เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[SF/OS] When you love someone | (jaedo/johnyong/markmin)arj__7
Viewer (jaedo) - 1 #wylso


  • ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง มันฟังดูแปลกๆไหมถ้าตัวผมเองชอบมองเพื่อนร่วมเอกคนนึงมาตลอดระยะเวลาสามปี เขามักนั่งที่โต๊ะเลคเชอร์ทางฝั่งซ้ายมือเสมอ ประมาณกลางๆค่อนไปทางหน้าห้อง ชอบมาก่อนเวลาเรียนประมาณสิบนาทีเศษๆ ขายาวที่ก้าวเข้ามาในห้องพ่วงเพื่อนสนิทอีกสองสามคนพร้อมกับสายตาที่มองที่นั่งประจำในทุกๆครั้ง


    วันนี้เขาดูเหมือนจะหัวเสียมาไม่น้อย พวกกลุ่มใหญ่ในเอกคุยๆกัน ได้ข่าวมาว่าอาจารย์เจตน์ให้เกรด D กับงานของเขาในวิชาสีน้ำเบื้องต้น เท่าที่จำได้เขาได้้มันมา 3 อาทิตย์ติดแล้วสำหรับการบ้านวิชานี้ และแย่แน่ๆถ้าเขาได้มันอีกครั้ง คะแนนของเขาย่ำแย่ในวิชาที่เกี่ยวกับศิลปะหรือวิชาที่ต้องใช้ไอเดีย เหมือนกับผมที่เรียนได้ย่ำแย่ในวิชาที่ต้องคิดคำนวณ 


    'กูแย่แน่ๆ กูไม่อยาก F ไฟนอลด้วย'

    'ช่วงโปรเจคมึงลองไปคุุยกับดิมดิ กูว่ามันน่าจะช่วยได้’

    ‘เชี่ย คงได้เหอะ กูมีจังหวะคุยที่ไหน’


    ความบังเอิญที่ทำให้ผมลำบากอีกครั้ง ผมตัวแข็งทื่อทันทีที่เพื่อนของเขาเอ่ยชื่อผมออกมา ทำเป็นเฉไฉคุยเรื่องจิปาถะกับเพื่อนๆในกลุ่ม เรื่องอาหารกลางวัน งานที่ต้องกลับไปทำ ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดภายใต้สีหน้าที่เคร่งเครียด ผมค่อนข้างพูดน้อยตามมุมมองของเพื่อนสนิทที่เคยบอกผมก่อนที่จะสนิทกัน นั่นทำให้การผูกมิตรของผมแทบจะเกือบติดลบ ไม่รู้ว่านั่นเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าที่เวลามีปัญหาอะไรในเอกที่เรียน คนที่ได้รับผลกระทบเกือบท้ายที่สุดคงจะเป็นผม 


    อาจารย์เจตน์บอกว่าอาทิตย์หน้าจะมีทริปสีน้ำ เราจะไปวาดรูปกันที่ทะเล งานที่ค่อนข้างหนักหน่วงในช่วงใกล้ไฟนอลอีกแล้ว เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอหันไปมองเขาที่นั่งฝั่งซ้ายมือ เขาขมวดคิ้วแทบจะตลอดแม้เพียงเสี้ยวหน้าที่ผมได้เห็น 

    และแล้วก็ถึงช่วงเวลาเลิกคลาสทุกครั้งที่เดินออกมามันมักจะเต็มไปด้วยเสียงเนือยๆหมดแรงของเพื่อนแต่ละคน 


     'ช่วยกูหน่อยดิ'

    ผมหันไปตามแรงกระตุกชายเสื้อนักศึกษาที่หลุดออกนอกกางเกงของตัวแบบไม่ทันตั้งตัว 

    'อะไร' ผมถาม

    'สีน้ำ'  เขาตอบ


    ผมยืนนิิ่ง ไม่ตอบ และเขาที่เริ่มกระสับกระส่าย


    'อืม เดี๋ยวช่วย' ผมพูด

    'ขอไลน์หน่อยดิ' เขาพูดพร้อมกับแววตาที่ดูมีประกายขึ้นมา 


    ลมหายใจผมติดขัดเล็กน้้อยก่อนจะเนียนถอนหายใจออกมายาวๆไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้นานๆเลยให้ตาย กลุ่มเพื่อนของเขารออยู่ข้างล่างตึกพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของผมนั่นแหละ ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ถูกเรียกเรียนเสริมกระทันหัน ตอนนี้บนชั้นสามตอนนี้ที่มีแค่ผมกับเขาตรงโถงทางเดิน เสียงที่เขาพูดเมื่อกี้ผมยังลังเลว่ามันคือเรื่องจริงหรือแค่หูฝาด


