🎫 เวลาจัดแสดง : 27 ตุลาคม 2567 รอบ 19:30
📍สถานที่ : Lido Connect Hall 1
🚈 การเดินทาง : BTS สายสีเขียวอ่อน สถานีสยาม
เมื่อเดือนที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปงานคอนเสิร์ต Always With Me : An instrumental concert ที่จัดขึ้นที่ Lido Connect Hall ใกล้ ๆ กับ BTS สยาม เหตผลหนึ่งที่เราได้ไปคอนเสิร์ตนี้เนื่องจากต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายในวิชาสังคีตนิยม เลยเริ่มค้นหาดูว่าในช่วงนั้นมีคอนเสิร์ตหรือการแสดงดนตรีสดอะไรน่าสนใจบ้าง จึงได้มาเจอคอนเสิร์ตนี้ที่เป็นคอนเสิร์ตแสดงดนตรีจากหนังของ Studio Ghibli ซึ่งเป็นค่ายหนังที่เรารวมถึงอีกหลาย ๆ คนชื่นชอบ เรื่องที่เราชอบเป็นพิเศษและตั้งตารอที่จะไปฟังในคอนเสิร์ตคือ Spirited Away, Howl’s Moving Castle และ Whisper of The Heart ในบล็อกนี้เราเลยอยากมาเล่าให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้าง
เริ่มจากสถานที่แสดง ด้วยความที่จัดที่ Lido Connect Hall การเดินทางเลยสะดวกมาก ๆ สามารถนั่ง BTS มาลงสถานีสยามได้เลย วันนั้นเรามีเรียนที่มหาลัยอยู่แล้วก็สามารถเดินจากคณะไปที่ลิโด้ได้เลยเหมือนกัน เมื่อไปถึงแล้วสถานที่จัดแสดงจะอยู่ชั้นสอง เดินขึ้นบันไดไปก็จะเห็นป้าย backdrop ของคอนเสิร์ตเลย ส่วนทางด้านขวามือก็จะเป็นโต๊ะสำหรับประชาสัมพันธ์และลงทะเบียนรับบัตรเข้าชมคอนเสิร์ต ด้านในฮอลจะเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดไม่ใหญ่มาก ที่นั่งเป็นแบบสโลปทำให้ต่อให้นั่งบัตรที่ราคาถูกกว่าก็ยังเห็นชัดไม่โดนบัง มีเวทีสำหรับแสดงอยู่ด้านหน้าสุด และมีจอฉายหนังไว้ใช้สำหรับเปิดภาพพื้นหลังและขึ้นคำแปลภาษาอังกฤษเมื่อมีการบรรยาย
ทุกคนคงสงสัยกันใช่ไหมว่า instrumental concert จะมีการบรรยายอะไร ก็คือตัวคอนเสิร์ตนี้เนี่ยจะแบ่งหลัก ๆ ออกเป็นสองช่วง คือช่วงเล่นดนตรีและช่วงเล่าเรื่องโดย narrator
ช่วงที่เล่นดนตรีจะดำเนินโดยนักดนตรีวง Bloom Trio เป็นวงที่ประกอบด้วยนักดนตรีหญิง 3 คน ได้แก่ คุณพีช สุพัชชา เป็นนักเปียโน คุณกวาง อารยา นักฟลูต และสุดท้ายคือ คุณวิว อธิยา นักไวโอลิน ทั้ง 3 คนเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเดียวกัน แต่มาเริ่มทำวงนี้ตอนที่ทุกคนได้รู้จักกันแล้วเมื่อทำงานที่เดียวกัน ในช่วงที่เล่นดนตรีจะมีบางเพลงที่มีนักร้องมาร้องเสริมด้วย คือ คุณคิมิโกะ มัชฌิมา ดนตรีที่เล่นจะแบ่งเป็นเซ็ตโดยแต่ละเสร็จจะมี theme ว่าต้องการจะสื่ออารมณ์ด้านไหน แต่ละเซ็ตจะมีประมาณ 2-3 เพลง เมื่อจบแล้วจะมีการบรรยายคั่นสั้น ๆ เนื้อหาของการบรรยายจะเกี่ยวกับประวัติของ Studio Ghibli ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการสร้างภาพยนตร์ จุดที่เริ่มประสบความสำเร็จ วิกฤตที่เป็นผลกระทบจากภัยพิบัติในญี่ปุ่น ไปจนถึงตัวตนของ Studio Ghibli ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าเนื้อหาที่ใช้บรรยายมีหลากหลายอารมณ์มาก ที่น่าสนใจคือเวลาที่บรรยายผู้บรรยายไม่เพียงบรรยายปากเปล่าแต่มีการเน้นคำ การเว้นจังหวะ การใช้เสียงที่สอดคล้องไปกับอารมณ์ต่าง ๆ ของเนื้อหา รวมถึงมีการบรรเลงเปียโนประกอบให้เข้ากับเนื้อหาและบรรยากาศ เราว่าตรงนี้เป็นกิมมิคหนึ่งของงานที่น่าจดจำมากและตัวดนตรีประกอบตรงนี้ก็ยิ่งทำให้อินกับเนื้อหามากยิ่งขึ้นอีก เพลงทั้งหมดที่ใช้ในการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้มี 17 เพลง จากภาพยนตร์ทั้งหมด 11 เรื่อง ใช้เวลาประมาณเกือบ ๆ สองชั่วโมง การแสดงจึงถูกแบ่งเป็นครึ่งแรกกับครึ่งหลังเพื่อให้ผู้ชมและนักดนตรีได้มีเวลาพัก 15 นาทีด้วย ส่วนด้านล่างนี้จะเป็นลิสต์รายชื่อเพลงทั้งหมดในคอนเสิร์ต
