เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minimore SessionNathasa Disabunjong
Session 01 - Travelogue
  •              ครับ ก่อนที่ผมจะมายืนงงอยู่ตรงนี้ คงต้องเกริ่นสักนิดคือก่อนหน้านี้แม่เสียผมก็ไม่ยอมไปทำการทำงานจนเพื่อนฝูงและเหล่าเจ้านายตามจิกกันให้วุ่น คือจริงๆก็เศร้าแหละแต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้น ผมคงแค่เคว้งละมั้ง เดือดร้อนถึง "นะ" เพื่อนผู้หญิงตัวเล็กที่เป็นคนลากผมออกมาจากกะลาความคิดของตัวเอง "ไปๆ เก็บของเราจะไปบาหลีกัน!"

                กลับมาสู่ปัจจุบันดีกว่า หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่โดนขุดออกมารับแสงตะวันคือผมกำลังยืนอยู่สนามบินในโซนของผู้โดยสารขาออกนะเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างดูจากสภาพผมตอนนี้เธอคงคิดว่าผมคงจัดการอะไรไม่ได้ เครื่องออกตอนสี่โมง เราคงไปถึงสนามบินที่จาการ์ตาประมาณสองทุ่มและต้องรอต่อเครื่องไปสุราบายาอีกสองชั่วโมงคือผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือที่ไหนแล้วไปทำไม เธอบอกให้ไปผมก็ไปละครับจุดนี้ผมได้แต่มองผู้หญิงตัวเล็กเดินไปเดินมาติดต่อนั่นนี่ คุยกับคนโน้นทีคนนี้ทีมาตลอดหนึ่งอาทิตย์เพื่อประสานหาคนมารับพวกเราที่สนามบิน 

                เฟิร์สไทม์อินอินโดนีเซีย โอ้โหมันช่างตื่นตาเสียนี่กระไร ผู้คนยิ้มแย้มทักทายถึงแม้จะพูดคุยกันคนละภาษาดูเป็นมิตรอะไรอย่างนี้ ... แต่ในความเป็นจริงนั้น นี่คือสนามบินในเมืองหลวงจริงดิ ด้วยความที่ไม่มีงวงช้างต่อตรงเข้ากับตัวสนามบินเราเลยต้องเดินลงมายืนงงกันอยู่แปปนึง หันซ้ายหันขวาคือเงียบและวังเวงมาก เอาหน่าคงเพราะยังไม่ได้เข้าไปในตัวสนามบิน ยืนหนาวปลอบใจตัวเองอยู่แปปนึงรถก็มารับเพื่อรอต่อเครื่อง พอเข้าตัวสนามบินมันก็ไม่ได้ศิวิไลซ์ขนาดนั้นไม่ต่างอะไรกับสนามบินดอนเมืองที่ดีกว่าหน่อยและผู้คนก็ไม่ได้แย้มรอยยิ้มให้กันต่างคนต่างเดินชนกันไปชนกันมา ตัวผมเองก็ปวดฉี่จะแย่พอเข้าไปห้องน้ำก็โอ้โห ชิท ! ชิท จริงๆด้วย เละเทะไปหมด ครับ ประทับใจตั้งแต่แรกเริ่มกันเลย !!!

                2 ชั่วโมงอันว่างเปล่าระหว่างผมกับชะนีหนึ่งนาง เท่าที่ผมจับใจความจากการพูดมากของนะแล้วนั้นที่ที่เราจะไปมีชื่อว่า mount bromo คือภูเขาไฟที่เคยระเบิดและปัจจุบันยังไม่ดับ และงานที่ผมได้รับมอบหมายให้ทำในทริปนี้ก็คือการเขียนคอลัมน์

    “อือ ไม่งั้นจะให้มึงมาทำไมมาแล้วต้องได้อะไรสักอย่างสิวะ เขาคงไม่ได้ส่งมึงมาเปืองตังเล่นๆหรอกปะ”

