ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง มันฟังดูแปลกๆไหมถ้าตัวผมเองชอบมองเพื่อนร่วมเอกคนนึงมาตลอดระยะเวลาสามปี เขามักนั่งที่โต๊ะเลคเชอร์ทางฝั่งซ้ายมือเสมอ ประมาณกลางๆค่อนไปทางหน้าห้อง ชอบมาก่อนเวลาเรียนประมาณสิบนาทีเศษๆ ขายาวที่ก้าวเข้ามาในห้องพ่วงเพื่อนสนิทอีกสองสามคนพร้อมกับสายตาที่มองที่นั่งประจำในทุกๆครั้ง
วันนี้เขาดูเหมือนจะหัวเสียมาไม่น้อย พวกกลุ่มใหญ่ในเอกคุยๆกัน ได้ข่าวมาว่าอาจารย์เจตน์ให้เกรด D กับงานของเขาในวิชาสีน้ำเบื้องต้น เท่าที่จำได้เขาได้้มันมา 3 อาทิตย์ติดแล้วสำหรับการบ้านวิชานี้ และแย่แน่ๆถ้าเขาได้มันอีกครั้ง คะแนนของเขาย่ำแย่ในวิชาที่เกี่ยวกับศิลปะหรือวิชาที่ต้องใช้ไอเดีย เหมือนกับผมที่เรียนได้ย่ำแย่ในวิชาที่ต้องคิดคำนวณ
'กูแย่แน่ๆ กูไม่อยาก F ไฟนอลด้วย'
'ช่วงโปรเจคมึงลองไปคุุยกับดิมดิ กูว่ามันน่าจะช่วยได้’
‘เชี่ย คงได้เหอะ กูมีจังหวะคุยที่ไหน’
ความบังเอิญที่ทำให้ผมลำบากอีกครั้ง ผมตัวแข็งทื่อทันทีที่เพื่อนของเขาเอ่ยชื่อผมออกมา ทำเป็นเฉไฉคุยเรื่องจิปาถะกับเพื่อนๆในกลุ่ม เรื่องอาหารกลางวัน งานที่ต้องกลับไปทำ ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดภายใต้สีหน้าที่เคร่งเครียด ผมค่อนข้างพูดน้อยตามมุมมองของเพื่อนสนิทที่เคยบอกผมก่อนที่จะสนิทกัน นั่นทำให้การผูกมิตรของผมแทบจะเกือบติดลบ ไม่รู้ว่านั่นเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าที่เวลามีปัญหาอะไรในเอกที่เรียน คนที่ได้รับผลกระทบเกือบท้ายที่สุดคงจะเป็นผม
อาจารย์เจตน์บอกว่าอาทิตย์หน้าจะมีทริปสีน้ำ เราจะไปวาดรูปกันที่ทะเล งานที่ค่อนข้างหนักหน่วงในช่วงใกล้ไฟนอลอีกแล้ว เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอหันไปมองเขาที่นั่งฝั่งซ้ายมือ เขาขมวดคิ้วแทบจะตลอดแม้เพียงเสี้ยวหน้าที่ผมได้เห็น
และแล้วก็ถึงช่วงเวลาเลิกคลาสทุกครั้งที่เดินออกมามันมักจะเต็มไปด้วยเสียงเนือยๆหมดแรงของเพื่อนแต่ละคน
'ช่วยกูหน่อยดิ'
ผมหันไปตามแรงกระตุกชายเสื้อนักศึกษาที่หลุดออกนอกกางเกงของตัวแบบไม่ทันตั้งตัว
'อะไร' ผมถาม
'สีน้ำ' เขาตอบ
ผมยืนนิิ่ง ไม่ตอบ และเขาที่เริ่มกระสับกระส่าย
'อืม เดี๋ยวช่วย' ผมพูด
'ขอไลน์หน่อยดิ' เขาพูดพร้อมกับแววตาที่ดูมีประกายขึ้นมา
ลมหายใจผมติดขัดเล็กน้้อยก่อนจะเนียนถอนหายใจออกมายาวๆไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้นานๆเลยให้ตาย กลุ่มเพื่อนของเขารออยู่ข้างล่างตึกพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของผมนั่นแหละ ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ถูกเรียกเรียนเสริมกระทันหัน ตอนนี้บนชั้นสามตอนนี้ที่มีแค่ผมกับเขาตรงโถงทางเดิน เสียงที่เขาพูดเมื่อกี้ผมยังลังเลว่ามันคือเรื่องจริงหรือแค่หูฝาด
