Title: Years of dark, it’s morning at last
Pairing: Theseus x Newt
Tag: #cashmerefiction
นิวท์ สคามันเดอร์เสียตาซ้ายไประหว่างที่ไล่จับมังกรป่าในโรมาเนีย
เขาไม่เคยลืมรสสัมผัสตอนที่ถูกเจ้าฮังการีหางหนามฟาดเข้าที่ศีรษะเลย—ไม่มีทาง
ความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างกายซีกซ้าย
โลกหมุนกลับตาลปัตร
ทัศนวิสัยกลายเป็นภาพเบลอจัดซ้อนทับกันไม่รู้จบ
ทีแรกนิวท์เข้าใจว่าเป็นเพราะเลือด ผสมกับเสียงกรีดร้องอื้ออึ้งอีกสักสองถึงสามหน่วย สมองของเขาถึงได้ทำงานผิดพลาด
จำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากล่อมมังกรที่กำลังโกรธจัดให้สงบลงได้อย่างไร
รู้ตัวอีกทีมันก็ยอมล่าถอย
เจ้าฮังการีหางหนามพ่นควันร้อนกรุ่นออกจากจมูก
สะบัดศีรษะ
ม้วนตัว
สยายปีกคำรามเสียงก้องก่อนโผบิน
นิวท์ถอนหายใจ
ทิ้งร่างกายที่หมดสภาพนอนราบไปกับพื้นดิน
หลับตาลงเพียงชั่วขณะที่เงาดำของมังกรทาบทับ
แล้วสัตว์วิเศษก็จากไปพร้อมกับการมองเห็นของเขา
นิวท์ใช้เวลาพักรักษาตัวอยู่ในเซนต์มังโกร่วมเดือนเศษๆ
ผู้บำบัดลงความเห็นว่าตาซ้ายของเขาไม่มีทางกลับมาใช้งานได้เหมือนเก่า
พวกเขาทำได้ดีที่สุดคือรักษาและตกแต่งให้บาดแผลดูไม่น่ากลัวเกินไปนักเมื่อต้องมองด้วยตาเปล่า
มีบางครั้งที่นิวท์คิดว่าตัวเองเห็นแสงวูบวาบผ่านดวงตาข้างที่บาดเจ็บ
จุดประกายความหวังเพียงชั่วครู่
ผู้บำบัดแจงว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอยู่สักสองถึงสามอาทิตย์ก่อนที่เขาจะมองไม่เห็นอะไรเลย
—ถาวร
ความจริงข้อนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นซาลาแมนเดอร์ที่อาศัยอยู่ในกองไฟที่กำลังมอดดับ
นิวท์ยังคงทำงานอยู่ที่สำนักควบคุมและวิจัยมังกร
เขาเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์วิเศษพื้นถิ่น แน่นอนว่าการมีดวงตาเพียงข้างเดียวย่อมทำให้อะไรๆ ลำบากมากกว่าเก่าสักหน่อย แต่นิวท์ก็ยังไม่มีความคิดที่จะออกจากงานเร็วๆ นี้ แม้ว่าพักหลังเขาจะหมกมุ่นกับการเขียนหนังสือมากก็ตาม
ยอมรับว่ามีบางคืนที่ฝันร้ายวนเวียน
เปลวเพลิง
ความเจ็บปวด
กัดกิน
แต่ถึงอย่างนั้นการใช้ชีวิตด้วยดวงตาเพียงข้างเดียวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนิวท์ สคามันเดอร์เลย
—ไม่จนกระทั่งวันที่เขาพบกับธีซีอุส สคามันเดอร์อีกครั้ง
นิวท์ยืนเคว้งอยู่กลางร้านน้ำชาของมาดามพุดดิฟุต
ใครจะคิดว่าการออกมาเที่ยวเตร่ที่ฮอกมี้ดส์หลังเลิกงานจะกลายเป็นการพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนได้
“ไง”
ธีซีอุสยืนอยู่ตรงนั้น
เข้มแข็งและสง่างามชั่วกัลป์เหมือนในความทรงจำ
เขาทำได้เพียงเผยอริมฝีปาก
เปิด
ปิด
ซ้ำไปซ้ำมา
สุดท้ายก็เปล่งเสียงตลกๆ ออกมาแทนที่จะเป็นคำทักทายง่ายๆ ให้พี่ชายหัวเราะเบาๆ