    จริงของมันครับ แต่จากคำพูดของผู้หญิงที่ไม่สมหญิงคนนี้ช่างช่วยให้ผมอยากทำงานกับมันมาก แล้วผมควรเขียนอะไรดีละ ข้อมูลก็มีเท่าหางอึ่ง อินเทอร์เน็ตก็ไม่มี โธ่.... เลยได้แต่นั่งฝันหวานนึกถึงภาพที่แสนประทับใจในห้องน้ำแล้วก็ เอ่อ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราก็มีไรให้เขียนเองแหละ ด้วยตอนมาตัวผมเองก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมตั้งแต่แรกแม่ตายเลยหนีมาเที่ยวจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้างแบบนี้หรอ  ในความเป็นจริงถึงกลับไปแม่ก็ไม่ได้ฟื้นมาต้อนรับผมหรอก ตัวผมเองก็ทำใจได้ในระดับหนึ่งเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติอันนี้ผมเข้าใจดี เพียงแต่รู้สึกเคว้งเฉยๆ กลับมาบ้านแล้วไม่เจอใครคงเหงาซะมากกว่า เอาหน่า ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้า ตบไหล่ตัวเองเบาๆ

               แล้วนี่สรุปว่า ผมควรจะเขียนอะไร..... ไหนๆก็ว่างตั้งสองชั่วโมง จับปากกาเขียนไดอารี่สักหน่อยก็ได้วะ หันไปทางนะเห็นเธอหัวเราะคิกคักก่อนที่จะเขียนอะไรหยุกหยิกอยู่คนเดียว แม่งเพี้ยนไปแล้วรึเปล่า คนอะไรมีความสุขได้ตลอดเวลาแม่งเคยทุกข์บ้างไหมเนี่ยหรือจริงๆเธออาจเป็นคนที่ทุกข์ที่สุดเพียงแต่ซ่อนทุกสิ่งไว้ภายใต้รอยยิ้มสดใส

    เดี๋ยวนะ กูเพ้ออะไรอยู่ !!

    นั่งๆนอนๆรอเวลาขึ้นเครื่องกว่าเครื่องจะออกก็หลับไปหลายตื่นถึงสุราบายาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ไหนว่าอินโดนีเซียอยู่ใกล้เส้นศูนย์ไงแล้วทำไมอากาศมันหนาว นะติดต่อกับบริษัทเช่ารถเพื่อให้เขามารับตั้งแต่อยู่ที่ไทย รู้สึกว่าจะชื่อฟินฟิวหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ว่าแต่เขาจะรู้ไหมว่าพวกเราหน้าตาเป็นยังไงแต่คงหากันไม่ยากหรอก เวลานี้ที่สนามบินนอกเมืองคนโหลวงเหลงสุดๆ ที่นี่ดีอย่างตรงเขาจะไม่ให้คนที่ไม่ได้เดินทางเข้ามาภายในไม่เหมือนอย่างบ้านเราเวลาใครจะไปไหนทีเหล่าญาติพี่น้องเพื่อนฝูงยกโขยงมากันให้วุ่น

                 ก่อนออกจากสนามบิน นะหันมาบอกกับผมว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อุ่นขึ้นหน่อยก่อนเดินทางน่าจะดีกว่าแต่ด้วยสิ่งที่พบเจอมาในห้องน้ำที่จาการ์ตาผมเลยส่ายหัวดุ้กดิ้กไม่เอาดีกว่า  ฟิลบอกกับเราว่าเดี๋ยวต้องไปเปลี่ยนรถเป็นอีกคันตอนถึงรีสอร์ทที่โบรโมเพราะรถคันนี้ไม่สามารถขับเข้าไปในโบรโมได้ อ้าวแล้วทำไมไม่เอาคันนั้นมาให้นั่งตั้งแต่แรก เหมือนฟิลจะอ่านใจพร้อมฟังภาษาไทยออกบอกทันทีที่ผมคิดจบว่าคันนี้นั่งสบายกว่าและเราจะถึงรีสอร์ทประมาณตีสาม ดีครับดีผมนี่เตรียมนอนเต็มที่เดินทางตลอดแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน นอนบนรถก็ยอมละจุดนี้