    'ไปหาในไลน์เอกได้ป้ะ จำไอดีไม่ได้' ผมเม้มปาก

    'จริงจังป้ะเนี้ย' เขาถอนหายใจ

    ' อือ จริงๆ'


    เราเดินลงมาพร้อมกัน เพื่อนของเราทั้งคู่ต่างพูดบ่นเป็นนัยๆว่าหิวข้าว รอเราทั้งคู่จนจะจับนกแถวนั้นย่างกิน ผมหัวเราะแล้วส่ายหน้าน้อยๆ 

    ไม่กี่นาทีต่อมา ผมรู้สึก.. เหมือนมีคนมอง พอหันกลับไปก็เห็นเขากำลังจ้องหน้าผมอยู่ หน้านิ่งๆนั่นค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาให้ มันรุนแรงมากจนผมใจสั่นและนานจนเป็นผมเสียเองที่ต้องหลบสายตา


    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา พวกเราทั้งหมดไปวาดรูปที่ทะเล รองเท้าผ้าใบของทุกคนถูกถอดกองรวมกันหลังจากที่เดินหามุมสงบๆใต้ต้นไม้วาดรูปได้แล้ว ผมก็็จัดการปูผ้าที่เตรียมมาและจัดแจงกระดานให้อยู่ในท่าที่พอเหมาะ ไม่กี่วินาทีต่อมาเงาปริศนาพาดผ่านบนหัวจนผมต้องเงยหน้ามอง 


    'กูนั่งด้วยดิ' เขาพูด

    'คือ..' ผมก้มมองผ้าผืนบางที่ปูกับพื้นทราย

    'ไม่ได้หรอ'


    ผมเงียบ และเขายังคงยืนรอคำตอบ 

    สีหน้ากวนโอ้ยนั่นทำให้ผมใจอ่อน


    'อือ ผ้ามันเล็กนะ เบียดนิดหน่อย'

    'ไม่เป็นไร' เขาวางรองเท้าแล้วทรุดตัวนั่งข้างๆ


    ผมก้มหน้าก้มตาใช้ดินสอร่างแบบคร่าวๆให้เสร็จและรีบลงสี 


    'ตามหาตัวตั้งนาน ทำไมมาวาดตรงนี้อ่ะ' เขาถาม

    'ยากดีไม่มีคนแย่ง' ผมตอบ เขาหัวเราะ

    'ขิงว่ะ' เขาพูด

    'เปล่า จริงๆมันเงียบดี ตรงนู้นมันวุ่นวาย'


    .


    .


    ท้ายที่สุดแล้วหลังจากที่ผมช่วยให้เขาผ่านวิชาสีน้ำเบื้องต้นมาได้(แบบทุลักทุเลนิดหน่อย) ผมกับเขากลายเป็นบัดดี้ที่ช่วยงานกันเกือบทุกมรสุมโปรเจคที่ผ่านเข้ามา 

    กลุ่มของเราทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นถึงขั้นมานอนกองรวมกันทุกครั้งที่ทำงาน เมากันอยู่บ่อยครั้งหลังส่งงาน ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรของพวกเราค่อนข้างก้าวกระโดดจากจำนวนชั่วโมงที่เราใช้ร่วมกันในแต่ละวัน 

    และ จากผม คนที่มองเขาในทุกครั้งที่โต๊ะเลคเชอร์ฝั่งตรงข้ามในทุกคาบเรียน


    ผมชอบเขา


    ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันหน้าประตูห้องเรียน ความประทับใจเล็กๆที่ตัวเขาเองก็คงจะลืมไปแล้วในหลายๆเรื่องในตอนที่เรายังเป็นเพียงคนที่รู้จักแค่ชื่อ

    วันรับน้องที่ผมเองโดนชนจนล้มลงไปคุยกับพื้น เขาเป็นคนที่ช่วยพยุงผมในตอนที่หัวเข่าแตกไปห้องพยาบาล เลือดที่หยดลงพื้นเรื่อยๆตามทางทำให้ผมเริ่มสติแตก 

    'เฮ้ มึงจะตายเพราะหัวเข่าแตกไม่ได้นะ' เขาเขย่าแขนผมเบาๆ

    ' ..'