ความสัมพันธ์ของเขากับพี่ชายออกจะซับซ้อนอยู่สักหน่อยเมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าเราไม่ได้เจอหน้ากันตั้งแค่คริสต์มาสปีก่อน ทั้งที่สำนักงานใหญ่มือปราบมารและกองออกระเบียบและควบคุมสัตว์วิเศษอยู่ห่างกันแค่หนึ่งชั้นกั้น
นิวท์แสร้งทำเป็นไม่รู้ความจริงข้อนั้นและหาเรื่องหลบหน้าธีซีอุสทุกครั้งที่สบโอกาส
ครั้งหนึ่งเขาเคยยื่นเรื่องเพื่ออยู่ที่ต่างประเทศนานขึ้นอีกสัปดาห์เพียงเพราะไม่อยากกลับบ้านในช่วงเทศกาลสำคัญของปี
มันก็แค่—
—แค่
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะนิวตัน”
เป็นอีกครั้งที่พี่ชายเอ่ยคำทำลายความเงียบ
สายตาและรอยยิ้มทำเขานิ่งงัน
ปล่อยให้อีกฝ่ายถือวิสาสะถอยร่นระยะห่างระหว่างเรา
เชื่องช้า
อ่อนโยน
ตอนที่รู้ตัวอีกครั้งนิวท์ก็จมหายไปในอ้อมแขนของปีศาจนักกอดแล้ว
ทั้งกลิ่นหอม
สัมผัส
ความปลอดภัยที่คุ้นเคย
นิวท์ไม่รู้เลยว่าเขาเผลอแสดงปฏิกริยาแบบไหนไป ธีซีอุสถึงได้กระซิบแผ่วเบาข้างใบหูด้วยถ้อยคำเหล่านั้น
“ฉันรู้—ฉันรู้ ฉันก็คิดถึงนายเหมือนกัน”
“ซีลอนไหม หรือว่าดาร์จีลิ่ง แต่ฉันคิดว่าอัสสัมออกจะเข้มเกินไปสักหน่อยถ้าดื่มตอนนี้น่ะนะ—ว่าไงนิวตัน?”
นิวท์ควรปฏิเสธ อ้างว่ามีงานหรือติดภารกิจด่วนอย่างที่เคย แต่ก็ไม่ได้ทำ
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้
ภาพของธีซีอุสที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชวนให้นึกถึงวันเก่า
นานมากแล้วเราที่ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างนี้
“เอิร์ลเกรย์ใส่นม—ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป”
คนถูกถามพึมพำตอบเสียงเบา
“แล้วก็สโคน—“
“อ่าใช่—ฉันน่าจะรู้”
ธีซีอุสยิ้ม
สดใสและอบอุ่น
มันไม่เคยเปลี่ยน
เช่นเดียวกับรสนิยมเรื่องชาของเขา
เราทั้งคู่เก่งเรื่องแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นการพบปะที่แสนสงบและเรียบง่ายอย่างเหลือเชื่อ
พี่ชายเงียบ เขาก็เงียบ
ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้เวลาไหลผ่าน
แล้วความกระอักกระอ่วนค่อยคืบคลานตอนที่นิวท์สังเกตว่าธีซีอุสกำลังจ้องรอยแผลเป็นเขม็ง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำถามใด
นอกเสียจาก—
“สโคนกำลังดีไหม มาดามพุดดิฟุตบอกฉันว่าเธอเพิ่งปรับสูตรเล็กๆ น้อยๆ กลัวว่ารสจะไม่คุ้นปากนาย”
เขากะพริบตาด้วยรู้สึกงุนงงมากกว่าอย่างอื่น
พอตั้งสติได้ก็พยักหน้ารับหงึกหงัก
“ก็ออกจะประหลาดอยู่บ้าง—แต่ในทางที่ดี”
ธีซีอุส่งเสียงรับคำในลำคอ
นิวท์ค้นพบว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปในท่าทีของอีกฝ่าย
ความลังเล
การถนอมน้ำใจ
หลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องประเด็นสำคัญ
ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
