‘สมองลืมได้ แต่ไดอารีจะไม่มีวันลืม’
คงเพราะประโยคนี้ผมจึงพยายามหนีบไดอารีไปด้วยทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะสถานที่ใกล้บ้านอย่างร้านกาแฟแถบพญาไท ไกลออกมาหน่อยอย่างเชียงใหม่หรือไกลโพ้นไปในประเทศแถบแอฟริกาอย่างโมร็อกโก
ถ้าใครได้แง้มกระเป๋าของผมดูก็จะพบสมุดเล่มจ้อยนอนนิ่งอยู่ในนั้นเหมือนเด็กน้อยนอนในเปลฟังกาพย์เห่เรือจนหลับ และถ้าหากคุณได้สอดมือล้วงเอาไดอารีขึ้นมาเปิดกางออกดูสักหน่อยก็จะพบตัวอักษรนอนเรียงกันอยู่ในนั้น เรื่องมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างเรื่องเป็นเรื่องบ้าง เรื่องไม่เป็นเรื่องบ้าง
แต่ทุกเรื่องนั้นผมใช้มือขวาของตัวเองจรดลงให้กำเนิดตัวอักษร เกิดเป็นลายมือที่มักถูกเพื่อนหรือคนใกล้ชิดค่อนขอดว่าเขียนภาษาไทยเป็นภาษาจีนเลยนะมึง อ่านลายมือตัวเองออกมั้ย มึงเขียนให้ใครอ่านและผมก็มักจะตอบกลับไปว่า ก็เขียนไว้อ่านเองสามารถแกะอดีตจากลายมือได้ไม่มีปัญหาอะไร
นั่นแหละครับผมเขียนเองแทบทุกหน้า น้อยครั้งมากๆ ที่จะจับมือใครเขียนหรือยื่นให้คนใกล้ตัวเขียน ถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงเป็นเหตุวาระพิเศษอะไรบางอย่าง เช่นเจอเพื่อนใหม่แล้วอยากให้เพื่อนเขียนอะไรลงไปหรือแม้กระทั่งครั้งหนึ่งที่เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซียผมเคยยื่นไดอารีให้ชาวบ้านคนหนึ่งเขียนแผนที่นำทางให้ เพราะมือถือปิดตัวเองลงไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
และอย่างที่บอกว่าไดอารีติดตัวไปแทบทุกที่พอได้ออกเดินทางไกลๆ ทีไร ผมก็จะเสียบเล่มเก่าเก็บไว้ในชั้นหนังสือแล้วโฉบหิ้วเล่มใหม่ไปทุกครั้ง
เช่นเดียวกับการเดินทางไปโมร็อกโก
ผมเริ่มต้นบันทึกไดอารีเล่มใหม่ก่อนเดินทางหลายสัปดาห์เริ่มบันทึกความรู้สึกแรกที่รู้ว่าจะได้ไป ทั้งๆ ที่ยังนอนเล่นอยู่แถวพญาไท นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมอยากจะแก้คำครหาจากผู้อ่านว่าทำไมมึงเขียนไม่ถึงโมร็อกโกสักที โมร็อกโกมึงไกลมากขนาดต้องเขียนสิบบทกว่าจะไปถึงเชียวหรือ คือถ้าเดินไป ว่ายน้ำไปชีวิตนี้ก็คงไปไม่ถึงโมร็อกโก คงนอนสลบไสลอยู่แถวๆ อิรัก อิหร่านกระทั่งบทจบแล้วคุณก็จะยังไปไม่ถึงโมร็อกโก แต่เพราะเราอยู่ในยุคสมัยที่มีเครื่องบินให้บริการ ควบรวมมาพร้อมกับคนขับมีคนเดินเสิร์ฟน้ำ คอฟฟี่ออร์ที้? มีคนเคาะจานให้อาหารถึงที่นั่งเดินทางรวดเร็วและสบายยิ่งกว่ากษัตริย์ดูไบเมื่อพันปีก่อนถ้าเล่าแบบรวบรัดคุณก็จะคิดว่าโมร็อกโกมันใกล้เหมือนนั่งรถทัวร์ไปหาดใหญ่ แล้วผมก็มิอาจขึ้นต้นบทที่หนึ่งในหนังสือด้วยประโยคทำนองว่า “...แล้วผมก็มายืนอยู่ในประเทศโมร็อกโก…” ได้ เพราะไดอารีของผมไม่ได้บันทึกหน้าแรกๆ ไว้แบบนั้น
ใช่ครับผมเริ่มบันทึกตั้งแต่การหาข้อมูล การเตรียมตัว ไปจนถึงคืนก่อนออกเดินทางเรื่องราวเหล่านี้ค่อยๆ ถูกลงหลักปักเสาก่อสร้างเรื่องมาคือถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้น หนังสือ GO GO, MOROCCO โมร็อกโกนั้นโก้จริงๆ คือการที่ผมออกกำลังนิ้วหยิบตัวอักษรจากรอยปากกาในไดอารีให้ออกมาเดินเล่นอยู่ในหน้ากระดาษหนังสือ แล้วปล่อยให้มันออกลูกออกหลาน สืบพันธุ์ ขยายที่พักอาศัยเหมือนจอกแหนที่ถูกเขวี้ยงลงไปในน้ำเพียงนิดไม่กี่วันก็กระจายตัวออกเป็นพรมสีเขียวชวนมอง
GO GO, MOROCCO โมร็อกโกนั้นโก้จริงๆ จึงเป็นหนังสือที่คล้ายกับว่าผมนำเรื่องส่วนตัวจากไดอารีมาเล่าให้ฟังบันทึกไว้อย่างไร ก็เอามาเขียนและเรียบเรียงใหม่อย่างนั้น
ไหนๆ ก็ไหนๆบัดนี้ ได้เวลามงคลฤกษ์แล้วในเมื่อมันได้ขยายพันธุ์ออกมาเป็นเล่มให้หยิบจับลูบคลำตามร้านหนังสือ ออกลูกออกหลานให้ใครหลายคนได้ลองลูบหัวตัวอักษรเล่นด้วยความเอ็นดูบ้าง หยิกแขนเพราะหมั่นเขี้ยวบ้างตบหัวเป็นการหยอกเอินบ้าง ผมจึงอยากพาทุกคนย้อนกลับไปในไดอารีต้นฉบับเล่มนั้น เล่มที่ผมใช้ลายมือตัวเองจรดลงนั่นแหละ แต่ผมไม่ใจร้ายขนาดที่จะให้ทุกคนแกะลายมือกันเอาเองหรอกนะ ผมจะพาพวกคุณลงไปเดินเล่นในไดอารีเล่มที่อยู่กับมือผมมาแรมเดือน ตั้งแต่ก่อน ขณะและหลังการเดินทางกลับจากประเทศโมร็อกโก เพื่อชี้ให้ทุกคนเห็นว่าเรื่องราวในหนังสือมีต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์อย่างไรบ้าง ถูกขยายออกไปอย่างไรและมึงไม่ได้เสริมเรื่องแต่งขึ้นมาเองใช่มั้ย?