                 ผิดคาด! ทุกอย่างผิดคาดไปจากที่ผมคิดทั้งหมดทางที่ขับไปนั้นไม่ได้ราบเรียบสวยงาม ถนนนี่เลี้ยวโค้งไปมาจนผมเริ่มเวียนหัว โค้งทางไปปายที่ว่าแน่เจอที่นี่ก็ต้องจอด พลิกนาฬิกาขึ้นมาดูเพิ่งจะตีหนึ่งกว่าๆยังไม่ถึงครึ่งทางเลยก็ว่าได้ หันไปมองนะที่นั่งด้วยกันข้างๆ หลับปุ๋ย มันหลับไปได้ไงวะและการวิงเวียนของผมก็หยุดลงเมื่อพี่คนขับจอดนิ่งอย่างแรกที่ผมทำคือ ....

    เปิดประตูแล้วอ้วก อ้วกแบบหมดไส้หมดพุง นะที่ตอนแรกเหมือนเพิ่งตื่นที่ไหนได้วิ่งลงมาอ้วกเหมือนกันแต่ก็ยังมีอารมณ์มายืนขำผม ฟิลหันมามองพวกเราด้วยสายตางงๆก่อนที่จะพูดเป็นภาษาอังกฤษมาว่า เมารถทำไมไม่บอก !!!! อื้อหือ ขับรถอย่างกับหนีคดี ใครจะกล้าพูดอะไรและแค่กลั้นไม่ให้อ้วกบนรถก็แทบแย่ละ ฟิลขอโทษมายกใหญ่ก่อนยื่นยาซองเล็กๆสีเขียวที่เขียนว่า Gazero มาให้ เป็นยาน้ำที่นอกจากจะอร่อยแล้วยังแก้อ้วกได้อย่างดีเลยครับ สรุปที่เราต้องจอดกันไม่ใช่พักให้ผมอะไรหรอกนะ เปลี่ยนรถ ไหนบอกเปลี่ยนที่รีสอร์ทไง

                 ระหว่างรอเปลี่ยนรถอีกครั้ง นี่ก็ตีสามกว่าแล้วตาผมยังคงสว่างโล่งไม่ได้หลับเลยสักนิดฟิลบอกให้เราพักผ่อนกันก่อนสักตีสี่ค่อยออกเดินทางต่อ ผมนี่ยืนเคว้งเลยครับ หนาว โครตหนาว ฟิลบอกอากาศตอนนี้น่าจะประมาณ สิบองศาเดี๋ยวขึ้นไปโบรโมน่าจะหนาวกว่านี้ ซึ่งคนที่ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับความหนาวอย่างผมก็เหวอสิไม่คิดว่าอากาศจะหนาวขนาดนี้ ส่วนเพื่อนร่วมทางของผมหนะเหรอมันนี่เตรียมชุดอุ่นสบายตัวเรียบร้อยสวยงาม ผมได้แต่รื้อเสื้อผ้าในกระเป๋ามาใส่ซ้อนๆกันแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นมากขึ้นสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าฟิลสงสารหรืออะไรจึงยื่นถุงมือมาให้ผมคู่หนึ่งพร้อมผ้าพันคอ บอกใส่ไว้นะยูเผื่อจะช่วยได้  ถึงจะไม่ได้อุ่นขึ้นอะไรมากแต่ผมต้องขอบคุณในน้ำใจเขามากๆ ด้วยความที่ไม่รู้จะยืนทำอะไรพวกเราเลยไปนั่งเล่นอยู่ในศาลาไม่รู้คนที่นี่เรียกศาลารึเปล่าเอาเป็นว่าเป็นที่นั่งสำหรับพักแล้วกัน 

    “ไอ้นะ ไหนว่าบาหลีไง ไหนทะเลของมึงวะ”ผมเปิดบทสนทนาระหว่างรอ หลังจากสงสัยมานานว่าแม่งจะพากูไปไหนกันแน่วะ