    'โห หน้าคนหรือไก่ต้มวะ ซีดเอาจนว่า'


    กวน-

    ตีน

    ผมขยับปากตอบ

    และเขาหัวเราะเหมือนเดิม



    'เครียดว่ะไปเดิินเล่นเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ'

    'ขี้เกียจ'

    แต่ก็ยอมไปเดินเล่นด้วยทั้งๆที่เดดไลน์อีกไม่กี่วันข้างหน้ายังคงกวนใจผมอยู่ตลอด เดินเหม่อมองฟ้าไปเรื่อยๆและฟังใครอีกคนบ่นไปเรื่อยๆเหมือนกัน บนเส้นขอบฟ้าข้างหน้าที่เป็นสีส้ม เขาบอกกับผมว่าเรามาเดิินด้วยกันในเวลาแบบนี้ทุกครั้ง อยู่ด้วยกันเวลาที่ท้องฟ้าเป็นสีนี้แทบทุกครั้ง นั่นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ


    'ยิ้มบ่อยๆดิ' เขาหันมาพูด

    'ทำไม?' ผมถาม

    'ชอบ'

    'ห้ะ' 

    ความเงียบค่อยๆซึมเข้ามาในใจ 

    สมองเริ่มประมวลผลหนักขึ้น ขมวดคิ้วในขณะที่สายตายังเหม่อมองท้องฟ้า


    .


    .

     

    'ดิม ไปปั่นจักรยานกับกูหน่อยดิ'

    'ทำงาน'

    และเป็นอีกครั้งที่ผมทำตัวตรงข้ามกับสิ่งที่พูดไว้ทุกอย่างเมื่อเป็นคนตรงหน้า 


    ปั่นรอบที่ 1 กับเรื่องราวในอดีตที่เขามักเล่าให้ฟังในแพทเทิร์นเดิมๆ

    'เอาเหอะ มันผ่านมาแล้ว'  ผมพูด

    .

    .

    ปั่นรอบที่ 2 กับเรื่องราวของตัวเขาก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่นี่

    'ดีใจว่ะที่เข้ามาแล้วเจอมึง'  เขาพูด

    .

    .

    ปั่นรอบที่ 3 กับเรื่องราวในอดีตของพวกเราที่ผ่านมา

    'มึงไม่มีคนที่ชอบเลยหรอวะ' เขาถาม

    'ไม่บอก' ผมเฉไฉ

    'โห่ ไรวะ' 

    .

    .

    ปั่นรอบที่ 4 กับความลับของพวกเรา

    'มีอะไรจะบอกกูป้ะ สัญญาจะเป็นความลับ' เขายกนิ้วก้อยขึ้นมา

    'บอกไม่ได้' ผมหันไปมอง

    'ทำไมอีกอ่ะ'  เขาถอนหายใจ

    'บอกแล้วจะเรียกว่าความลับได้ไง' ผมหันไปยิ้ม

    .

    .

    ปั่นรอบสุดท้ายกับความเจ็บหน่วง

    'กูชอบน้องเค้าว่ะ' เขาเริ่มเล่า

    'เออ กูรู้นานละ' ผมตัดบท

    .

    .

    ความสัมพันธ์ของเราที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ในท้ายที่สุด และผมยินดีที่จะให้มันเป็นไปในแบบที่มันควรจะเป็น ดีใจที่การปั่นจักรยานในรอบที่ 4 ไม่ได้บอกความลับของตัวเองออกไป


    'อ้าว เพื่อนรักมึงไปไหนวะดิม' 

    'พวกมึงนี่นะตัวติดกันเกิ้น'

    'ถ้าไม่ติดที่ไอ้จิวมีแฟนกูคิดว่าแม่งจีบกันไอ้ห่าเอ้ย'

    'ไปกินข้าวกับน้องมั้ง'  ผมแค่นยิ้ม แล้วค่อยๆเดินออกมา 


    ในตอนเย็นที่ผมออกมากินข้าวกับกลุ่มเพื่อน สายตาผมเหลือบไปเห็นเขาที่โต๊ะม้าหินอ่อนฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามาทัก

    'ไม่เจอมึงนานเลยว่ะ คิดถึงนะเนี้ย' เขายีหัวจนผมร้องให้พอ

    'เวอร์ตลอด' ผมส่ายหน้าให้กับความโอเวอร์ของเขา

    'ไปได้แล้ว จะกินข้าว' ผมเอ่ยปากไล่แบบขอไปที

    เขาเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วนั่งลงกินข้าวด้วยกันกับน้องคนที่เขาเคยเล่าให้ฟังตอนที่ปั่นจักรยานรอบสุดท้าย