เราไม่รู้หรอกครับจนกว่าจะได้ทยอยอ่านเรื่องราวถัดจากนี้
ยินดีต้อนรับสู่ไดอารีบันทึกการเดินทางของหนังสือ GO GO, MOROCCO โมร็อกโกนั้นโก้จริงๆ
ทริปโมร็อกโกที่กำลังจะไปเป็นสถานที่ที่ไกลที่สุดในชีวิต
ไกลกว่าญี่ปุ่นหลายเท่า
วัดความไกลได้จากความห่างของช่วงเวลากับประเทศไทย
ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะพักผ่อนให้เพียงพอ
แต่สุดท้าย แผนไม่เคยเป็นไปตามแผน
เมื่อคืนนอนกะปริดกะปรอยมาก
เรียกว่า ยิ่งกว่าไม่พอ
เช้านี้และทั้งวันเลยมึนๆ
ไม่ต้องพูดถึงว่า บินตีสองด้วย
สิ่งที่ทำในวันนี้คือ จัดเตรียมของ
สำหรับโมร็อกโก ประเทศทะเลทราย
ร้อนตอนกลางวัน หนาวตอนกลางคืน
คิดภาพไว้ว่า กระเป๋าสะพายสองใบแน่นๆ
สรุป คิดว่าเอาไปเยอะแล้ว
ก็ยังน้อยอยู่ดี
กระเป๋าสองใบยังหลวม
ก็ยังไม่เข้าใจว่าคนที่ใช้กระเป๋าใบใหญ่ๆ
เขายัดอะไรไปกัน
กระเป๋าใบใหญ่หนัก
ใบเล็ก 3 กิโลฯ
โมร็อกโก 20 กว่าวัน
กระเป๋า 8 กิโลฯ
คุยกันว่า สำหรับพวกเขานี่อาจเป็นเรื่องปกติ
เป็นเรื่องของวัฒนธรรม
เขาอาจจะมีชุดความคิดว่าแบ่งๆ กันนั่งได้ หากมันนั่งได้
เขาก็นั่งเต็มที่เลย
หนึ่งเบาะ นั่งสองคน แถมเอามือวาดมาพาดเกยตื้นด้วย
และจุดที่ผมนั่ง ผมเลือกนั่งพื้น แล้วใช้ปลายๆ เบาะเป็นโต๊ะ
พี่แขกอินเดียก็เลยเอาของ เอากระเป๋าตัวเอง
มาวางไว้ตรงที่ว่างของเบาะผม
เปิดโลกจริงๆ ยังไม่ออกจากสนามบินเลย
แปลงค่าเงิน
1 ยูโร – 38.75 บาท
5 ยูโร – 195 บาท
10 ยูโร – 388 บาท
20 ยูโร – 775 บาท
50 ยูโร – 1,937 บาท
ตอนนี้นั่งอยู่ที่สนามบินโดฮา ประเทศกาตาร์
Hamad International Airport
หลังจากอยู่บนเครื่องบินเจ็ดชั่วโมง
เคยบินเวลาประมาณนี้มาก่อนตอนไปญี่ปุ่น
แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เปลี่ยนเครื่อง
มันเหมือนนั่งรถทัวร์แล้วพักกลางทาง
บนเครื่องผมนอนเป็นส่วนใหญ่
ตื่นอยู่หนึ่งรอบ
อาหารเช้า พนักงานเดินมาแนะนำประมาณ 3-4 อย่าง
เมนูประมาณออมเล็ต, ชิกเก้น ซอสเซจ และฟิชอะไรสักอย่าง
ป๋าแป๊ะเอาออมเล็ต
ผมหันไปถามป๋าว่ามีอะไรบ้าง
ป๋าตอบว่า ฟังออกแค่ออมเล็ต
ผมเลยเอาฟิช
ป๋าหันมาบอกว่า “ช่างกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก”
สิ่งที่ได้มาคือ ข้าวต้มปลา จบ
กดเงินมา 25,000 บาท เอาไปแลกเงินยูโรตั้งแต่ที่สุวรรณภูมิ
ตอนหยิบออกมาจากช่องรับเงิน
รู้สึกว่าแบงก์หนามาก เงินก้อนใหญ่
พอเอาไปแลกเงินยูโร ได้มา 645 ยูโร
รู้สึกแบงก์ลีบเล็ก ดูเป็นแบงก์การ์ตูน
แบงก์กาโม่ ดูคิกขุอาโนเนะ
แล้วพอมันเป็นแบงก์กระดาษที่หน้าตาไม่คุ้นเคย
มันก็เหมือนไม่มีคุณค่าอะไรเลย
ดูเป็นของเด็กเล่น
สิ่งที่กระทบความรู้สึกวันนี้คือ
ตอนมาถึงสนามบินโดฮา
วินาทีที่ออกจากประตูเครื่องบินมันร้อน
ร้อนแบบแวบแรกคิดว่าเป็นลมร้อนจากเครื่องบิน
แต่พอเดินออกมาเรื่อยๆ ก็ยังร้อนแบบเดิม
เพิ่งรู้ตัวว่า นี่คืออากาศของประเทศกาตาร์
มันร้อนเหมือนไปยืนตรงช่องเครื่องยนต์ข้างรถเมล์
ยิ่งตอนขึ้นเครื่องจากโดฮาเพื่อไปต่อ แดดมาพอดีด้วย
มันร้อนแบบเข้มข้นกว่าเมืองไทย
ร้อนจนพี่เนนบอกว่า เมืองไทยร้อนชื้นๆ
แต่ที่นี่ร้อนแห้งๆ
ป๋าโบกมือ แล้วบอกว่า
มันไม่ใช่ร้อนแห้งๆ มันร้อนเหี้ยๆ
ไฟลต์จะออกจากกาตาร์เวลา 09:10 น.
และจะไปถึงมาราเกซในเวลา 17:00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น)
ตอนนี้อยู่บนเครื่องแล้ว
เครื่องบินผ่านประเทศอิหร่านและกำลังจะเข้าตุรกี
เหมือนได้เที่ยวมุมสูงของประเทศเหล่านี้ไปด้วย
ตอนขึ้นเครื่องจากโดฮา
ผมย้ายที่มานั่งแถวชิดหน้าต่างด้านขวาของลำ
เก้าอี้แถวหลังสุด
เพราะไฟลต์นี้คนไม่เต็ม แถวหลังๆ จะว่าง
และแน่นอน มีคนตีตั๋วนอนหลายคน
ผมนั่งดูสักพัก วิวข้างล่างเป็นแผ่นดินสีน้ำตาล
เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเจอ
อย่างกับไม่ใช่โลกมนุษย์
และอยู่ดีๆ ผมก็หันไปสบตาชายผิวคล้ำคนหนึ่ง
แกมองมาและทำมือประมาณว่า สลับที่นั่งกันไหม
ผมโอเค คิดว่าเขาคงอยากดูวิวด้านนี้ เลยสลับ
ที่ไหนได้ ตรงที่เขานั่งเอาที่วางแขนขึ้นไม่ได้
เขาอยากตีตั๋วนอนในเบาะผมต่างหาก
แต่ผมไม่เสียหายอะไร เพราะไม่นอนอยู่แล้ว เพลิดเพลินกับวิวมาก
พื้นดินข้างล่างจะแห้งแล้งอะไรขนาดนั้น กินพื้นที่กว้างมาก
ถ้าตกลงไปแล้วไม่ตาย ไม่นานก็คงแห้งตายไปเอง
อาหารมาเสิร์ฟตอน 11 โมง
ก่อนนั้นเขาให้ใบเมนูมาดูก่อน
เมนูหลักมีอยู่สามรายการ
สองรายการแรกพออ่านออก คือแนวๆ เฟรนช์ฟรายส์
แต่เมนูที่สามอ่านไม่ออกเลย
เขียนว่า...