    “เออ บาหลีก็ไป แต่มานี่ก่อนกูเปิดเจอในเน็ตกูว่าที่นี่สวยดีเลยอยากมา เห็นว่าพอมีเวลาก็เลยขอแวะสักหน่อยไหนๆก็มาละ”

    “เป็นทางผ่านหรอ”

    “เอาจริงๆก็ไม่เชิงหวะ ฮ่าๆ  จริงๆเราไปลงบาหลีเลยก็ได้ แต่เลิกสงสัยเหอะเดี๋ยวไปก็รู้เองแหละว่าทำไมกูถึงแวะมา” นี่มันยังกล้าใช้คำว่าแวะอีกเหรอ

    “แล้วเป็นไงมั่งมึง โอเคปะเนี่ย” นะถามผมขณะที่เธอหยิบน้ำออกมาดื่ม มันไปซื้อมาตอนไหนอีก

    “เออ โอเค ไม่อ้วกละ”

    “เปล่า กูถามถึงความรู้สึกของมึงต่างหาก”แล้วที่กูตอบไม่ใช่ความรู้สึกตรงไหนวะ โอเคๆผมพอเข้าใจคำถามของมันอยู่ว่ามันถามถึงเรื่องอะไรจะว่าไปตั้งแต่นั่งเครื่องมาจนถึงตอนนี้ ผมก็แทบไม่ได้รู้สึกหงอย คงเพราะมันมีอย่างอื่นให้ทำมากกว่าการนั่งเฉยๆในบ้านละมั้ง

    “ก็ดี” ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆอย่างมากผมก็แค่คิดถึงแม่......

                 จริงๆผมก็อยากให้มันเป็นโมเม้นแบบนั้นนะแต่ความเป็นจริงก็คือ หลังจากลงจากรถผมก็อ้วกยับไม่มีบทสนทนาใดๆ นะปล่อยผมยืนซึ้งใจกับผ้าพันคอและถุงมืออยู่พักนึง ฟิลก็ต้อนพวกเราให้ขึ้นไปนั่งบนรถจิ๊ปที่เตรียมไว้ให้แล้วก็ขับๆ ต่อไปจนถึงตีนภูเขาไฟโบรโมเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น นี่แหละความเป็นจริง ใจร้ายยยยยยยย

                  เราต้องนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นไปอีกประมาณเกือบชั่วโมงได้แน่นอนผมกับนะยังไม่พูดกันสักคำ หนึ่งผมยังมวนท้องอยู่ สองนะก็กำลังแหวกฝูงคนเพื่อหาทำเลถ่ายภาพที่ดีที่สุดไปลงคอลัมน์ผมก็ควรเอาเยี่ยงอย่างบ้างสิ ว่าแล้วหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปสักหน่อยก่อนจรดปากกาลงกระดาษ

    เงยหน้ามาอีกทีก็ตอนที่นะมาปลุก ผมเขียนได้สองบรรทัดก็จมดิ่งหลับลึกไปเลย ตื่นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็ขึ้นไปแล้วจนนะเธอเก็บของเสร็จสรรพเตรียมจะกลับไปที่รถนี่กูนั่งรถมาเพื่ออะไรเนี่ย

    “มึงแม่งไม่สุนทรีเลย” นี่คือคำพูดทิ้งท้ายของนะก่อนแม่นางจะจรลีหายไปอีกรอบ

                 แต่ถึงแม้พระอาทิตย์จะขึ้นไปแล้วผมก็ยังทันได้เห็นความสวยงามของมันนะปากปล่องภูเขาไฟที่มีแสงแดดลอดผ่านม่านหมอกจางๆ หวังว่าชีวิตผมพอจะมีแดดส่องมาให้เห็นบ้างก็คงดีอะไรจะหม่นขนาดนั้น!! ได้แต่ส่ายหัวให้กับความคิดไร้สาระของตัวเองก่อนจะเดินตามผู้หญิงตัวเล็กที่เดินนำลิ่วไปโน้นแล้วแถมยังทิ้งขาตั้งกล้องให้แบกอีก

