เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หนังหนึ่งคืน | OnenightCinemaOnenightz.
Raya and the Last Dragon : รายาพาให้นึกถึง
  • Raya and the Last Dragon (2021) ???
    Director : Don Hall
    Genres : Action, Adventure, Comedy, Fantasy
    My Score : 8.0/10
    [ภาพยนตร์มีความยาว 1 ชั่วโมง 47 นาที มีให้รับชมใน Disney+]
    .
    - ตอนแรกกะจะรีวิวหนังเจ้าหญิงทั้งหมด แต่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะเอาประเด็นไหนมาพูด มีเยอะจนไม่รู้จะเริ่มอย่างไร? ?
    - เลยหยิบเอาเจ้าหญิงคนนึงมาพูดก่อนก็ได้ ถึงจะเป็นเจ้าหญิงองค์ล่าสุด แต่ยังไม่มีในรายชื่อเจ้าหญิงดิสนียอย่างเป็นทางการ แต่เร็วๆนี้คงมีในรายชื่อแน่นอน
    ***ไปดูก่อนค่อยมาอ่าน มีสปอยย ?
    .

    ? My Viewpoint

    - Raya and the Last Dragon เป็นเรื่องเล่าการผจญภัยที่ยอดเยี่ยม มีการผสมผสานภาพจำและตำนานจากวัฒนธรรมต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับวิสัยทัศน์ของทีมงานได้อย่างลงตัว เป็นภาพยนตร์ครอบครัวที่มีเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัยทุกวัย นอกจากนี้ยังคงรักษามาตรฐานของสตูดิโอ Disney ไว้ได้อย่างประทับใจ โดยปล่อยให้ตัวละครในโลก Utopia ที่ให้ความรู้สึกทั้งคลาสสิกและสดใหม่ไปพร้อมๆกัน
    - หนังเกี่ยวกับ Raya ที่เคยได้ยินเรื่องเล่าของมังกรตัวสุดท้ายจากพ่อของเธอ Benja มาเนิ่นนาน ขณะที่อำนาจชั่วร้ายกำลังกระจายตัวไปทั่วแผ่นดิน เปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นหิน มังกรวิเศษรวมพลังของพวกเขาเข้าด้วยกัน กลายเป็นก้อนอัญมณี และหนึ่งในนั้นคือ Sisu ใช้มันเพื่อหยุดการล่มสลายของอาณาจักร อำนาจชั่วร้ายโดนผนึก เธอได้เสียสละตัวเองจากเหตุการณ์นั้น แม้ว่าจะมีข่าวลือว่าเธอจะรอดชีวิตมาได้ ก้อนอัญมณีนั้นอาศัยอยู่กับคนของเบญจาและรายา แต่กลุ่มอื่น ๆ ในโลกที่ล่มสลาย และทำให้แก่งชิงอำนาจกัน Virana จากเผ่าเขี้ยวได้คิดจะขโมยมัน จนในที่สุด ก้อนอัญมณีก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และได้แจกจ่ายไปยังผู้นำทั้ง 5 เผ่า จนทำให้ Drunn อำนาจมืดนั้นตื่นขึ้น มันได้สูบพลังชีวิตของคนที่มันได้สัมผัส และทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นหิน
    - หลายปีต่อมา Raya ออกเดินทางไปทั่วทวีปเพื่อค้นหาทั้งมังกร Sisu และเศษอัญมณี โดยพยายามที่จะนำคนของเธอกลับมารวมกันและฟื้นคืนโลก Utopia ตามความคิดของพ่อเธอ ระหว่างทาง พวกเขาถูกเจ้าหญิงแห่งเผ่าเขี้ยว Namari ไล่ล่า และพบกับตัวละครสมทบน่าจดจำมากมาย อย่าง บูน เด็กชายพ่อค้าโจ็กกุ้งกับเรือคู่ใจของเขา ทองตาเดียว ผู้รอดคนสุดท้ายแห่งเผ่าสันหลัง และรวมถึง แก็งค์ลิง เด็กน้อยที่ใช้ความน่ารักที่ปฏิเสธไม่ได้ของเธอในฐานะนักต้มตุ๋นร่วมกับฝูงลิงในตรอก ตัวละครที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้ ทั้งหมดได้รับผลกระทบจากการแตกของก้อนอัญมณี
    - ภาพยนตร์เรื่อง Raya and The Last Dragon นั้น ชูโรงด้วยเรื่องราวการผจญภัย ซึ่งทำให้ผมได้นึกถึงหนัง 4 เรื่อง ที่มีความคล้ายกัน ทั้งงานภาพ บทภาพยนตร์ และตัวละคร โดย 4 หนังที่รายาพาให้ผมคิดถึง มีดังต่อไปนี้ ...
    .
    ➡️ Tomb Raider (2001)