Vermicelli upma and meda vada Sambar
อันนี้เดาทางไม่ออก แต่ต่อมอยากลองเริ่มทำงาน
ถามแอร์โฮสเตส ได้ความว่าเป็นอาหารอินเดีย
เลยชูนิ้วหนึ่งนิ้ว เอาหนึ่งชุด
อาหารที่ได้เป็นเส้นเล็กๆ กับกองแข็งๆ อะไรสักอย่าง
ขนาดเห็นแล้ว ยังเดาไม่ออกเลย
รสชาติพอใช้ได้
ผมสั่งน้ำส้มหนึ่งแก้ว
และเครื่องดื่มอีกหนึ่งอย่าง นิ้วชี้ไปที่ Baileys original Irish cream
สิ่งที่ได้มาคล้ายๆ เหล้าผสมกับครีมวานิลลา
กินไปสองจิบพอ
กลัวเมา
ประเทศที่ไฟลต์จากกาตาร์-มาราเกซผ่าน
ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย - อิหร่าน - ตุรกี
- กรีซ - อิตาลี - ตูนิเซีย
- แอลจีเรีย - โมร็อกโก
เดินทางจากกรุงเทพฯ - มาราเกซ
ไม่ใช่กรุงเทพฯ - มหาสารคาม ย่อมตื่นเต้น
ใช้เวลาเดินทาง รวมนั่งรอเปลี่ยนเครื่องทั้งสิ้น 21 ชั่วโมง
ตอนที่เขียนบันทึกคือ 21:30 น.
เวลาประเทศไทยก็คือตีสามครึ่ง
ถึงว่าทำไมง่วงนอน
ถ้านับจริงๆ ถึงตอนนี้ คิดว่าไม่ได้นอนยาวๆ มาประมาณ 48 ชั่วโมงแล้ว
ช่วงที่นอนเก็บเกี่ยวบนเครื่องบินก็กะปริดกะปรอย
อารมณ์เหมือนกลัวไม่คุ้มค่าตั๋ว
มาถึงสนามบิน Marrakesh Menara Airport ตอนห้าโมง
เอาเงิน 250 ยูโรไปแลกเงินดีรั่ม ได้มา 2,600 กว่าดีรั่ม
ออกจากสนามบินมาก็มีเรื่องให้วุ่นใจเลย
แท็กซี่มาชวนขึ้นรถ เรียกเก็บคนละ 50 ดีรั่ม
ประมาณ 225 บาทต่อคน
เพื่อเดินทางไปโรงแรมระยะทาง 5 กิโลเมตร
ก่อนออกรถ กำลังจะจ่ายตังค์ พี่เนนควักเงินออกมา
ยื่นให้ผมเป็นคนจ่าย เพราะจะเอากล้องบันทึกภาพไว้
พอยื่นไป พี่คนขับแกหยิบอย่างรวดเร็ว
แล้วหันมาด่าช่างกล้องเลย
ว่าถ่ายทำไม มันไม่ดี ให้ลบทิ้ง โนกู้ด
ไม่รู้ว่าไม่ดีจริงหรือแกขี้โกง
เรื่องแรกของทริปก็เอาตั้งแต่หน้าสนามบินเลย
รถพาขับออกมาตามถนนเรื่อยๆ
บ้านเมืองเป็นสีส้มอมชมพูจริงๆ
คือไม่มีสีอื่นปะปนเลย
พักที่ Ryad Mogador ใกล้สถานีรถไฟ
สิ่งที่ทำให้ตะลึงคือ เห็นอูฐตัวเป็นๆ อยู่ริมทาง เหมือนเห็นสุนัขที่เมืองไทย
เคยเห็นแต่ในทีวี
พอเห็นตัวจริง เหมือนเจอดารา
Diary
เริ่มเข้าใจว่า
เวลามองคน
ให้มองทะลุกายเนื้อเข้าไป
ให้ถึงจิตใจ และสิ่งที่ทำ
เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาเลือก
ส่วนกายเนื้อ
เลือกไม่ได้
เหมือนขับออกมาพัทยา บางแสน ชลบุรี
แต่ระหว่างทางต่างมากๆ
สุดลูกหูลูกตา
เรื่องบันเทิง
ของดีระหว่างทางไปเมืองริมทะเล
แพะอยู่บนต้นไม้ ต้นอาร์แกน
ปกติแพะขึ้นไปกินผลของมัน
คิดว่าคงเกิดไอเดียต่อยอดเป็นธุรกิจ
ต้อนแพะไปยืนบนต้นไม้
นักท่องเที่ยวผ่านมาเป็นต้องแวะ
อุ้มแพะได้ มีหลายเจ้าด้วย
ถ้าแพะพูดได้ กูคงไม่ปีนขึ้นไปกินผลวันนั้น
วินรถม้า วินอูฐ ไม่ใช่วินมอเตอร์ไซค์
Grab น่ามาเปิดตลาดที่นี่
เลือกได้ว่าจะเอาวินตัวผู้ หรือตัวเมีย
อายุเท่าไหร่
เอสเซาอิรา (Essaouira)
- เมืองริมทะเล (เล็กๆ ยาวประมาณ 4 กิโลฯ)
- ชายทะเล นักท่องเที่ยวมีกิจกรรมทำ
- เมืองฟ้าขาว
- ถ่ายรูปทีมตรงไหนก็สวย
- Wind City of Africa
- มีแกลเลอรี และร้านขายเสื้อผ้าสตรีเยอะ
คิดคำถาม
1. ตัวไกด์
2. ทาส
3. ดนตรี
4. เมือง
ทีแรกนั่งคุยกับไกด์ในตึกสไตล์โมร็อกโก
เป็นสไตล์ที่ลานกลางบ้านจะเว้นช่องไว้ให้แสงเข้าได้
มีต้นไม้ มีงานศิลปะรอบห้อง
ในอดีต ที่นี่เป็นจุดพักคาราวาน
เอาสัตว์เลี้ยงไว้ชั้นล่าง คนอยู่ชั้นบน
แต่ตอนนี้เป็นที่ทำงานศิลปะของไกด์
ไกด์เล่าให้ฟังว่า เขาทำงานศิลปะได้หลายอย่าง
แต่เป็นอย่างละนิดละหน่อย
รวมทั้ง Gnawa music ที่เราจะมาชมในวันนี้ด้วย
สิ่งที่ไกด์เล่าให้ฟัง เกี่ยวกับเรื่องราวของเมืองเอสเซาอิรา
และการกำเนิดของ Gnawa music ที่มาจากทาส
Nos Pizza
วันแรกจะกิน ลูกศรชี้ไปอีกทาง เดินไปไกล
วันต่อมา ชี้ถูก นั่งขำ
วันนี้ผิดทางอีกแล้ว
เจ้าของร้านคงงง ทำไมขายไม่ดี เกี่ยวกับหน้าฝนหรือเปล่า
เกี่ยวกับป้ายครับพี่
ที่ที่สอง ไกด์พามาที่ Dar Loubane สถานที่เล่นดนตรี
มาดูสถานที่ก่อน แล้วจะกลับมาดูแสดงคืนนี้ตอนสามทุ่มครึ่ง