ชาในกาพร่องลงมากแล้วตอนที่พี่ชายเปิดประเด็นสนทนาอีกครั้ง
“ได้ยินว่านายเพิ่งกลับมาจากอเมริกา”
ธีซีอุสเว้นจังหวะยกชาขึ้นจิบก่อนพูดต่อ
“ลือกันให้ทั่วเรื่องนกยักษ์ที่นายช่วยไว้”
เขาพยักหน้ารับ
“ธันเดอร์เบิร์ด”
“ไม่ยักรู้ว่านั่นอยู่ในความดูแลของนายด้วย”
“สัตว์วิเศษทุกตัวก็อยู่ในความดูแลของฉันหมดนั่นแหละ“
“อ้อ—”
พี่ชายขานรับก่อนพูดต่อ
“นั่นทำให้ฉันนึกถึงสมัยที่นายยังอยู่ฮอกวอร์ต—อยากรู้อยากเห็นและช่างสงสัย เที่ยวไล่สำรวจตรงนู้นตรงนี้ไปทั่ว จำได้ใช่ไหมว่ามีใบรายงานความประพฤติส่งมาที่บ้านเกือบโหล”
น้ำเสียงเกือบจะเป็นล้อเลียน
“นั่นนานมากแล้ว”
นิวท์อมยิ้ม
“ก็จริง แต่ไม่นานพอให้ลืม จำได้ไหมว่าหนหนึ่ง—”
สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน
โอ—เมอร์ลินช่วย
“มาดามพุดดิฟุต เราอยากได้ชาเพิ่มตรงนี้สักหน่อยครับ”
ธีซีอุสหัวเราะ
เสียงนั้นปัดเมฆหมอกของความกระอักกระอ่วนให้ลอยจากไป
นิวท์กลอกตา
ประหลาดใจที่ตัวเองแค่รู้สึกรำคาญมากกว่าโกรธขึ้ง—ซึ่งในความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนของเรา นี่แปลว่าความคิดถึง
บางทีครั้งหน้าที่ธีซีอุสเอ่ยปากชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน เขาอาจจะลองพิจารณาคำตอบดูใหม่อีกครั้ง
เราบอกลากันอย่างเรียบง่าย
“ไว้เจอกัน”
อีกฝ่ายพูดอย่างนั้นขณะที่หยิบเสื้อโค้ตขนแกะสีเทาเข้มขึ้นสวม
นิวท์ทำเพียงพยักหน้า
เขาควรจะดีใจที่การพบปะนี้สิ้นสุดลงเสียที
แต่ก็เปล่าเลย
ในอกว่างเปล่าวูบโหวง
รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปวันที่ตัวเองอายุเจ็ดขวบ ยืนกลั้นน้ำตาโบกมือลานักเรียนปีสามที่ยิ้มเจื่อนอยู่บนรถไฟด่วนฮอกวอตส์
อ่า—บางทีความเจ็บป่วยอาจทำให้อ่อนไหวเป็นพิเศษ
“แล้วก็ระวังอย่าป่วยล่ะน้องชาย”
อีกครั้งที่เขาถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดก่อนที่จะรู้ตัว
—ธีซีอุสก็คือธีซีอุส
พี่ชายยิ้มให้เขาก่อนกลืนหายไปกับฝูงชน
ความอุ่นร้อนยังอิงแอบ
คลอเคลีย
ประหลาดดีที่ความพอใจเต็มตื้นแค่ชั่วขณะที่เราสัมผัส นาทีที่ธีซีอุสผละออกมันกลับแห้งเหือดเหลือไว้เพียงความคิดถึง
นิวท์ยังคงทิ้งสายตามองแม้อีกฝ่ายจะจากไปแล้ว
กระทั่งคนทื่อๆ แบบเขายังรู้เลยว่าความรู้สึกนี้เกิดจากอะไร
ก็เพราะอย่างนี้ไงถึงได้ไม่อยากเจอ
คืนนั้นเขากลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
ทันทีที่บานประตูปิดลงนิวท์ก็รู้สึกว่ากล่องสี่เหลี่ยมนี่ชักใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียวเสียแล้ว
วันต่อมานิวท์ถูกจู่โจมด้วยกรณีพิพาทระหว่างเวลส์และอังกฤษตั้งแต่เช้าตรู่
ให้บังเอิญว่าเจ้าเวลส์สีเขียวธรรมดาก่อเหตุทำร้ายมักเกิ้ลที่เขตชายแดนระหว่างสองประเทศ เนื่องจากมันเป็นมังกรป่าจึงไม่มีใครอยากอ้าแขนรับความผิดสักเท่าไหร่