'ไปหาในไลน์เอกได้ป้ะ จำไอดีไม่ได้' ผมเม้มปาก
'จริงจังป้ะเนี้ย' เขาถอนหายใจ
' อือ จริงๆ'
เราเดินลงมาพร้อมกัน เพื่อนของเราทั้งคู่ต่างพูดบ่นเป็นนัยๆว่าหิวข้าว รอเราทั้งคู่จนจะจับนกแถวนั้นย่างกิน ผมหัวเราะแล้วส่ายหน้าน้อยๆ
ไม่กี่นาทีต่อมา ผมรู้สึก.. เหมือนมีคนมอง พอหันกลับไปก็เห็นเขากำลังจ้องหน้าผมอยู่ หน้านิ่งๆนั่นค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาให้ มันรุนแรงมากจนผมใจสั่นและนานจนเป็นผมเสียเองที่ต้องหลบสายตา
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา พวกเราทั้งหมดไปวาดรูปที่ทะเล รองเท้าผ้าใบของทุกคนถูกถอดกองรวมกันหลังจากที่เดินหามุมสงบๆใต้ต้นไม้วาดรูปได้แล้ว ผมก็็จัดการปูผ้าที่เตรียมมาและจัดแจงกระดานให้อยู่ในท่าที่พอเหมาะ ไม่กี่วินาทีต่อมาเงาปริศนาพาดผ่านบนหัวจนผมต้องเงยหน้ามอง
'กูนั่งด้วยดิ' เขาพูด
'คือ..' ผมก้มมองผ้าผืนบางที่ปูกับพื้นทราย
'ไม่ได้หรอ'
ผมเงียบ และเขายังคงยืนรอคำตอบ
สีหน้ากวนโอ้ยนั่นทำให้ผมใจอ่อน
'อือ ผ้ามันเล็กนะ เบียดนิดหน่อย'
'ไม่เป็นไร' เขาวางรองเท้าแล้วทรุดตัวนั่งข้างๆ
ผมก้มหน้าก้มตาใช้ดินสอร่างแบบคร่าวๆให้เสร็จและรีบลงสี
'ตามหาตัวตั้งนาน ทำไมมาวาดตรงนี้อ่ะ' เขาถาม
'ยากดีไม่มีคนแย่ง' ผมตอบ เขาหัวเราะ
'ขิงว่ะ' เขาพูด
'เปล่า จริงๆมันเงียบดี ตรงนู้นมันวุ่นวาย'
.
.
ท้ายที่สุดแล้วหลังจากที่ผมช่วยให้เขาผ่านวิชาสีน้ำเบื้องต้นมาได้(แบบทุลักทุเลนิดหน่อย) ผมกับเขากลายเป็นบัดดี้ที่ช่วยงานกันเกือบทุกมรสุมโปรเจคที่ผ่านเข้ามา
กลุ่มของเราทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นถึงขั้นมานอนกองรวมกันทุกครั้งที่ทำงาน เมากันอยู่บ่อยครั้งหลังส่งงาน ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรของพวกเราค่อนข้างก้าวกระโดดจากจำนวนชั่วโมงที่เราใช้ร่วมกันในแต่ละวัน
และ จากผม คนที่มองเขาในทุกครั้งที่โต๊ะเลคเชอร์ฝั่งตรงข้ามในทุกคาบเรียน
ผมชอบเขา
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันหน้าประตูห้องเรียน ความประทับใจเล็กๆที่ตัวเขาเองก็คงจะลืมไปแล้วในหลายๆเรื่องในตอนที่เรายังเป็นเพียงคนที่รู้จักแค่ชื่อ
วันรับน้องที่ผมเองโดนชนจนล้มลงไปคุยกับพื้น เขาเป็นคนที่ช่วยพยุงผมในตอนที่หัวเข่าแตกไปห้องพยาบาล เลือดที่หยดลงพื้นเรื่อยๆตามทางทำให้ผมเริ่มสติแตก
'เฮ้ มึงจะตายเพราะหัวเข่าแตกไม่ได้นะ' เขาเขย่าแขนผมเบาๆ
' ..'