เป็นการแสดงที่เอาเครื่องดนตรีของ Gnawa music มาเล่นผสมผสานกับดนตรีแนวสมัยใหม่
ที่พักสไตล์โมร็อกโกส่วนใหญ่ ข้างนอกจะดูธรรมดา
แต่ข้างในจะอลังการ
วัดฐานะจากด้านใน
ที่ที่สาม อันนี้เป็นแบบ Insight คือไปที่บ้านนักดนตรี
นักดนตรีระดับโลก
เล่นดนตรีแต่ละเพลง ก็จะมีหนึ่งคนออกมาเต้นในเพลงนั้น
ท่าเต้นจะคล้ายๆ กับการเข้าทรง
เล่นทั้งหมดสี่เพลง
เพลงแรกลูกสาวคนแรกเป็นคนเต้น
เครื่องดนตรีชื่อกัมบรี เป็นเครื่องสายที่เคาะได้ในตัว
สายทำจากไส้แพะ
ที่เคาะทำจากหนังคออูฐ
เพลงที่สอง ลูกสาวอีกคนที่ใส่เสื้อสีดำออกมาเต้น
แม่ออกมาช่วยเอาผ้าปิดหน้าให้
ก่อนนั้น แม่กวักควันจากสิ่งที่คล้ายถ่านให้สูด แล้วลูกสาวก็เริ่มเต้น
วินาทีที่เพลงบรรเลง ลูกสาวก็เต้นไป
ผมว่าบทเพลงทำให้อารมณ์พาไปในสถานการณ์นั้น
เหมือนลูกสาวลืมตัว ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก
ตัวสะบัด หัวสะบัด ผมสะบัดไปจนจบเพลง
พอแม่ให้สูดควันอีกรอบถึงจะหยุด
และไปนั่งพักหายใจอยู่ตรงเบาะ
ต่อมาถึงตาแม่
แม่ดูนิ่งๆ แต่ก็เต้นได้ไม่แพ้กัน
และลูกสาวคนแรกก็เปลี่ยนเป็นชุดสีส้ม
ออกมาเต้นเพลงที่สาม ท่าเดิม ในขณะที่พ่อก็เล่นไป
ผมกับไกด์ปรบมือไปด้วย
พอจบ นักดนตรีระดับโลกก็เปิดคลิปวิดีโอที่แกเล่นให้ดู
Diary
อยู่โมร็อกโกได้สี่วันแล้ว
ทุกอย่างยังแปลกใหม่ ผู้คน สถานที่มีผลมาก
เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ในหนัง เพดานโค้งๆ
บ้านเรือนเก่าๆ คนแต่งตัวไม่คุ้นเคย
อาหารที่นี่ก็อร่อย แมวเยอะ
เจมา เอล ฟนา (Jemaa el-Fnaa)
ก่อนมา วินสตัน เชอร์ชิล บอกไว้ว่า
ถ้ามีเวลาชั่วโมงเดียวในมาราเกซให้ใช้เวลากับจัตุรัส
สิ่งที่คุณต้องมีหากจะมาเยือนจตุรัส คือเหรียญเยอะๆ
ทุกอย่างดูฟรี แต่ถ่ายรูปต้องจ่ายเงิน
แม้กระทั่งคุณถ่ายวิว เขาก็จะมาเนียนขอตังค์
พอเราบอกว่าถ่ายวิว เขาก็จะขอดูรูป
และบอกว่า นี่ไงถ่ายติด เอาตังค์มา
โดนลากให้ไปคล้องงู
คนเยอะ ร้านอาหารเยอะ กิจกรรมเยอะ
ดูจากมุมสูง คนยั้วเยี้ยเลย
ดนตรีที่เล่นอยู่ก็ดูฟรี
แต่เวลายืนต้องดูนิ่งๆ ดูแบบดูไปงั้นๆ
ถ้าพยักหน้าตามจังหวะ โดนเก็บเงิน
ห้ามสนุก ต้องควบคุมอารมณ์
ลองเล่นตกขวดน้ำ ราคา 5 ดีรั่ม ยากมาก
เหมือนงานวัด อยากรู้คนคิดเกมคิดยังไง
คิดได้ไงว่าต้องตกแบบนี้
เจ้าของร้านเล่นโชว์ด้วย รู้ได้ไงว่าต้องตกท่านี้
มีวงหนึ่งคนเยอะมาก
คนมุงล้อมกันหลายชั้นเป็นกำแพงเมืองจนผมต้องกระโดดดู
เป็นวงแสดงตลก 2-3 คน เล่าไปแสดงไป
คนหัวเราะ ทำให้รู้ว่าเมืองนี้ก็ชอบตลก
ทาส
จุดเริ่มต้นของทาสคือการทำสงครามระหว่างชนเผ่า
ฝ่ายแพ้จะตกเป็นทาสฝ่ายชนะ
ในทวีปแอฟริกา หัวหน้าเผ่าเป็นจุดศูนย์รวมของทุกสิ่ง
มีการแลกเปลี่ยนทาส ซื้อขายทาสกันระหว่างชนเผ่า
พ่อค้านักเดินเรือชาวยุโรปต่อเรือเก่ง ชอบผจญภัย เมื่อเดินทางไปถึงทวีปไหนก็เอาสินค้าไปแลก
พอไปถึงแอฟริกา สินค้าที่ชาวป่าต้องการ คืออาวุธปืน ดินปืน กระสุน เพื่อนำไปต่อสู้กัน
ช่วงนั้นยุโรปเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมโลกที่ต้องการแรงงานคน
ชาวป่าต้องการอาวุธ ยุโรปต้องการแรงงาน
ตอนนี้ครึ่งทางของ พื้นที่ชีวิต แล้ว
ถ่ายจบไปแล้วหนึ่งตอน เหลือพูดสรุปเทป และอีกหนึ่งตอนรออยู่
ตอนถัดไปจะออกไปทะเลทราย
เป็นทะเลทรายแรกในชีวิต
ครั้งแรกที่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์นี้
เพื่อทำรายการสารคดีหนึ่งตอน
ผมออกเดินทางมาที่ประเทศโมร็อกโก เพราะรายการ พื้นที่ชีวิต อำนวยการให้
และผมมักจะใช้สูตรไหนๆ ก็มาแล้วจึงต่ออายุการเดินทางออกไปอยู่เสมอ
เลื่อนตั๋วออกไปอีก 9 วันเพื่ออยู่ต่อ
ตอนนี้ผมค้นพบแล้วว่า การไปต่างประเทศแบบไปทำงาน ไปค่าย ไปถ่ายรายการ สนุกกว่าไปเฉยๆ
มันมีอะไรให้ทำแทบตลอดเวลา
เพราะบางทีพอเรายืนอยู่ตรงนั้น ไปในที่ที่รู้สึกว่ามาทำไม
ก็จะตอบตัวเองได้ว่า มาทำงานไง
มันมีจุดมุ่งหมายมากกว่าการมาเฉยๆ
และแน่นอนการมีคนร่วมเดินทาง มันสนุกเสมอ
พูดกันได้ แซวกันได้