    - ความรู้สึกแรกๆเลย ที่รู้สึกระหว่างดู คือหนังเรื่อง Tomb Raider จะมีการดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการจารกรรม และผจญภัย โดยมีฉากหลังเป็นเมืองโบราณ เมืองลับแล เพื่อขโมยวัตถุโบราณไปใช้ในจุดประสงค์หนึ่ง บวกกับตัวเอกเป็นผู้หญิง มันเลยทำให้ Raya มันมีกลิ่นอายคล้ายหนังเรื่องนี้
    - ซึ่งเมื่อพูดถึงการผจญภัยไปในเผ่าต่างๆ เพื่อรวบรวมจิตวิญญาณแห่ง Kumantra มีความรู้สึกว่า ในแต่ละเควสมันดูง่ายเกินไป เหมือนประเด็นหลักคือการรวบรวมไอเทม แต่การดำเนินเรื่องกลับเป็นการโฟกัสไปยังตัวละครใหม่ ที่พบเจอในแต่ละเผ่ามากกว่า ซึ่งถ้าจะทำให้ภารกิจกับการเล่าปูมหลังของตัวละครใหเสมดุลกว่านี้ มันน่าจะดีกว่ามากๆ
    .
    ➡️ 9 ศาสตรา (2018)

    - จะบอกว่าอนิเมชั่น 9 ศาสตรา มันเทียบชั้นได้ในระดับ Raya คือจะหาว่าอวยป่าว? แต่ความรู้สึกที่ดู มันมีความรู้สึกว่า งานอนิเมชั่นทั้ง 2 เรื่องมันมีความใกล้เคียงกัน ไม่รู้ว่าด้วยความที่คาแรคเตอร์มันมีความเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มากๆ ทั้งหน้าตา และเครื่องแต่งกาย รวมถึงงานภูมิทัศน์พื้นหลัง หรืออาจจะเพราะมีทีมงานของ 9 ศาสตราไปร่วมสร้างอนิเมชั่น (หรือเปล่า?) ไม่อาจรู้ แต่งาน2ชิ้นนี้มีความรู้สึกที่คล้ายกันประมาณนึงเลย
    - สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ Raya ที่ไม่เหมือน 9 ศาสตรา คืองานตัวละครที่เป็นสัตว์ คือ เจ้าตุ๊กตุ๊ก แกงค์ลิง กับมังกร ที่มีความดิสนีย์มากๆ อันนี้โดดเด่นไม่เหมือนใครจริงๆ
    .
    ➡️ Avengers : Infinity War (2018)

    - การที่ Raya หยิบเอาคอนเซป Collecting Mission ที่คล้ายๆกับ Infinity War เคยใช้ คือการรวบรวมไอเทม เป็นหนึ่ง เพื่อหวังผลบางอย่าง มันทำให้มีความรู้สึกว่า มันเชยจัง มันเชยมากๆ ถึงแม้ภารกิจรวบรวมไอเทมมันจะได้ผลกับ Infinity War รวมถึงเอื้อกับการดำเนินเรื่อง เพราะมีหลายเผ่า (การที่ทำให้ไอเทมโดนแบ่งครบตามจำนวนเผ่า แล้วค่อยรวบรวม) ดีตรงที่จะทำให้ตัวละครไปโผล่ในแต่ละเผ่าแน่ๆ แต่ก็จะเป็นสูตรตายตัวเลยคือ ตอนจบต้องครบ ก็นำมาสู่ความเชยอยู่ดี และวิธีการเล่าก็ไม่ได้รู้สึกว่าใหม่อะไร เรียกจะได้ว่าเป็นเส้นตรงมากๆ (ไปทีละเผ่า ทำภารกิจเสร็จ ไปอีกเผ่า)
    - อันนี้ข้อสังเกต ซึ่งนี่มองว่าฉากนี้ตลก คือ ช่วงที่ Raya ต่อสู้กับ Namarri เพราะอะไรไม่รู้ (แกโกรธเรื่อง Namarri ไปยิงธนูใส่มังกร Sisu ซึ่งตัวเองก็ผิด ?) แล้วฉากมันตัดสลับกับ บุญ ,ทอง กับแกงค์ลิง มันช่วยคนโดยเอาเศษลูกแก้ว ส่องใส่พวก Druun แล้วในจังหวะที่สิ้นหวังมากๆ Raya ก็มาช่วยแกงค์นี้สู้กับ Druun ซึ่งในจังหวะที่แต่ละคนโดน Druun ล้อม แล้วกล้องมันแพนไปรอบๆ แม่งเหมือนขบวนการ 5 สี ไม่ก็ Avengers เลย 5555
    - ***เพิ่มเติม /พอมาทบทวน การที่หนังต้องการให้อัญมณีแตกกระจาย อาจหมายถึง จาก1แบ่งเป็น5 จากที่เคยรวมต้องแตกแยก เหมือนในช่วงที่เผ่าเขี้ยวต้องการอัญมณีไปใช้ จนนำมาสู่ความแตกแยกของเผ่าทั้ง 5 เผ่า และการรวบรวมรวม สะท้อนถึงวัฒนธรรมแบบคติรวมหมู่ (Collectivism) ซึ่งตรงข้ามกับปัจเจกนิยม กล่าวคือ วัฒนธรรมแบบคติรวมหมู่ เป็นการที่แต่ละคนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน คอยเกื้อกูลกันและกัน เหมือนการที่ในอดีตแต่ละประเทศในแถบเอเซียมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและการ ทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาและภาษา ซึ่งในตอบจบของเรื่องที่สามารถรวบรวมอัญมณีได้ครบ เพื่อจะสื่อถึงการที่ทั้ง 5 เผ่า กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง นั่นเอง /แต่ประเด็นว่ามันเชย นั่นยังคงยืนยันนะ เพราะเชยจริง ถ้ามีลูกเล่นกว่านี้ จะไม่บ่นเลย ?
    .
    ➡️ Crazy Rich Asian (2018)

