราเพียงแต่เห็นมุมมองผ่านสายตาของชายคนหนึ่งที่ได้เลิกรากับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งในบางทีเราอาจจะโมโหตัวละคร Summer มากๆ โดยที่เราไม่ชอบซัมเมอร์นั้น คงเพราะเธอทำลายช่วงเวลาดีๆของตัวละครเอกของเรา และนั่นคือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น หากเรามองความสัมพันธ์จากมุมมองเพียงฝั่งเดียว
    - ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราตระหนักว่า มุมมองที่เราเห็นจาก Tom นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นจริงเสมอ แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอคติ ซึ่งทุกความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน มันมีเรื่องราวสองด้านและความรู้สึกจากคนสองคนเสมอ เมื่อถึงจุดแตกหักในความสัมพันธ์ เราจะเอาเพียงความรู้สึกของคนๆหนึ่งมาใช้ตัดสินไม่ได้ แต่มันสำคัญในความสัมพันธ์ที่เราจะถอยออกมา และมองสิ่งต่างๆ ผ่านมุมมองของอีกฝ่ายเพื่อใช้ในการตัดสินด้วย
    ▪︎
    ➡️ หลังจากแยกทาง ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป แต่บางทีร้องไห้บ้างก็ดี

    - เมื่อ Tom อกหักจาก Summer มันกระทบชีวิตเขาอย่างหนัก และเขาพยายามดิ้นรนเพื่อสลัดความคิดและความรู้สึกแย่ๆนั้นออกไป แม้ในที่สุดเขาก็ทำได้ เขาได้ลุกขึ้นและก้าวต่อไป แต่มันต้องใช้เวลาสักพักนึงเลย
    - การเลิกราทุกครั้งมันยาก และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มันก็ยังมีข้อดีที่ทำให้เราได้ใช้เวลานี้ที่จะเป็นโอกาสในการแสดงความรู้แย่ๆที่อัดอั้นมาตลอดนั้นออกมา ชีวิตเราคงมีโอกาสไม่บ่อยหรอกที่จะร้องไห้ จงใช้เวลานี้ในการเยียวยาหัวใจของคุณ นั่งคิดทบทวนข้อผิดพลาด ใช้มันเป็นบทเรียนในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม ชีวิตยังดำเนินต่อไป มันไม่ใช่จุดจบ มันเป็นเพียงแค่ช่วงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต จงฟูมฟายให้พอ เมื่อเวลาผ่านไป จนในวันหนึ่ง เราจะรู้สึกดีกับช่วงเวลาที่แสนเศร้านี้อย่างแน่นอน
    .

    ? Epilogue : บทส่งท้าย

    - "นี่คือเรื่องราวของชายหนุ่มที่พบหญิงสาว แต่คุณควรทราบแต่แรกว่า...นี่ไม่ใช่เรื่องราวของความรัก" แต่คือเรื่องราวความยาว 1 ชั่วโมง 35 นาที ที่จะเป็นบทเรียนและให้แง่คิดกับคนดู ได้ใช้เวลาทบทวนชีวิตรักที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ หรืออาจเกิดขึ้นมาแล้ว เพื่อให้ชีวิตของพวกเขาในความสัมพันธ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แล้วไว้เจอกันใหม่ ในภาพยนตร์เรื่องต่อไปนะ ผู้อ่านที่รักทุกๆคน ???

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in