(ภาพจาก https://www.ticketmelon.com/the-showhopper/alwayswithme)
หลังจากที่ได้ชมการแสดงแล้วเรารู้สึกประทับใจมาก ๆ โดยเฉพาะดนตรีจากทั้งสามเรื่องที่เราตั้งใจไปฟัง อย่างแรกเลยคือเราดีใจมากที่คอนเสิร์ตนี้เล่นเพลงจาก Whisper of The Heart ด้วย เพราะถ้าเทียบกับหนังเรื่องอื่น ๆ เรื่องนี้จะได้รับความนิยมไม่มากเท่าเลยหาจะไรที่เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้ค่อนข้างน้อย เพลง Take Me Home Country Road ที่เลือกนำมาแสดงเองก็เป็นเพลงหลักของเรื่อง ในคอนเสิร์ตตอนที่แสดงเพลงนี้มีคุณคิมิโกะมาร้องด้วยยิ่งทำให้บรรยากาศคล้ายกับซีนในภาพยนตร์มาก ๆ ที่ทั้งสนุกสนานและอบอุ่น ทั้งสองเพลงของ Spirited Away เองก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ แต่บทเพลงที่ประทับใจเราที่สุดในคอนเสิร์ตนี้ขอยกให้เป็น Merry Go Round of Life
Merry Go Round of Life เป็นบทประพันธ์ดนตรีที่ประพันธ์โดย Joe Hisaishi ศิลปินชาวญี่ปุ่น เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง Howl’s Moving Castle ซึ่งออกฉายครั้งแรกในปี ค.ศ.2004 และเป็นหนึ่งภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางของ Studio Ghibli
ในคอนเสิร์ตครั้งนี้เพลง Merry Go Round of Life ถูกนำมาบรรเลงเป็นเพลงสุดท้ายก่อนจบช่วงแรก เราคิดว่าการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี 3 อย่างที่ต่างประเภทกันเป็นเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหลมากของคอนเสิร์ตนี้ ปกติแล้วส่วนใหญ่เพลงนี้จะใช้เปียโนเป็นตัวขึ้นนำ แต่ในคอนเสิร์ตนี้วง Bloom Trio เลือกใช้ไวโอลินร่วมด้วยและให้ไวโอลินเล่นเมโลดี้หลักทำให้ท่อนเปิดของเพลงนี้ให้ความรู้สึกเหงาและโหยหามากกว่าเดิม หลังจากนั้นจึงมีฟลูตค่อย ๆ เสริมและค่อย ๆ fade ไปท่อนถัดไปด้วยเปียโนเป็นตัวเชื่อม ท่อนตรงนี้ฟลูตจะขึ้นมาเล่นเป็นเมโลดี้หลักแทน ส่วนเปียโนและไวโอลินจะเล่นเป็นจังหวะแบบ waltz คือ 1-2-3 1-2-3 สั้น ๆ เร็ว ๆ วนไปเรื่อย ๆ ทำให้อารมณ์ของเพลงเปลี่ยนมาสดใสและดู festive ขึ้น หลังจากนั้นฟลูตและไวโอลินก็จะสลับเล่นเมโลดี้หลักในท่อนอื่น ๆ บ้างแต่โดยส่วนใหญ่แล้วเปียโนจะยังคงจังหวะ waltz ไว้อยู่ เรามองว่าจังหวะนี้สื่อถึงการเคลื่อนที่ของหม้าหมุนที่สม่ำเสมอและเปรียบได้กับการดำเนินไปของชีวิตที่ไม่ว่าเมโลดี้หลักจะให้อารมณ์ความรู้สึกแบบไหนชีวิตก็ยังคงดำเนินไปต่อเสมอ และในตอนสุดท้ายทางวงจะใช้เปียโนและไวโอลินเป็นหลักในการส่งให้จบบทเพลง
ส่วนตัวเราไม่ค่อยได้ฟัง instrumental music บ่อย การได้ไปคอนเสิร์ตในครั้งนี้เลยเป็นโอกาสและเป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับเรา ผู้บรรยาย นักร้อง และนักดนตรีทุกท่านถ่ายทอดเนื้อหาและอารมณ์ผ่านการบรรยายและบทเพลงออกมาได้ดีมาก ๆ รวมถึงผู้จัด The Showhopper เองก็คอยบริการด้วยความสุภาพตลอดทำให้รู้สึกประทับใจกับงานในครั้งนี้มาก ๆ ถ้ามีโอกาสเราเองก็อยากไปชมคอนเสิร์ตของวง Bloom Trio รวมถึงงานอื่น ๆ ที่ The Showhopper จัดอีกครั้งเหมือนกัน สุดท้ายนี้ขอลาไปด้วยภาพบรรยากาศจากในงานนะคะ (ทางคอนเสิร์ตอนุญาตให้ถ่ายภาพระหว่างแสดงได้)
จัดทำโดย นางสาวอมราพร สำเนียง รหัสนิสิต 6640277122
เป็นส่วนหนึ่งของงานในวิชา 2737110 สังคีตนิยม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in