รู้สึกรักการทำงานสารคดี รักการเดินทางไปประเทศต่างๆ เพื่อทำรายการ
เพราะโดยชีวิตประจำวัน ผมก็ดูสิ่งเหล่านี้ประจำ
โชคดีที่ได้มาทริปนี้ และคิดอยู่เสมอว่าอยากทำอีก ทำไปเรื่อยๆ
ด้วยทักษะ ความสามารถที่มีจะพาให้เราออกเดินทาง
พอคิดว่าถ้ามาเที่ยวเอง ก็คงจะอยู่เมืองเอสเซาอิราไม่นาน เพราะเมืองเล็ก
แต่พอรู้ตัวว่าต้องอยู่ห้าวันเพื่อทำงาน เราก็จะไปจุดซ้ำๆ ได้ ออกเดินในที่แปลกๆ ได้
ผมค้นพบความสนุกในงานที่ผนวกกับการเดินทาง
ห้าวันที่ผ่านมา ผมไม่ได้บันทึกไดอารีส่วนตัวเท่าไหร่
ผมได้แต่เดินทางตามถ่ายสารคดี
และบันทึกเกร็ดที่จะเอาไว้เล่าสรุปเทปในตอนนั้นๆ
พอรู้ว่ากำลังทำงานอยู่ ในแต่ละวันผมก็จะทำสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับงานเสมอ
พออะไรที่ไม่เกี่ยวเนื่อง จะรู้สึกผิด รู้สึกไม่อยากทำ
และถ้าจะทำจริงๆ ผมก็ต้องหาจุดเชื่อมโยงกับงานให้ได้
พอหาจุดเชื่อมโยงได้ ผมก็จะทำสิ่งนั้นได้อย่างสบายใจ
ถึงตอนนี้จบไปแล้วหนึ่งเมือง
และกำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปอีกเมือง
เป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย
ในห้าวันถัดจากนี้
ที่เอิร์ก ชิกากา (Erg Chigaga)
ในวันแรกกับวันสุดท้ายเป็นวันเดินทางและแวะพัก
เหมือนกองคาราวาน
และสามวันตรงกลางคือวันที่อยู่ทะเลทราย
หน้ากระดาษเปล่าถัดจากนี้จะบรรจุเรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้น
และกำลังจะเกิดกับเรา
จะเติบโตอีกแล้ว
ออกมาจากมาราเกซ และพักกลางทางที่เมืองอักเดซ (Agdz)
ในที่สุดผมก็มีประสบการณ์นั่งรถกลางพื้นดินว่างเปล่า
ปกติเวลาเห็นคนไปเที่ยวแล้วได้ขับรถอยู่บนถนนเส้นเดียว
ท่ามกลางทิวทัศน์ของดินกับภูเขา จะรู้สึกอยากไปมาก
และสองวันนี้ได้ประสบการณ์นั้นเต็มๆ
90% ที่อยู่ในรถ รถขับผ่านความเวิ้งว้างและความไกลสุดลูกหูลูกตา
ผ่านภูเขา ผ่านบ้านชาวโมร็อกโก
ผ่านระยะทางห้าร้อยกว่ากิโลเมตร
ไม่รู้เลยว่าข้างหน้าคืออะไร
รู้แต่ว่าจะพบทะเลทราย
ตอนนี้อากาศ 38 องศา
เพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ ในเวลาสี่โมงตรง
รอบราฮิมมารับ
เพื่อไปแคมป์ทะเลทรายในคืนนี้
ทริปครึ่งหลังตอนที่สอง ตอนซาฮารา
ผมจดเรื่องที่จะเล่าไว้ที่แอพโน้ตในมือถือ
ใครที่เคยมีประสบการณ์ไม่ได้กินอาหารที่ชอบนานๆ
จะรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน
วันนี้ได้กินแล้ว หายอยากแล้ว
คุยกันหลายเรื่องเลย
ทั้งการเดินทางโดยรถไฟ คนทำงานที่นี่
มาเฟีย การหาช่องทางการค้า ทัวร์
สนุกดี
พี่เขาบอกว่าวันที่ 16 เวลา 12:00-14:00 น.
จะมีนัดกินอาหารไทยร่วมกันที่ร้านนี้
นำทีมโดยสถานทูตไทยในโมร็อกโก
คนไทยที่นี่มาร่วมกินฟรีได้
ถ้าทันจะมากินฟรีแน่ๆ ไม่ให้พลาด
ผมไม่สนใจ เพราะในใจรู้ว่าเขาถามว่าเราจะไปไหน
จะได้พาเราไป และเก็บตังค์
ผมรู้สึกว่าไปเองได้โดยไม่ต้องเสียตังค์
ทางที่ดีที่สุดคือ ทำเมิน ไม่สนใจ
เดินเข้าไป ใช้เวลาเกินกว่ายี่สิบนาทีก็ยังหาไม่เจอ
เลยถามชาวบ้านแถวนั้น
ชาวบ้านบางคนก็ทักผมเองเลย
เหมือนจะเอือมว่ามึงเดินผ่านตรงนี้หลายรอบแล้วนะ
เลยชี้บอกทาง
“เลฟต์ เลฟต์ ไรต์”
“ไรต์ ไรต์ แอนด์ เลฟต์”
เจ้าถิ่นยังบอกทางยากเลย
คือเข้าใจแล้วว่าถนนหนทางในเมดินาเป็นยังไง
และก็นึกไปถึงเมืองเฟส (Fes) เมืองที่เป็นเป้าหมายต่อไป
ซึ่งใครๆ ต่างบอกว่าหลงแน่ๆ ต้องจ้างไกด์ 100 เปอร์เซ็นต์
เป็นช่องทางทำมาหากินที่ถูกที่ ถูกเวลา
เหมือนกับว่า
ก่อนสร้างเมือง ผู้สร้างได้คิดออกแบบมาอย่างดีแล้ว
ว่าต้องสร้างแบบเขาวงกต
เพื่อสร้างอาชีพไกด์ และอาชีพคนหาทางออก
ให้คนที่นี่เก็บกินได้ตลอดชีวิต
สุดท้ายก็เจอที่พัก Backpacker
แปลกใจที่ตัวเองฟังภาษาอังกฤษ
และตอบโต้กับคนเตรียมห้องได้แล้ว
ดีใจ
เจอสิ่งที่น่าหงุดหงิดใจในวันนี้
ที่ร้าน KFC สาขามาราเกซ
ผมยกถาดไปนั่งตรงโต๊ะบาร์ติดกระจก
แปลกใจว่า ทำไมคนไม่มานั่งตรงนี้กัน
เพราะตรงนี้ว่างเลย ที่อื่นเต็มและอัดแน่น
นั่งได้ไม่ถึง 10 นาที รู้เลย