                 หลังจากดูทิวทัศน์อันสวยงามจนพอใจฟิลขับพาเราไปที่ต่างๆรอบภูเขาไฟ จอดให้ผมกับนะขี่ม้าขึ้นปากปล่อง เพื่อชมมุมมองต่างๆจากที่ง่วงๆประสาทรับรู้ต่างๆของผมก็ตื่นขึ้นทันทีที่ได้พินิจสิ่งรอบตัวอย่างตั้งใจผมคงเอาแต่สนใจดูตัวเองจนมองข้ามสิ่งรอบตัว นะดูมีความสุขกับที่นี่มากเห็นได้จากการที่เธอถ่ายภาพไม่ยอมหยุดยิ้มไม่หุบ นะบอกที่นี่อากาศดีธรรมชาติสวยผู้คนน่ารักง่ายต่อการพูดคุยก็จริงของเธอหากผมมองในแง่ดีได้สักครึ่งหนึ่งตัวผมเองอาจจะมีความสุขไม่เอาแต่บ่นในใจแบบนี้ก็ได้หรือจริงๆแล้วไอ้นะมันก็บ่นในใจแบบผมอยู่เหมือนกันวะ

                  ที่นี่ธรรมชาติแปลกตามีภูเขาไฟตั้งตระหง่านพร้อมกับป่า ทุ่งหญ้าที่เกือบจะเป็นสะวันนา และทะเลทรายสีดำแถมอากาศก็หนาวไม่ร้อนเลยสักนิดถึงแม้จะเที่ยงกว่าแล้วก็ตาม นะหันมาบอกกับผมว่าคืนนี้เราจะเดินทางต่อไปอีกเมืองเพื่อที่ตอนเช้าจะขึ้นเรือข้ามไปเกาะบาหลีแต่ในระหว่างนี้ช่วงบ่ายเขาจะพาไปน้ำตก ความรู้สึกผมตอนนี้คือชะโงกทัวร์มากๆแวบไปนั่นแวบไปนี่ แต่สนุกดีนะผมไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่จบมหาลัยนี่รึเปล่าที่เขาเรียกสีสันชีวิต แต่การนอนบนรถนี่ก็จะสีสันมากไปละ ไม่ได้ดูสังขารกันบ้างเลย

                  ในช่วงเช้าฟิลพาพวกเรามาน้ำตกบอกเลยว่าจำชื่อไม่ได้ชื่ออย่างยาก แล้วกว่าจะเจอก็ต้องใส่เสื้อคลุมฝนเดินเท้าฝ่าเข้าป่าไปอีกแต่ยอมรับว่ามันสวยจริงๆ น้ำตกสูงจนต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่าละอองน้ำที่ตกลงกระทบหินกระจายฟุ้งผ่านแสงจนมีสายรุ่งให้เราได้เชยชมหากหลับตาลงเราจะได้ยินเสียงของน้ำที่ไหลอย่างไม่ขาดสายลมที่พัดผ่านต้นไม้จนเกิดเสียง เสียงที่มีแต่ธรรมชาติเท่านั้นจะสรรสร้างออกมาได้และจะดีกว่านี้ถ้าหากผมไม่ตกใจเสียงเด็กที่กำลังเล่นน้ำกรี๊ดอยู่จนผมตกจากหินตัวเปียกโชกประสบการณ์ที่ดีได้เล่นน้ำไกลถึงอินโด แหมจะว่าไปชีวิตเราก็น่าอิจฉาใช่เล่นนะเนี่ย

