เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Post (NO) Script ปัจฉิม(ไม่มี)ลิขิต;)
P.S. - Pre Script not Prescript
  • เป็นเวลาเที่ยงแล้ว

    ความตื่นเต้นและความกังวลที่มีในช่วงสาย ตอนนี้กลับค่อยๆลดลง จนรู้สึกได้ว่าหัวใจไม่สั่นเหมือนจังหวะกลองสันอีกต่อไป แต่ร่างกายกลับจดจ้องที่ความร้อนในช่วงเที่ยงและสิ่งที่พี่ผู้หญิงเสื้อดำตรงหน้ากำลังอธิบายถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์วีซ่าเป็นครั้งสุดท้ายเสียมากกว่า

    หลังจากอธิบายเรียบร้อย พวกผมและเพื่อนอีก 2 คน ก็เตรียมเอกสารและเตรียมใจต่อ พวกเราใส่เสื้อค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น เพราะคงมีไม่กี่คณะมีการใส่ชุดกาวน์ แถมจากการคาดการณ์ก็น่าจะเป็นบุคคลไม่กี่คนที่น่าจะแก่ที่สุดด้วย และนี่เองคือจุดที่ทำให้รู้สึกกดดันนิดๆ 

    ความจริงแล้วตอนนี้พวกเรากำลังรอสัมภาษณ์วีซ่า J1 เพื่อเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา (ต่อจากตรงนี้ ขอเรียกว่า เมกาละกันครับ ขี้เกียจพิมยาว 5555) ซึ่งเป็นโครงการสำหรับแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของทางเมกา สำหรับนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ทุกคนน่าจะรู้จักกันในนามของโครงการ Work And Travel หรือ WAT จริงๆโครงการนี้มีมานานมากแล้ว แต่ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะเป็นโครงการที่ไปแลกเปลี่ยนโดยการทำงานเป็นเวลา 4 เดือน โดยแน่นอนว่าได้เงิน แถมยังมีเวลาหลังจบโครงการได้เที่ยวในเมกาอีก 1 เดือน จะมีโอกาสไหนอีกสำหรับเด็กนักศึกษาตาดำๆที่จะไปโดยไม่ต้องอาศัยเงินพ่อแม่มากนัก เพราะถ้าขอไปเที่ยวเฉยๆ แม่ผมคงด่าไปแล้วว่ามึงคิดอะไรอยู่ รวยมากมั้ง5555

    แต่ยังไงก็ดีผมซึ่งเป็นนักศึกษาปี 6 แล้ว ก็เท่ากับว่าปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายแล้วที่ผมมีโอกาสจะได้เข้าร่วมโครงการ และจากที่อ่านรีวิวมา ทุกคนล้วนบอกพร้อมกันว่านักศึกษาปีสุดท้ายจะเสี่ยงที่สุด เพราะเขากลัวโดดวีซ่า ส่วนรีวิวของนักศึกษาปี 6 ก็มีน้อยสุดๆ แทบจะประกอบร่างเอาความแน่นอนไม่ได้ เพราะใครเขาจะเรียน 6 ปีกัน โอ้ย ก็คงมีแค่ไม่กี่คณะ รวมถึงคณะเหี้ยนี่เนี่ยแหละ คิดแล้วก็แอบปวดใจ คณะอื่นเขามีเวลาตั้งหลายปีในช่วงปิดเทอมในการเข้าร่วม ถึงอย่างงั้นคณะผมส่วนมากต้องอุทิศไปกับการฝึกงาน แถมแค่คิดว่าถ้าไม่ผ่านวีซ่า คงทั้งเสียใจที่ไม่ได้ไปเที่ยวหลายๆที่ก่อนต้องเข้าสู่โลกการทำงาน มากไปกว่านั้นค่าใช้จ่ายที่เสียไปก็ไม่ใช่น้อย แม่ที่บ้านน่าจะรอเอาหัวผมจุ่มน้ำแน่ๆ (พูดไปงั้น แม่ไม่ทำหรอก บอกไว้ก่อน กลัวแม่โดนจับ555)

    ในระหว่างนี้ผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็คุยกันไปเรื่อยๆ เพราะเรามาถึงก่อนเวลาค่อนข้างมาก เพื่อนคนแรกคือ 'เอิง' อีกคน 'หยอย' เพื่อนจากคณะเดียวกันกับผม ปีนี้มีคนสนใจโครงการนี้ในคณะเราประมาน 8-9 คน ซึ่งปกติคือไม่มี ทุกคนจบมาพร้อมทำงาน เราจึงไม่รู้จะถามเอาประสบการณ์จากใครเลย ในบรรดาพวกเราที่สมัครโครงการ พวกผมเป็น 3 คนแรกที่ได้คิว โดยหยอยกับผม คือคนที่มีแผนการว่าจะไปทำงานที่เดียวกัน ส่วนเอิงไปคนเดียว ซึ่งผมว่ามันกล้ามาก แต่อาจจะเพราะมันเคยไปมาก่อน 1 รอบแล้ว ส่วนผมกับหยอยคุยกันว่าเราจะไม่แยกจากกัน เพราะกูกับมึงโง่ทั้งคู่55555