เด็ก 3-4 คนเดินมาเคาะกระจก
ทำท่าเอามือป้อนอาหารเข้าปาก
ทีแรกคิดว่าทำไม่สนใจ แล้วเด็กจะไป
ไม่เลย เหมือนเล่นเกมจิตวิทยากัน
ผม เห็นแต่ต้องทำเป็นไม่เห็น
เด็ก รู้ว่าผมเห็นแต่แกล้งไม่เห็น เลยต้องทำให้เห็น
ผม ทำทีเป็นเห็น
เด็ก เริ่มจากโบกมือเรียก และลามมาเคาะกระจก
ผมมองหน้าไปเชิงปฏิเสธ เด็กก็เคาะกระจก
จนเอาลูกอะไรสักอย่างมาปาเข้ากระจก เพื่อทำให้ผมสนใจ
ผมเหลือทน ทำท่าตะโกนออกไป
“มึงเป็นควายอะไร”
สาบานได้ว่าผมพูดคำหยาบคำนี้ออกไป
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเด็กมันฟังไม่รู้เรื่อง
ผมสติแตก
ฝรั่งสองคนที่มานั่งทีหลังเห็นการต่อสู้ของผมถึงกับล่าถอยออกไป
สุดท้ายผมก็เอาตัวรอดมาได้ และไม่เสียไก่ให้ใคร ด้วยการใช้สายตาขู่
มีผู้ชายที่อายุเยอะกว่าเด็กๆ นั่งอยู่ด้านนอก เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ยกนิ้วโป้งให้
ประมาณว่าคิดถูกแล้ว
แต่ผมก็ยังงงว่า เขาไม่ใช่พวกเดียวกันเหรอ
ยังไม่ทันจบวันแรกของการเที่ยวคนเดียวก็สนุกขนาดนี้
พรุ่งนี้จะนั่งรถไฟออกไปเฟส
วันนี้ตั้งปลุกเจ็ดโมงเช้าในห้องที่มีเตียงนอน 18 ที่
ฝันอีกแล้วครับพี่น้อง กังวลเรื่องอะไรก็จะฝันเรื่องนั้น
เมื่อคืนกังวลเรื่องของจะหาย เพราะนอนกับคนเยอะ
ก็ทำทุกวิถีทางให้ปลอดภัย และตัวเองสบายใจ
เอากระเป๋าใหญ่เก็บล็อกเกอร์
เอากระเป๋าเล็กไว้ข้างที่นอนซึ่งผมนอนชั้น 2
เอาไว้ติดกำแพง หันหน้าเข้ากระเป๋า และเอาผ้าห่มคลุม
ถ้าใครจะหยิบจากชั้น 1 ก็จะลำบาก เพราะเตียงสูงมาก
ก่อนนอน แม้แบตมือถือไม่เต็มก็ถอดที่ชาร์จออก
เอามือถือไว้ใต้หมอนด้านติดกำแพง
แต่ก็มิวายฝันว่า มีคนหนึ่งเก่งมาก
มาขโมยเงินเราไปได้
ของทั้งหมดที่ผมมีอยู่ มันเอาไปแค่เงิน
คือแค่เงินในกระเป๋าจริงๆ
ซึ่งยากกว่าการหิ้วกระเป๋าไปทั้งหมดในความเป็นจริง
ทำให้รู้เลยว่า ผมกังวลเรื่องเงินหาย
ผมให้ความสำคัญกับเงินก้อนนี้
ตื่นเช้าเรียกแท็กซี่ออกมาสถานีรถไฟ
คนในที่พักบอกว่าค่าแท็กซี่ 20-25 ดีรั่ม
แต่สุดท้ายผมโดนเก็บ 30 ดีรั่ม
คือต่อจนขี้เกียจต่อ
ขี้เกียจใช้ทักษะการแสดงเพื่อประหยัด 5 ดีรั่ม
รถไฟจากสถานีมาราเกซ-เฟสใช้เวลาแปดชั่วโมงครึ่ง
ผมไม่ได้ดูสองข้างทางมากนัก
อ่านหนังสือ ดูเน็ตฟลิกซ์ ดูยูทูบเป็นส่วนใหญ่
สังเกตตัวเองว่าเวลาเที่ยวคนเดียว
อิสระก็จริง แต่ผมจะไม่ค่อยอยากคุยกับใคร
ไม่รู้ทำไม รู้สึกไม่สบายใจ
เลยไม่ได้คุยกับใครตลอดทาง
ลงรถไฟที่เฟส จับแท็กซี่แดงเข้าเมือง
คิดว่าค่าโดยสาร 35 ดีรั่มก็แพงไป แต่ขี้เกียจต่อ
แท็กซี่เหมือนมีของขวัญให้นักท่องเที่ยว เพื่อเป็นสีสันนิดหน่อย
คือแวะถ่ายรูปให้ตรงจุดชมวิวเมืองเฟส
ลุงพาขับมาส่ง และส่งไม้ต่อให้กับเพื่อน
ภาพที่ตลกคือ
การที่คนเข็นรถเข็นอยากได้เงินจากผม
ถึงขนาดเอารถเข็นใหญ่ๆ มาเข็นกระเป๋าใบเล็กของผม
และพาเดินไปที่พัก
แต่ก็ดีตรงที่ได้คนเข็นรถคอยนำทาง
คือถ้าให้มาเองคงไม่รอด
ขนาดเดินตามยังตามไม่ทันเลย
ลึกมาก และบรรยากาศยามเย็นยิ่งทำให้น่ากลัว
จากในรูป ผมเห็นที่พักแค่ห้อง ไม่เห็นบรรยากาศรอบนอก เลยไม่รู้มาก่อน
เอาเข้าจริง น่ากลัวดี
แต่การผจญภัยต้องผ่านไปให้ได้
ทำให้รู้ว่าจิตใจเราอ่อนไหว อ่อนแอแค่ไหน
หลังจากเก็บกระเป๋าแล้ว
ก็ด้วยความหิว ลงมาหาอะไรกิน
คิดว่าไม่นานคงจะกลับที่พัก
เพราะขนาดสว่างยังน่ากลัวเลย
และตั้งแต่เริ่มเขียน จนกระทั่งตัวอักษรนี้
ผมกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ที่เดินผ่านแล้วเห็นลุงยืนอยู่หน้าป้าย เชิญชวนไปเรสเตอรองก์
ลุงพาเดินเข้ามาลึกๆ
แม่เจ้า! ทั้งร้านไม่มีใครเลย
เหมือนกับเปิดร้านนี้เพื่อผมโดยเฉพาะ
คือตอนเดินเข้ามา ลุงเพิ่งกดเปิดไฟร้านด้วย
ทั้งร้านตอนนี้เลยมีผมเป็นลูกค้าคนเดียว
ไฟสลัวๆ ห้องตกแต่งสไตล์โมร็อกโก
และรู้สึกว่าเหมือนจะถูกโกง
ไม่รู้ทำไมรู้สึกแบบนี้
เพราะอาหารเป็นชุดๆ แพงเหลือเกิน
ผมบอกว่าไม่ค่อยหิว และเอาแค่อันนี้ๆๆๆ
คอยดูว่าจะเท่าไหร่
จะถูกโกงมั้ย
ป.ล.