ปวดหัว
กว่าจะไกล่เกลี่ยกันได้ก็เลยเวลามื้อเที่ยงไปมากแล้ว โชคยังดีที่เวลส์ยอมอ่อนข้อ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้คงถูกลากยาวต่อไปอีกสักเดือนเป็นอย่างต่ำ
นึกอยากได้ชาแก่จัดสักถ้วย มันอาจช่วยให้อาการปวดหนึบที่ข้างศีรษะนี่ทุเลาลงได้บ้าง(และแซนวิชสักคู่ก็น่าจะดี)
ตอนที่นิวท์หอบสารพัดเอกสารกลับไปที่โต๊ะทำงานก็มีใครบางคนรออยู่แล้ว
“ไง นิวตัน”
เขาอ้าปากค้าง
กะพริบตาปริบๆ
ใครจะคิดว่าไว้เจอกันที่อีกฝ่ายพูดจะเกิดขึ้นเร็วอย่างนี้
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุการณ์เมื่อวานหรือเปล่า ธีซีอุสที่หายหน้าหายตาไปนานถึงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
—พร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนดวงอาทิตย์
อีกฝ่ายยังคงแต่งกายอย่างพิถีพิถัน
เสื้อโค้ต สูทสามชิ้นและเนคไทสีน้ำเงินเข้มลวดลายแปลกตา
เส้นผมหยักศกแบบเดียวกันถูกตัดสั้นและจัดแต่งเป็นทรง ในขณะที่เขาชอบปล่อยให้มันยาวปรกหน้าผากมากกว่า
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
นานทีเดียวกว่านิวท์จะหาเสียงของตัวเองเจอ
“สิบเอ็ดโมงครึ่ง”
นั่นสักเก้าสิบนาทีก่อนได้
นานเอาเรื่อง
“นายดู—“
ธีซีอุสเว้นจังหวะ
“—เหนื่อยมาก ควรหาชาสักถ้วยดื่มนะ”
พูดอย่างระมัดระวังก่อนเหลือบตามองนาฬิกาบนฝาผนัง
“ฉันรู้”
นิวท์พึมพำ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“อ่า ฉันตั้งใจมาชวนนายไปกินข้าว แต่นี่คงช้าเกินไปสำหรับมื้อเที่ยงแล้ว ฉันเลยสงสัยว่านายจะปฏิเสธมื้อเย็นของเราอีกหรือเปล่า”
เขาอ้าปาก
กำลังจะตอบแต่ก็ถูกขัดเสียก่อน
“นายไม่มีตารางไปต่างประเทศ”
“ไม่—“
“กรณีพิพาทก็จบลงแค่วันนี้ด้วย”
“ฉัน—“
“แต่อาจมีงานด่วน ใช่—ฉันเข้าใจ”
พี่ชายรอคอยอย่างมีความหวัง
เขาแสร้งมองพรมสีตุ่นขณะที่เริ่มต้นบทสนทนา
“นายพูดถูกวันนี้ฉันไม่มีงาน แล้ว—แล้วก็หิวมากด้วย”
อีกฝ่ายนิ่งงัน
วันนี้มีเรื่องน่าปวดหัวมากพออยู่แล้ว และเขาไม่อยากทำตัวซับซ้อนเพิ่มความยุ่งยากใดๆ อีก
ถึงอย่างนั้นตอนที่พูดออกไป นิวท์ก็ยังรู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่เสียงของตัวเอง
“ฉันตกลง”
ห้องแฟลตขนาดกะทัดรัดใจกลางกรุงลอนดอนยังคงเหมือนในความทรงจำเกือบทุกอย่าง
นิวท์เคยอาศัยอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่ง—กับธีซีอุส แค่หน้าร้อนสั้นๆ ระหว่างที่รอให้ฮอกวอร์ตเปิดภาคเรียน
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ตรงนี้—บนโซฟาในห้องรับแขก มีหนังสือเล่มหนาเปิดกางบนตัก บางวันที่อากาศดีนิวท์จะออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก พยายามผูกมิตรกับพวกโนมที่แอบอยู่ในสวนของเพื่อนบ้าน