'โห หน้าคนหรือไก่ต้มวะ ซีดเอาจนว่า'
กวน-
ตีน
ผมขยับปากตอบ
และเขาหัวเราะเหมือนเดิม
'เครียดว่ะไปเดิินเล่นเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ'
'ขี้เกียจ'
แต่ก็ยอมไปเดินเล่นด้วยทั้งๆที่เดดไลน์อีกไม่กี่วันข้างหน้ายังคงกวนใจผมอยู่ตลอด เดินเหม่อมองฟ้าไปเรื่อยๆและฟังใครอีกคนบ่นไปเรื่อยๆเหมือนกัน บนเส้นขอบฟ้าข้างหน้าที่เป็นสีส้ม เขาบอกกับผมว่าเรามาเดิินด้วยกันในเวลาแบบนี้ทุกครั้ง อยู่ด้วยกันเวลาที่ท้องฟ้าเป็นสีนี้แทบทุกครั้ง นั่นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ
'ยิ้มบ่อยๆดิ' เขาหันมาพูด
'ทำไม?' ผมถาม
'ชอบ'
'ห้ะ'
ความเงียบค่อยๆซึมเข้ามาในใจ
สมองเริ่มประมวลผลหนักขึ้น ขมวดคิ้วในขณะที่สายตายังเหม่อมองท้องฟ้า
.
.
'ดิม ไปปั่นจักรยานกับกูหน่อยดิ'
'ทำงาน'
และเป็นอีกครั้งที่ผมทำตัวตรงข้ามกับสิ่งที่พูดไว้ทุกอย่างเมื่อเป็นคนตรงหน้า
ปั่นรอบที่ 1 กับเรื่องราวในอดีตที่เขามักเล่าให้ฟังในแพทเทิร์นเดิมๆ
'เอาเหอะ มันผ่านมาแล้ว' ผมพูด
.
.
ปั่นรอบที่ 2 กับเรื่องราวของตัวเขาก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่นี่
'ดีใจว่ะที่เข้ามาแล้วเจอมึง' เขาพูด
.
.
ปั่นรอบที่ 3 กับเรื่องราวในอดีตของพวกเราที่ผ่านมา
'มึงไม่มีคนที่ชอบเลยหรอวะ' เขาถาม
'ไม่บอก' ผมเฉไฉ
'โห่ ไรวะ'
.
.
ปั่นรอบที่ 4 กับความลับของพวกเรา
'มีอะไรจะบอกกูป้ะ สัญญาจะเป็นความลับ' เขายกนิ้วก้อยขึ้นมา
'บอกไม่ได้' ผมหันไปมอง
'ทำไมอีกอ่ะ' เขาถอนหายใจ
'บอกแล้วจะเรียกว่าความลับได้ไง' ผมหันไปยิ้ม
.
.
ปั่นรอบสุดท้ายกับความเจ็บหน่วง
'กูชอบน้องเค้าว่ะ' เขาเริ่มเล่า
'เออ กูรู้นานละ' ผมตัดบท
.
.