    ผมมองแล้วยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะรีบกินข้าวเพื่อกลับไปปั่นงานบนห้องต่อ 


    หกโมงเย็นกับแสงสีส้มที่เส้นขอบฟ้า เป็นอีกครั้งที่ผมทำตรงข้ามกับความตั้งใจที่ว่าจะขึ้นไปนั่งทำงานให้เสร็็จเร็วๆ ผมที่เตรดเตร่ไปเรื่อย เงยหน้ามองฟ้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอ่อนๆ เป็นการเดินเล่นคนเดียวที่เจ็บหน่วงในใจเล็็กน้อย 

    'ยิ้มบ่อยๆดิ' เขานึกถึงใครอีกคนเสมอทุกครั้งที่มาเดินคนเดียว

    บนถนนเส้นเล็กที่ทอดยาวออกไป ผมเดินไปเรื่อยๆจนรู้สึกถึงอากาศที่เริ่มเย็นลง เพื่อนที่ไลน์มาถามเรื่องงานกำลังดึงสติให้เขาอยู่กับความเป็นจริงในตอนที่ก้าวเดิน 

    ผมหยิบมือถือออกมาพร้อมกับดูข้อความพวกนั้น ก่อนจะกดเข้าไปในแชทของเขา


    'ดิมมึง พรุ่งนี้ว่างป้ะ'

    'ว่าง ทำไม'  เขากดส่ง

    'อยากเจอว่ะเหมือนไม่ได้เจอมึงนาน'

    'มีแฟนแล้วเวอร์ขึ้นหรอ' 


    ผมยิ้มบางๆกับความรู้สึกตัวเองท่ามกลางท้องฟ้าที่กำลังจะมืดสนิท เขาเงยหน้าอีกครั้ง สีท้องฟ้าตอนนี้เหมือนความรู้สึกเขากลายๆยังไงยังงั้น


    'มากินข้าวกับพวกกูดิพรุ่งนี้' 

    ผมพิมพ์ไปแค่นั้นแล้วไม่ได้กดเข้าไปดูอีกเลย


    หลายๆอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาที่ผ่านมา 

    ความสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อนของเขากับผม และความสัมพันธ์ของเขากับรุ่นน้องคนที่เขาชอบ

    แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือผมยังคงเป็นผมคนเดิม ยังรู้สึกเหมือนเดิมกับเขาคนนั้นที่มักนั่งที่โต๊ะเลคเชอร์ทางฝั่งซ้าย เขาในความทรงจำตอนที่เจอกันครั้งแรก ลักยิ้มที่ข้างแก้มเวลาหันมายิ้มกับผม ความกวนตามแบบฉบับดั้งเดิมของเจ้าตัว 


    ผมดีใจเสมอที่มันยังเหมือนเดิมกับผมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีใจที่การปั่นจักรยานในรอบที่ 4 ตัวผมเองยังคงยึดไว้ในใจว่าความลับก็ยังคงเป็นความลับและมันจะมีแค่ผมที่รู้ดีที่สุด

    ผมพอใจแล้วนะกับการมองเขาอยู่ตรงนี้แค่นั้นจริงๆ ผมมีความสุขตรงที่ตรงนี้ สนับสนุนเขา เห็นเขาประสบความสำเร็จจากจุดเล็กๆไปจนก้าวสำคัญในชีวิต

    ผมยินดีที่จะให้มันเป็นไปแบบนั้น และยิ่งกว่ายินดีถ้าหากในอนาคตผมยังอยู่ในชีวิตและเป็นส่วนหนึ่งในบางความสำเร็จของเขา 

    แต่ว่านะ ตอนนี้มันไม่ใช่ความลับแล้วเมื่อผมเล่าให้พวกคุณฟัง เอาเสียหมดเปลือกเลยจริงๆแหละ


    ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวเหล่านี้นะครับ


    .


    .


    Talk : ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ :) ยังไม่ได้ตรวจคำผิดค่ะ ติชมกันได้นะคะ  

    spc : เขียนแด่คุณ, แด่ความสำเร็จของคุณในวันนี้และที่ผ่านมา ขอบคุณที่เป็นแรงบรรดาลใจให้เราทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย

    based on true story 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in