ไม่รู้ว่าอะไรผลักเราให้ห่างจากกันไปไกลขนาดนี้
“ตามสบายนะ”
ธีซีอุสพูดพลางถอดโค้ตตัวยาวออกแขวน เอื้อมมือปลดเนคไทขณะที่เดินเข้าครัวซึ่งอยู่ติดกับห้องรับแขก
“เยี่ยม มีพายกับสตูว์อีกนิดหน่อย นายโอเคนะ”
นิวท์เห็นอีกฝ่ายโบกไม้กายสิทธิ์เพื่อจุดไฟบนเตา ครู่เดียวสตูว์เนื้อก็ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล
“โอเค”
เขาตอบพลางมองอีกฝ่ายสะบัดไม้ด้วยท่วงท่าน่าดู
นิวท์เรียนรู้ว่าการมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยดวงตาเพียงข้างเดียวก็ไม่อาจทำให้ความงามของสิ่งนั้นถูกลดทอนไปได้
—ไม่เลย
“นายดูคล่อง”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังผะแผ่ว
“เป็นธรรมดา ถ้านายต้องอยู่คนเดียวนานๆ”
“ฉันก็อยู่คนเดียว”
“และฉันอยู่มานานกว่านายแปดปีน้องชาย”
นิวท์กลอกตา
อันที่จริงเราทั้งคู่ไม่ใช่คนช่างพูด แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความสัมพันธ์เริ่มง่อนแง่นคนที่พยายามเปิดบทสนทนามักเป็นอีกฝ่ายเสมอ
“เรื่องข้อพิพาทเป็นยังไงบ้าง”
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าธีซีอุสไม่ใช่นักพูดที่เก่งกาจเลย
“แย่—ฉันคิดว่าหลังจากลบความทรงจำมักเกิ้ลคนนั้นแล้ว เจ้าเวลลส์สีเขียวธรรมดาอาจมีชะตากรรมที่ไม่ดีนัก นี่เป็นหนที่สองแล้วที่มันก่อเรื่อง”
พี่ชายพยักหน้า
คงดูออกว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ไม่ว่าจะในแง่ไหน
ธีซีอุสเป็นอย่างนี้เสมอ
ช่างห่วงใย
“นายทำเองเหรอ”
นิวท์ถาม
แค่เพราะไม่อยากตกอยู่ในความเงียบ
แน่นอนว่าอีกฝ่ายส่ายหน้า
“สองวันก่อนแม่ขึ้นมาเยี่ยม ก็เลยทำทิ้งไว้ เธอถามถึงอะไรๆ เกี่ยวกับนายนิดหน่อย ฉันเองก็ให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้”
“อ้อ”
เขางึมงำ
รู้ดีทีเดียวว่าอะไรๆ ที่แม่ถามนั้นหมายถึงอะไร
—ตาซ้ายของเขา
“โอเคหรือเปล่า”
พี่ชายพยักพเยิดหน้าด้วยเจตนาที่ต้องการถามถึงอาการของบาดแผล
“ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้านายต้องการ”
นาทีนั้นนิวท์นึกอยากโถมตัวกอดพี่ชายเป็นครั้งแรกในชีวิต
แต่อะไรหลายๆ อย่างห้ามเขาเอาไว้
“พอชินแล้วมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”
แปลกใจที่เสียงของตัวเองสั่นพร่า
พี่ชายเงยหน้าขึ้นสบตา
โดยไม่ทันตั้งตัว ฝ่ามือของอีกฝ่ายเอื้อมวางทาบทับ
“แม่คิดถึงนายมากนะ”
ส่งผ่านความอุ่นร้อน
“ฉันเองก็เหมือนกัน”
นิวท์คิดว่าบางทีการยอมให้ตัวเองร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนัก
มันเกิดขึ้นในครั้งที่สามของการตอบรับคำชวนมากินมื้อเย็นที่บ้านของธีซีอุส
“นิวตัน”
เขาละสายตาจากพิคเก็ต—โบรว์ทรัคเกิลตัวจิ๋ว—ที่กำลังปีนป่ายไปทั่ว มันกระโดดก่อนหย่อนตัวลงไปในกระเป๋าเสื้อกั๊กแล้วก็หายลับไป
“หือ?”