    - อันนี้ไม่เกี่ยวกับโปรดักชั่นใดๆ แต่เกี่ยวกับทีมพากษ์เสียง คือจากจำนวนตัวละครทั้งหมดในเรื่อง เหมือนจะมีการใช้ทีมนักแสดงจากหนัง Crazy Rich Asian มาพากษ์ประมาณ 5-6 คน ซึ่งได้ยินเสียงพากษ์ประโยคแรก สมองมันก็คิดถึงหนังเรื่องนี้จริงๆ โดยเฉพาะตัวละคร มังกร Sisu ที่พากษ์เสียงโดยนักแสดงชื่อ Awkwafina แม่งโครตเป็นเอกลักษณ์ เสียงนี้มีคนเดียวในโลก ?
    - พอพูดถึงตัวละคร มังกร Sisu ในความเห็นของผม คือเป็นละครที่มีความน่ารำคาญพอตัวเลยในช่วงแรกของเรื่อง อย่างโทนหนังในช่วงนั้นมีความจริงจังพอควร การปรากฎตัวของมังกร Sisu แล้วมาเล่นบทตลก มันดูขัดกับอารมณ์ที่ควรจะเป็นในช่วงนั้น มีแพทเทินซ้ำๆที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ A : จริงจัง B : จริงจัง Sisu : ตลก มันทำให้เอียนกับความไม่จริงจังหรือมองโลกในแง่ดีที่ดูล้นเกินไปของตัวละคร จนมาถึงช่วงเผ่ากรงเล็บ (มั้ง?) ที่โลเคชั่นเป็นตลาดน้ำ หลังจากตรงนั้นนั่นแหละที่ตัวละคร มังกร Sisu เริ่มดูเข้าร่องเข้ารอย ?
    .
    ➡️ บทส่งท้าย

    - สิ่งที่ชื่นชอบในส่วนอื่นๆของเรื่อง คือ พล็อต ที่เอาความเชื่อใจมาใช้เป็นจุดเปลี่ยน แล้วทำออกมาได้ดี / ภูมิทัศน์ งานกำกับศิลป์ ที่หาข้อมูลมาดีมาก (มีทีมงานจากไทย) แต่ชอบที่สุดคือการนำมา Mix & Match แล้วออกมาดูดีอะ ดูกลมกลืน การออกแบบฉาก ตัวละคร รวมถึงเครื่องแต่งกาย ของแต่ละเผ่า ก็ทำออกมาให้เห็นถึงความแตกต่างได้ดี โดยที่ยังคงคอนเซ็ปภูมิปัญญาเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ได้อยู่ / และอีกหนึ่งเรื่องที่ชอบมากๆ คือ ธีมของโลก Dystopia ที่โดนพวก Druun ครอบงำ และโลก Utopia คือ Kumantra ในกรอบของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาจากเอเซียตะออกเฉียงใต้ ซึ่งทำออกมาได้สุดจริง มีความเป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น เพราะ พูดถึงโลก Dystopia และ Utopia มันก็คิดถึงหนังไซฟายธีมอนาคตใช่ปะ? มันก็ออกแนวๆตึกสูง นีออนๆ แต่เรื่องนี้คือฉีกกฏเลย เป็นการตีความโลกในอนาคตในมิติใหม่ ?
    .
    ℹ โดยรวมถึงหนังจะไม่ได้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ถ้าในแง่มุมหนังเจ้าหญิง ก็ถือว่าหนังเรื่องนี้ให้รสชาติและความรู้สึกในแง่มุมใหม่ๆในหลายแง่มุมนะ เชื่อว่าหลายคนที่ได้ดูได้สัมผัส ต้องรักแน่นอน แนะนำใครสายหนัง Disney ,หนังเจ้าหญิง หรือหนังผจญภัย ห้ามพลาดเลยทีเดียว ?

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in