                   เปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นรถเสร็จสรรพนะก็จับผมกรอกยาเลยทันทีหลังทานข้าวจากร้านข้างทางแถวๆนั้นแน่นอนว่าโดนยาไปสองเม็ดบวกกับการไม่ได้พักผ่อนเกือบสองวันเลยทำให้ผมหลับเหมือนตาย ตื่นมาก็ถึงท่าเรือแล้ว ฟิลมาส่งเราได้แค่นี้ต่อจากนี้ผมกับนะต้องหารถต่อเอาเองที่บาหลี และเหมือนฟ้าจะเห็นใจตรงที่ฟิลจอดให้เราลงนั้น มีรถสาธารณะรอรับเราขึ้นไปพอดีคงเหมือนสองแถวบ้านเราเวลาไปเที่ยวเกาะต่างๆแต่ที่นี่เราสามารถเลือกขึ้นได้ตั้งแต่อยู่บนเรือพอไปถึงเกาะบาหลีเราจะได้ไม่ต้องไปเดินหารถและผมเชื่อแล้วว่าที่นี่เสรีในการสูบบุหรี่จริงๆ เพราะคนที่นี่เขาสูบกันแม้กระทั่งบนรถโดยไม่แคร์คนที่นั่งมาด้วยกันสักนิดถึงแม้ตัวผมเองจะสูบแต่เจอแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน อากาศมันไม่ถ่ายเทและเขาสูบบุหรี่กันจัดมากมวนต่อมวนไม่พักสักนิดก็เข้าใจว่าที่นี่บุหรี่ถูกคิดเป็นเงินไทยก็ไม่เกินสามสิบบาทแต่พี่ครับพักบ้างก็ได้ ผมทนดมไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เหมือนจะไม่ได้มีแค่ผมที่คิดแบบนี้เพราะสุดท้ายคนชาติเดียวกันนี่แหละที่เป็นคนบอกให้พี่เขา "หยุดสูบเถอะกูไม่ไหวจะดมมึงละนะ" อันนี้ผมคิดเอาเอง

                   เราน่าจะถึงเกาะบาหลีก็คงเกือบบ่ายสองทั้งๆที่ห่างกันนิดเดียวแท้ๆ นะปล่อยให้ผมยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือซึมซับอะไรไปพลางๆเธอคงคิดว่าผมน่าจะมองเห็นอะไรสักอย่างถ้าหากได้อยู่คนเดียว  ตรงหน้าผมคือเกาะบาหลีเรากำลังอยู่บนเรือที่ค่อยๆฝ่าคลื่นลมทะเลไปอย่างช้าๆถ้าผมเปรียบเกาะเป็นเสมือนเป้าหมายของผม ตอนนี้ก็คงเป็นจุดที่เรากำลังฝ่าฟันกับมันอยู่แต่ใจก็ร้อนเกินกว่าที่จะรอ อยากที่จะไปถึงจุดนั้นเร็วๆถ้าอยู่ในสนามแข่งผมคงกำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตให้ไปถึงเส้นชัยในทางกลับกันโลกของความเป็นจริงเราต้องพึงพาเวลาเพื่อให้ตรึกตรองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนการก้าวเดินแต่ละก้าวถึงจะมั่นคง ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมก้าวเดินช้าไปหรือเร็วเกินไปกันแน่

    “เฮ้ย คิดไรอยู่” นะเดินมาหาผมพร้อมคำถามผมได้แต่ปรายตาไปมอง

    “คิดว่ามึงคงทำถูก ที่พากูมานี่ด้วย ขอบใจ”

    “คิดได้แค่เนี้ย”

    “ยังไม่รู้แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็มีงานเขียนที่รอกูอยู่”

    “ฮ่าๆ เขียนเป็นเรื่องสั้นเลยก็ได้นะมึงคนอื่นๆรออ่านอยู่”

    “อ้าว แล้วคอลัมน์อะ กูไม่ต้องเขียนรึไง”

    “เขียนสิวะ แต่ก็เผื่อมึงอยากสานต่องานเขียนอะไรงี้ กูก็แค่แนะเป็นแนวทางกูคนนึงละอยากอ่าน ถ้ามึงเขียนนะ”

    ผมได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดของนะเธอรู้ว่าผมอยากเขียนเรื่องสั้นให้จบสักเรื่อง แต่ก็ไม่เคยทำได้สักทีนี่คงเป็นอีกโอกาสหนึ่งของผมที่เธอได้หยิบยื่นมา ไม่ใช่แค่นะสิทุกๆคนในออฟฟิตเลยก็ว่าได้ ที่อดทนกับผมมาขนาดนี้