นิวท์เลิกคิ้วมองพี่ชาย
ธีซีอุสปัดปอยผมที่ตกปรกหน้าผากออก กระแอมไอก่อนเริ่มต้น
“ฉันกำลังหา—อืม มักเกิ้ลเรียกมันว่าอะไรนะ รูมเมท—น่าจะใช่ คงดีถ้ามีใครสักคนช่วยหารค่าใช้จ่ายนายก็รู้ว่าแฟลตใจกลางลอนดอนอย่างนี้ราคาสูงมาก”
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพี่ชายที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเกิดอาการลังเลอย่างนี้
“แล้วบังเอิญว่านายก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ฉันก็เลยคิดว่าคงดีนะ ถ้ามันเป็นนาย”
ความเงียบแทรกตัวผ่านบรรยากาศ
“นายหมายถึง—อยู่ด้วยกัน ที่นี่?”
อีกฝ่ายพยักหน้า
เขาเหลือบตามองพี่ชาย
หลังจากชั่งความรู้สึกทั้งหมดแล้วก็เริ่มต้นอย่างระมัดระวัง
“นั่นแปลว่าฉันก็หนีมื้อเย็นกับนายไม่พ้นแล้วน่ะสิ”
ธีซีอุสนิ่งไปพักหนึ่ง
หลังจากที่แปลความหมายของประโยคนั้นได้อีกฝ่ายก็หัวเราะร่า
“ฉันเกรงว่านายคงต้องรับมือกับมื้อเช้าด้วย”
นิวท์ถอนหายใจ
“แต่ไม่ต้องห่วง ฉันสัญญาว่าจะไม่โผล่ไปที่ชั้น4ตอนพักกลางวัน”
“ขอบคุณนะ เบาใจขึ้นเยอะเลย”
พี่ชายฉีกยิ้ม
ลุกขึ้นอ้าแขนออกกว้าง
เขาขมวดคิ้วมุ่น
“อะไร”
ถามทั้งที่รู้ดีอยู่แล้ว
แต่ธีซีอุสไม่ได้ตอบ
อีกฝ่ายทำเพียงขยับตัวเข้าโอบกอด
เขาจมหาย
เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่รู้สึกปลอดภัยอย่างแท้จริง
“ได้ยินว่านายกำลังเริ่มเขียนหนังสือ”
“อือ—แต่เพราะตาซ้าย มันก็เลยช้ากว่ากำหนดนิดหน่อย”
ตอบเสียงอู้อี้เพราะใบหน้ายังฝังแน่นอยู่กับแผ่นอก
“เจ็บมากหรือเปล่า”
“จำไม่ได้แล้ว รู้แค่มันมืดมาก”
ธีซีอุสพยักหน้า
กระซิบบอกเสียงเบา
“ฉันจะเป็นตาซ้ายให้นายเอง”
เขาหัวเราะขณะที่หลับตาลงช้าๆ
เรียนรู้ว่าความมืดนั้นไม่คงอยู่ตลอดไป ในท้ายที่สุดดวงอาทิตย์จะขึ้น และเมื่อยามเช้ามาถึง ธีซีอุสจะยืนอยู่ตรงนั้น
“ฉันเกลียดนาย”
เป็นครั้งแรกที่เขาวางทิฐิลงเพื่อให้แขนทั้งสองข้างได้โอบกอดอีกฝ่าย
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังคลอเคลียอยู่ข้างใบหู
ธีซีอุสรู้ดีว่าเขาไม่ได้หมายความตามที่พูดไป เช่นเดียวกับที่นิวท์รู้ว่าการเช่าแฟลตใจกลางลอนดอนด้วยเงินเดือนของหัวหน้ามือปราบมารไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลย
“ฉันรู้—ฉันรู้”
END
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in