ความสัมพันธ์ของเราที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ในท้ายที่สุด และผมยินดีที่จะให้มันเป็นไปในแบบที่มันควรจะเป็น ดีใจที่การปั่นจักรยานในรอบที่ 4 ไม่ได้บอกความลับของตัวเองออกไป
'อ้าว เพื่อนรักมึงไปไหนวะดิม'
'พวกมึงนี่นะตัวติดกันเกิ้น'
'ถ้าไม่ติดที่ไอ้จิวมีแฟนกูคิดว่าแม่งจีบกันไอ้ห่าเอ้ย'
'ไปกินข้าวกับน้องมั้ง' ผมแค่นยิ้ม แล้วค่อยๆเดินออกมา
ในตอนเย็นที่ผมออกมากินข้าวกับกลุ่มเพื่อน สายตาผมเหลือบไปเห็นเขาที่โต๊ะม้าหินอ่อนฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามาทัก
'ไม่เจอมึงนานเลยว่ะ คิดถึงนะเนี้ย' เขายีหัวจนผมร้องให้พอ
'เวอร์ตลอด' ผมส่ายหน้าให้กับความโอเวอร์ของเขา
'ไปได้แล้ว จะกินข้าว' ผมเอ่ยปากไล่แบบขอไปที
เขาเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วนั่งลงกินข้าวด้วยกันกับน้องคนที่เขาเคยเล่าให้ฟังตอนที่ปั่นจักรยานรอบสุดท้าย
ผมมองแล้วยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะรีบกินข้าวเพื่อกลับไปปั่นงานบนห้องต่อ
หกโมงเย็นกับแสงสีส้มที่เส้นขอบฟ้า เป็นอีกครั้งที่ผมทำตรงข้ามกับความตั้งใจที่ว่าจะขึ้นไปนั่งทำงานให้เสร็็จเร็วๆ ผมที่เตรดเตร่ไปเรื่อย เงยหน้ามองฟ้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอ่อนๆ เป็นการเดินเล่นคนเดียวที่เจ็บหน่วงในใจเล็็กน้อย
'ยิ้มบ่อยๆดิ' เขานึกถึงใครอีกคนเสมอทุกครั้งที่มาเดินคนเดียว
บนถนนเส้นเล็กที่ทอดยาวออกไป ผมเดินไปเรื่อยๆจนรู้สึกถึงอากาศที่เริ่มเย็นลง เพื่อนที่ไลน์มาถามเรื่องงานกำลังดึงสติให้เขาอยู่กับความเป็นจริงในตอนที่ก้าวเดิน
ผมหยิบมือถือออกมาพร้อมกับดูข้อความพวกนั้น ก่อนจะกดเข้าไปในแชทของเขา
'ดิมมึง พรุ่งนี้ว่างป้ะ'
'ว่าง ทำไม' เขากดส่ง
'อยากเจอว่ะเหมือนไม่ได้เจอมึงนาน'
'มีแฟนแล้วเวอร์ขึ้นหรอ'
ผมยิ้มบางๆกับความรู้สึกตัวเองท่ามกลางท้องฟ้าที่กำลังจะมืดสนิท เขาเงยหน้าอีกครั้ง สีท้องฟ้าตอนนี้เหมือนความรู้สึกเขากลายๆยังไงยังงั้น
'มากินข้าวกับพวกกูดิพรุ่งนี้'
ผมพิมพ์ไปแค่นั้นแล้วไม่ได้กดเข้าไปดูอีกเลย
หลายๆอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อนของเขากับผม และความสัมพันธ์ของเขากับรุ่นน้องคนที่เขาชอบ
แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือผมยังคงเป็นผมคนเดิม ยังรู้สึกเหมือนเดิมกับเขาคนนั้นที่มักนั่งที่โต๊ะเลคเชอร์ทางฝั่งซ้าย เขาในความทรงจำตอนที่เจอกันครั้งแรก ลักยิ้มที่ข้างแก้มเวลาหันมายิ้มกับผม ความกวนตามแบบฉบับดั้งเดิมของเจ้าตัว
ผมดีใจเสมอที่มันยังเหมือนเดิมกับผมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีใจที่การปั่นจักรยานในรอบที่ 4 ตัวผมเองยังคงยึดไว้ในใจว่าความลับก็ยังคงเป็นความลับและมันจะมีแค่ผมที่รู้ดีที่สุด
ผมพอใจแล้วนะกับการมองเขาอยู่ตรงนี้แค่นั้นจริงๆ ผมมีความสุขตรงที่ตรงนี้ สนับสนุนเขา เห็นเขาประสบความสำเร็จจากจุดเล็กๆไปจนก้าวสำคัญในชีวิต
ผมยินดีที่จะให้มันเป็นไปแบบนั้น และยิ่งกว่ายินดีถ้าหากในอนาคตผมยังอยู่ในชีวิตและเป็นส่วนหนึ่งในบางความสำเร็จของเขา
แต่ว่านะ ตอนนี้มันไม่ใช่ความลับแล้วเมื่อผมเล่าให้พวกคุณฟัง เอาเสียหมดเปลือกเลยจริงๆแหละ
ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวเหล่านี้นะครับ
.
.
Talk : ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ :) ยังไม่ได้ตรวจคำผิดค่ะ ติชมกันได้นะคะ
spc : เขียนแด่คุณ, แด่ความสำเร็จของคุณในวันนี้และที่ผ่านมา ขอบคุณที่เป็นแรงบรรดาลใจให้เราทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย
based on true story
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in