เพื่อความสบายใจ
เราจะต้องตั้งจิตคิดว่า เอาเงินมาเที่ยวเพื่อให้โดนโกง
พอเราโดนโกงก็จะคิดได้ว่า เป็นเรื่องธรรมดา
ได้มามากแล้ว ถือว่าบริจาคให้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
สรุป ไม่รอด โดนไป 154 ดีรั่ม
ประมาณเกือบหกร้อยบาท
กับไก่หนึ่งชิ้น ไข่เจียว มันฝรั่ง และน้ำส้ม
ที่น่าแปลกใจคือ
ตอนเข้ามา ผมอ่านเมนู ลุงรับออเดอร์
บริการด้วยสายตาสุภาพ อยากเอาอะไรจะจัดให้
แต่พอตอนเก็บเงิน ผมบอกไปว่าราคาสูง ค่านี้อะไร ค่านั้นอะไร
เท่านั้นแหละ สายตา ท่าทางเปลี่ยนเลย
เหมือนคนละคน
ในใจหงุดหงิด แต่ไม่รู้จะทำยังไง
ประมาณว่าก็ต้องจ่าย เพราะกินไปแล้ว
จะคายออกมาก็น่าเกลียด
เรียกเท่าไหร่ ก็ต้องจ่ายไป
มันไม่เหมือนสินค้าอื่นที่ตกลงก่อนซื้อ
ถ้าไม่ให้ราคาที่ต้องการ ก็เดินหนี
อันนี้กินไปแล้ว จบ จ่าย
พอเจ้าของร้านรับเงินไป เดินหนีผมเลย
ผมโกรธ และก็เดินออกมา ไม่หันกลับไปมองอีก
กลับมาอยู่ที่ห้อง นั่งจัดกระเป๋าเสื้อผ้าใหม่
ทบทวนการเดินทางครั้งนี้
การเดินทางคนเดียว มักจะไม่มีความสุขจนครบวัน
สุขครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีใครรับรู้
ไม่ได้แชร์เหตุการณ์ร่วมกัน
ได้แต่เก็บไว้คนเดียว เก็บมาเขียนไดอารี
กินข้าวเสร็จ ไม่รู้จะไปไหนเลย
กลับห้องสถานเดียว เพราะมันหลงได้ง่ายๆ
กลับมาก็ได้แต่นั่งดูยูทูบที่โหลดๆ ไว้ ฆ่าเวลา
ไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ
จองที่พักมาผิดตำแหน่งด้วย ขนาดเดินไปสองฟาก เจอร้านอาหารแค่ฟากละร้าน
แต่พรุ่งนี้จะพักอีกที่ ร้านอาหารรอบตัว
จองแถวๆ Gate ทางเข้าเมดินา
คืนนี้ก็ตกระกำลำบากไปก่อน
ขึ้นห้องมาลืมซื้อน้ำเปล่า
ไม่รู้จะทำยังไงเลย ออกไปก็เสียว
เพราะทางแคบ มืด เล็กมาก
ยอมอดน้ำ และรอตื่นพรุ่งนี้
ย้ายห้องมาพักแถวแหล่งเจริญ
หิวน้ำมาก ที่พักแรกบอกว่ามีเบรกฟาสต์ให้
ยอมไม่กินและออกมา
แบกกระเป๋าสองใบ เดินตามแมปส์บวกกับถามคน จนมาถึงที่พักที่สอง
เหนื่อยมาก เพราะกระเป๋าหนัก
พอเข้าห้อง เอากระเป๋าเก็บปุ๊บ กระโจนเที่ยวกับกระเป๋าเบาหวิว
ตอนบ่ายเลยเดินไปสี่ชั่วโมง
ไฮไลต์อยู่ที่การตัดสินใจไปดูโรงฟอกหนัง
ทางซับซ้อนมาก ได้แต่เดินตามทางที่ถามเอาจากผู้คน
รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเสียเงินให้กับการดูโรงฟอกหนัง
พอมีคนทักปุ๊บ เลยเดินตามเขาไปในดงที่แสนลึกลับ
พอถึงหน้าประตูก่อนทางเข้า
ชาวโมร็อกโกสามคน กับผมหนึ่งคน คุยเรื่องค่าใช้จ่ายกัน
เป็นการต่อรองที่ผมเอาจริงเอาจังมาก
เพราะคนโมร็อกโกมีทีท่าจะเก็บแพง
ผมยืนยันว่าให้ได้สูงสุดที่ 20 ดีรั่ม
เขาบอกว่า ตอนพาฝรั่งชมจ่ายตั้ง 500-700 ดีรั่ม
ผมทำท่าจะเดินหนีเลย บ้ามาก
แต่เขาก็รั้งไว้และบอกว่า 30 ดีรั่ม
ผมตกลง
ก่อนมาตั้งใจจะดูโรงฟอกหนังจากมุมสูงอย่างที่นักท่องเที่ยวดูกัน
แต่คนนำทางพาเดินเข้าไปในระยะโคลสอัพ
คือลงไปแถวบ่อเลย
ถ้าเป็นสวนสัตว์ คนอื่นคือดูนอกกรง
แต่พนักงานลากผมเข้ากรง
ระทึกมาก ไม่ได้เตรียมใจกับการได้กลิ่นระยะใกล้
เห็นบ่อทำสีระยะใกล้
เห็นหนังสัตว์สดๆ ระยะใกล้
เห็นคนกำลังปาดขนออกจากหนังระยะไม่ถึงเมตร
แหงนหน้ามองไปข้างบน คนถ่ายรูปเพียบ
ก่อนกลับ ผมบอกว่าอยากดูมุมสูงบ้าง
เขาพูดว่าจะพาผมไป และอะไรต่อมิอะไรสักอย่าง
ผมฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ตามไป
ตามไปที่ร้านขายหนังแปรรูปเป็นรองเท้า กระเป๋า
และได้ภาพจากมุมบนเช่นกัน กดมาหนึ่งรูป ก่อนขอลาจากมา
เขาขอเก็บเงิน ก็จ่ายไป 30 ดีรั่ม
นึกว่าจะจบ แต่ไม่จบ ทำสายตาอ้อนวอน
ในมือผมมีเหรียญบาทไทยห้าเหรียญ เลยให้เพิ่มไปอีก
ที่ไหนมีคน ที่นั่นมีตลาด
ตลาดโมร็อกโกแปลก
ขายรองเท้า แบบวางเป็นข้างๆ ให้ดูเยอะๆ
คนยืนเป็นกลุ่มๆ เอาของมาขายคนละชิ้นสองชิ้น
เหมือนเอาของที่ไม่ใช้จากบ้านมาขาย
แบบเปิดตู้เสื้อผ้า คิดว่าตัวนี้ไม่ใช้ ก็แบกมาขาย
ถึงที่หมายเวลา 21:20 น.
ห้าชั่วโมงกับการขับไต่ขึ้นเขามาเรื่อยๆ
หลับบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ดูหนัง ฟังเพลงบ้าง
สุดท้ายเบื่อๆ ใช้วิธีหางานทำ
ผมชอบเบื่อเวลาไม่มีอะไรทำ
แต่พอทำเยอะๆ ก็จะเบื่อเหมือนกัน
เลยพิมพ์เล่าอะไรไปเรื่อยเกี่ยวกับการเดินทาง
เกี่ยวกับเงิน 35 ดีรั่ม
เกี่ยวกับโรงฟอกหนัง
จนได้รู้ว่าการเขียนอะไรที่มีประเด็นจะเขียนได้ดี
และการพิมพ์ตัวอักษรจะดีกว่าการเขียนเมื่อจะเล่าอะไรที่มีประเด็น
เหมือนค่อยๆ สร้างเรื่องขึ้นมา
และรู้ว่าจะมีคนอ่าน
สามทุ่มครึ่งถึงเมืองสีฟ้า
มีคนขับมาทัก ผมยื่นชื่อที่พักให้ดู
เขาพยักหน้าและบอกว่า 30 ดีรั่ม
ผมต่อเหลือ 20 ดีรั่ม
แม่งบอก “Let’s go.”