    “ไอ้นะ พอถึงบาหลีแล้ว เราลองแยกกันไปดีปะ มึงก็ไปในที่ๆมึงแพลนไว้ส่วนกูก็จะลองเดินสุ่มเอาว่าจะเจออะไร แล้วค่อยไปเจอกันที่โรงแรม มึงจดชื่อมา”

    “เออๆ แล้วแต่มึงละกัน มึงเลือกเองนะ”

    “เออ ครั้งนี้กูเลือกเอง” นะหันมามองหน้าผมนิดนึงก่อนจะควานหากระดาษกับปากกามาจดที่ตั้งของโรงแรมให้กับผมเอาวะ ลองดูไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว จะมาพึ่งยัยเตี้ยนี่ทำไมตลอดเวลาในเมื่อมันยังเอาตัวรอดได้ผมผู้ชายตัวอย่างควายทำไมจะไปไม่รอด จะไปหาชายหาดสวยๆสักที่วิ่งลงน้ำเล่นเสิร์ฟให้ตัวเปื่อยไปเลย

                    หลังจากที่นัดแนะกันเสร็จสรรพผมก็เริ่มแพลนที่ไม่มีแพลนของผมทันที ใช้ชีวิตแบบอิมโพรไวท์บางทีก็ดีเหมือนกัน คิดคำพูดสวยหรูให้ตัวเองได้ดังนั้นแล้ว ก็เริ่มเลยสิครับเวลาบ่ายสองโมงกับการยืนเหวออยู่ริมถนนในต่างแดนไม่ใช่เรื่องสนุกอย่างที่คิดทะเลไปทางไหนเป็นคำถามแรกในหัวของผม ที่วาดฝันไว้กับความเป็นจริงนี่มันคนละเรื่องแผนที่อะไรก็ไม่มีจะมานั่งหาไวไฟในที่แบบนี้ก็ยากเหลือเกิน นะบอกกับผมตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าให้ซื้อซิมอินเทอร์เน็ตของที่นี่จะได้ง่ายต่อการเดินทางผมก็ชะล่าใจเกินไปคิดว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวค่อยหาไวไฟ เอาเข้าจริงตอนนี้ผมโครตคิดถึงนะเลยครับ

                   เดินเลาะถนนถามทางคนแถวนั้นได้สักพักก็พอจับใจความได้ประมาณว่าถ้าเดินไปตามถนนเส้นนี้จะเจอหาดกูตาไอ้ครั้นจะให้ผมเดินเคว้งต่อก็ไม่น่าจะรอดเลยตัดสินใจเดินหลบเข้ามานั่งในร้านกาแฟมองคนนู้นคนนี้เดินผ่านไปมา จนแล้วจนรอดอดรนทนไม่ไหว โบกแท็คซี่กลับโรงแรม ไหนตอนแรกว่าจะอิมโพรไวท์ไงวะพอเจอสถานการณ์จริงแม่งก็ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเกาะนี้รู้แค่ว่ามีทะเลแต่สถานที่ก็กว้างเกินกว่าที่จะไป สุดท้ายตัดใจกลับมาตายรัง

                    ถ้าเป็นเรื่องสั้นผมจะเขียนเรื่องในวันนี้ยังไงมันดูไม่มีอะไรเลย อย่าว่าแต่เรื่องสั้นให้ผมเขียนคอลัมน์ก็ยังคิดไม่ออก ได้แต่นั่งทบทวนว่าพาตัวเองมาทำอะไรที่นี่ เวลาว่างแบบนี้ทำให้ผมได้ย้อนอ่านไดอารี่ที่จดไว้ว่ามีอะไรพอจะให้เขียนบ้างรึเปล่าและผมได้อะไรจากตรงนี้ เริ่มรวบรวมสติ ค้นคว้าหาข้อมูลพร้อมจรดปากกาลงบนกระดาษกรั่นกรองเป็นถ้อยคำออกมา 

    ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นะเดินมาเคาะประตู เราเหลือเวลาอีกหนึ่งวันกับการอยู่ที่บาหลีตามกำหนดการเราสองคนต้องกลับไทยในวันพรุ่งนี้แล้ว

    “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไหนว่าจะเดินเที่ยวไม่ใช่หรอ”

    “กูหลง”

    “กูว่าละ”

    การออกมาเดินหาไรกินกับนะในตอนนี้ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาหน่อยอย่างน้อยก็ไม่รู้สึกเคว้งเท่าตอนอยู่คนเดียวผมนับถือเธอจริงๆกับการเดินทางคนเดียวแบบนี้

    “มึงไปไหนมาบ้างวะนะ”

    “ก็ตามแพลนอะมึง ไปโฮลี่สปริง ไปดูระบำของบาหลีไปวัดไรเทือกๆนั้นอะ”

    “ไปคนเดียวไม่เหงาหรอวะ”

    “เหงาดิ แต่ใครจะมาอยู่กับเราได้ตลอดเวลาวะ”

    พูดไม่ทันขาดคำแม่งก็นำลิ่วไปคนเดียวเลย เออไม่มีใครอยู่กับมึงได้ตลอดเวลาแต่เวลานี้กูอยู่กับมึงนะโว้ยจะรีบเดินไปไหนของมันวะ

                     สุดท้ายวันต่อมาผมก็ศิโรราบยอมไปตามแพลนที่นะเป็นคนวางไว้วันนี้เราได้ไปดูวิถีชีวิตท้องถิ่นของคนที่นี่ การทำการเกษตรต่างๆทำนาขั้นบันไดและกาแฟขี้ชะมดอันโด่งดังของเขาแทบจะเรียกว่าไม่ได้มานี่ถือว่ามาไม่ถึงบาหลีกันเลยทีเดียวและยังคงหนีไม่พ้นวัดต่างๆที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เจอแต่ที่ผมชอบก็เห็นจะเป็นวัดที่อยู่กลางทะเลเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยังคงอยู่แม้จะถูกกัดกร่อนจากน้ำทะเลแต่ก็ยังคงตั้งตระหง่านเชื้อเชิญให้เราเข้าไป และในเย็นวันนั้นผมถึงได้นั่งมองทะเลอย่างเต็มๆตาสักทีพระอาทิตย์ค่อยๆลาลับสายตาจากเราไปยังตราตรึงใจผมไม่หายไม่รู้มันต่างจากการดูพระอาทิตย์ตกที่อื่นยังไง แต่ในวันนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันสวยกว่าที่เคย

    “ไปเว้ย ได้เวลากลับแล้ว โบกมือลาบาหลีซะมึง”

                    ผมว่าผมไม่ได้กำลังจะลาจากที่นี่นะ เหมือนเราเพิ่งจับมือทักทายกันอย่างจริงจังมากกว่า ไม่รู้ว่าติดใจอะไรที่นี่นักหนาแต่ผมยังไม่อยากกลับ  คงต้องขอบคุณนะที่ชวนมาถึงแม้ผมจะยังไม่รู้ว่าได้อะไรกับการมาในครั้งนี้บ้าง แต่ผมว่านะรู้ว่าผมได้อะไรกลับไป ไม่มากก็น้อย  และอย่างน้อยตอนนี้ก็มีเธอที่รออ่านหนังสือที่เป็นชื่อของผม

                   ผมได้ยืนมองนะค่อยๆเดินกลืนไปกับผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในสนามบินเวลานี้ เธอหันกลับมาส่งยิ้มให้ในแบบเดียวกับที่เธอเคยยิ้ม

    “มึงเลือกแล้วใช่มั้ย” เธอตะโกนถามผมอีกครั้ง

    ผมได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้ากลับไปให้เธอ ผมว่าผมเจอจุดเริ่มต้นทางเดินของตัวเองแล้วแหละ .... :)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in