แสดงว่าตั้งราคาเผื่อต่ออยู่แล้ว
จริงๆ ปกติอาจจะแค่ 10 ดีรั่มก็ได้
ก่อนนอน ใช้เวลาให้คุ้มค่า
ออกไปเดินเมืองสีฟ้าสักหนึ่งชั่วโมง
ได้อารมณ์มาก รอบตัวสีฟ้าหมด
ในอดีตคงมีบางคนลุกขึ้นมาประกาศกร้าวว่า
จะทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียง ดึงดูดคนจากทั่วโลก
ทำยังไง
ทาสีฟ้าทั้งเมือง
คิดไม่ยาก แต่ต้องเกลี้ยกล่อมให้ทุกบ้านคิดแบบนี้ และทาสีฟ้า
ซึ่งได้ผลด้วย เหมือนเดินในทะเลเลย
คืนนี้เจอเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ผมเดินอยู่ เขาทักทาย “มาเลเซีย”
ปกติเวลาใครทัก ผมจะไม่ค่อยหัน
เพราะหลังจากคำทักทาย ส่วนใหญ่จะเป็นการขายของ
ไม่รู้ทำไมถึงหยุดคุยกับเด็กคนนี้
พอบอกว่ามาจากไทยแลนด์
เด็กทำท่าเหมือนจะพูดคำทักทายได้
พอผมเฉลยว่า “สวัสดีครับ” พูดไม่ทันจบประโยค
เขาก็ต่อคำพูดได้
แน่นอน พูดจบเขาก็ขายของให้ผม
เขาขายแม่เหล็กที่ทำจากไม้ เป็นประตูเปิด-ปิดได้
ขายในราคา 30 ดีรั่ม ถือว่าแพงใช้ได้
เขาชวนผมนั่ง ผมไม่นั่ง ถ้านั่งจะนาน
เขาพูดขายไปเรื่อย
ระหว่างขาย ก็คุยเรื่องอื่นเป็นระยะ
เขาบอกผมว่ากำลังเรียนสามภาษา
อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น
สิ่งนี้ทำให้ผมคิดทำอะไรบางอย่าง
ผมบอกเขาว่าอยากได้พวงกุญแจ
เด็กบอกว่า จะไปเอามาจากอีกร้าน ให้ผมรอที่นี่
ผมเดาออกแล้วแหละว่า ร้านที่เขาไปดีลมาก็ต้องบวกกำไรเพิ่มอยู่แล้ว
เขาถึงให้ผมรอที่นี่
แต่ผมตามเขาไป เขาก็ยอมให้ตามไปด้วย
พอจะถึงร้าน เขาก็ให้รอ
ร้านแรก ไม่มี
เขาพาไปอีกร้านหนึ่ง ผมก็ยืนรอ
สุดท้ายเขาก็ได้มา และเดินพาผมไปซื้อขายอีกที่
เนียนมากไอ้น้อง
เขาบอกว่าอันละ 30 ดีรั่ม
เขาพยายามเชียร์ขายมากกว่าหนึ่งอัน
สุดท้ายผมบอก
ผมทำให้ตัวเองและเด็กโมร็อกโกคนหนึ่งมีความสุขด้วยเงิน 5
วันนี้เก้าโมง มีนัดไปน้ำตกอักชอร์
เพราะเมื่อวาน คนที่รับเช็กอินเสนอว่า
จ่ายแค่ 180 ดีรั่ม คุณก็จะได้ไปน้ำตกที่ดังที่สุดของที่นี่
ค่าไกด์ 100 ดีรั่ม
ค่ารถ 50 ดีรั่ม (เที่ยวละ 25)
ค่าอาหาร 30 ดีรั่ม
ผมตกลงทันที ให้โชคชะตาพาไป
ผมคงเข้าใจความหมายของไกด์ผิดไป
ผิดไปจริงๆ
ไกด์พาผมนั่งแท็กซี่มาเที่ยวน้ำตก
คิดว่าไกด์จะช่วยเราในการเดินครั้งนี้
เปล่าเลย แม่งเดินนำกูไปไกล
ไกลชนิดที่ว่า เหมือนชวนกูมาเล่นวิ่งไล่จับ
โดยกูเป็นคนไล่
ไม่คิดเลยว่ากูไม่เคยมา ไม่คุ้นเคย
ถามมัน มันบอกมาวันเว้นวัน
นำกูไปไกลไม่พอ
มีการหันมาเร่งอีก
พอถึงจุดหมาย
ใช้กูถ่ายรูปให้ตัวเองอีก
ขอไวไฟกูอีก
ให้กูส่งรูปให้อีก
ตกลงใครไกด์ใคร
ฝนตก ผมบอกประมาณว่าฝนตก พากูไปหลบที
สิ่งที่เกิดขึ้น เอากระดาษมาปิดแก้วชาให้
กลัวชาจืด
ค้นพบแล้วว่าผมไม่เหมาะกับการท่องเที่ยวคนเดียว
แต่ถามว่าหากวันนั้นเลือกที่จะกลับพร้อมทีมงาน
ผมก็คงเสียดาย และคิดว่ารู้งี้น่าจะอยู่ต่อ
ลองคิดเล่นๆ ว่าหากไปประเทศอื่น
ผมก็คงอยากอยู่ต่อ
ดูเหมือนคำสาป
พอได้อิสระก็ต้องแลกมากับความโดดเดี่ยว
รู้สึกว่ามันมีอะไรขาดๆ เกินๆ ไม่เติมเต็ม
ถ้าวัดเอาที่ผ่านมาว่าทริปไหนเติมเต็ม
คงเป็นทริปที่ตั้งใจเพื่อไปถ่ายคลิปวิดีโอ ไปเที่ยวเพื่อทำงาน
ทริปทัวร์ที่ไปกับครอบครัว
ทริปที่ไปเพื่อพักผ่อน
และทริปที่ไปทำค่าย
บางสถานที่ เสน่ห์ของการไปเที่ยวไม่ครบทุกแห่ง
คือการทำให้อยากมาอีก
แต่กับโมร็อกโกนั้น คิดว่าคิดถูกแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะได้มาอีก
พอมีโปรแกรมโน้ตในมือถือ
วินัยการเขียนเล่าเรื่องในไดอารีก็ขาดหาย
ผมจดแบบสั้นๆ ลงโน้ตแทน
จดไม่เกินห้าพยางค์ด้วยซ้ำ
ซึ่งผมคิดว่ามันไม่เสียหายมากมายหรอก
เพียงแต่ว่ามันไม่คุ้นชิน
รู้สึกว่าวินัยเราหายไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in