    หลังจากคุยเล่นพลางให้กำลังใจกันไปแล้ว พี่สาวชุดดำที่เป็น staff ของเอเจนซี่ที่ผมใช้บริการ ก็เข้ามาบอกว่าถึงเวลาแล้ว เดินไปสถานทูตได้เลยนะ

    สถานที่ก่อนหน้านี้ที่ผมนั่งคอยอยู่ไม่ไกลจากสถานทูตมากนัก ถึงอย่างงั้น แดดประเทศไทยก็เผาผิวผมระหว่างเดินมาไปไม่น้อย พอพวกเรามาถึงหน้าสถานทูตก็เกิดอาการตื่นเต้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความกังวลที่ต้องสัมภาษณ์ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่มาจากการต้องตรวจร่างกายและค้นตัวมากมาย รวมถึงเก็บโทรศัพท์และอุปกรณ์อื่นๆ เหลือเพียงเอกสารที่จำเป็นเท่านั้นที่เอาเข้าไปได้ ราวกับว่าพวกผมมีโอกาสจะเข้าไปทำร้ายท่านทูต หรือว่าเคยมีคนมาสัมภาษณ์แล้วอยากโดดตบทูต เพราะไม่ให้ผ่านวีซ่าจริง!! บ้าบอ หยุดคิดไร้สาระ แล้วเดินเข้าไปเถอะ!!

    หลังจากเดินเข้ามาตามทางเดิน ผ่านประตูกระจกเข้าไปยังบริเวณทำการสัมภาษณ์ เราก็พบว่าเราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเพียง 3 หน่อ ที่มุ่งมั่นมาสัมภาษณ์วีซ่าในวันนี้ แถวยืดยาวข้างหน้ารอเราอยู่ ดูจากความคดงอนั้น คงใช้เวลานานกันเลยทีเดียว

    ระหว่างต่อแถวเราก็พูดสัพเพเหระ พร้อมสังเกตสิ่งที่เห็นตรงหน้า ซึ่งเหมือนหลุดออกมาจากคำบรรยายในรีวิวบนกลุ่ม facebook เพียงฮึบใจเดียวก็ถึงคิวยื่นเอกสารของผม
    "บลาๆๆๆ นามสกุลค่ะ" เจ้าหน้าที่คนไทยถาม แต่ผมได้ยินประโยคแรกไม่ชัด เพราะผมไม่ได้ยินเสียงที่ออกจากปากเจ้าหน้าที่โดยตรง แต่เป็นเสียงที่ผ่านลำโพง เนื่องจากตรงหน้าผมกับเจ้าหน้าที่มีกระจกกั้นอยู่
    "นามสกุลแม่ครับ" ผมตอบกลับไปทันที เพราะคิดว่าจะมีปัญหาเรื่องที่ผมเปลี่ยนนามสกุลมาใช้นามสกุลฝั่งแม่
    "เอ่อ พี่หมายถึง ชื่อ-นามสกุลค่ะ"
    "อ่อ ครับ แหะๆ" ผมตอบกลับด้วยความเขินอาย แบบไอสัสเอ้ย กูงงไร55555
    หลังจากนั้นมีการยื่นเอกสารที่เตรียมมาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องเล็กน้อย ก่อนต่อแถวเพื่อสัมภาษณ์กับท่านทูตต่อไป

    แล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย ผมเป็นคนสุดท้ายในหมู่พวกเรา 3 คน ก่อนหน้านี้หยอยได้ช่องท่านทูตที่เป็นผู้ชายหัวล้าน ส่วนเอิงได้ช่องท่านทูตผู้หญิงที่เป็นคนอินเดีย ส่วนผมเจอกับท่านทูตผู้หญิงต่างชาติผมบลอนด์ ซึ่งทุกคนล้วนมีลักษณะตรงตามในรีวิวเป๊ะๆ
    "สวัสดีค่ะ แนะนำตัวเลยค่ะ" เธอเอ่ยทักทายเป็นภาษาอังกฤษ
    "สวัสดีครับ ผมชื่อ XXX เรียนอยู่ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย YY ครับ อันนี้เอกสารครับ" ผมตอบกลับไปเหมือนท่องมา ซึ่งกูท่องมาจริงๆ555 เพราะกลัวว่าจะแนะนำตัวมากไปหรือน้อยไป พร้อมสอดเอกสารลงในช่องเล็กๆ ใต้กระจกที่กั้นระหว่างพวกเราไว้
    "อันนี้ตรามหาวิทยาลัยหรอ เหมือนบนเสื้อเลย" เธอชี้สัญลักษณ์บน transcript แล้วชี้ต่อมาที่กระเป๋าผม
    "ใช่ครับ" ผมรีบตอบกลับไปแบบงงๆ เพราะคิดว่าจะจริงจังกว่านี้
    "เรียน 6 ปีหรอ"
    "ใช่ครับ เป็นหลักสูตรเภสัชของไทย"
    "โอเค ไปแล้วจะกลับมาใช่ไหม" เธอถามพร้อมรอยยิ้ม แต่ตามองไปทางคอมพิวเตอร์
    "กลับแน่นอนครับ ฮ่าๆ" ผมตอบ พร้อมความงงอีกครั้งว่าใครจะตอบว่าไม่กลับ 5555
    "โอเค แล้วจะไปเที่ยวต่อไหม"
    "ไป roadtrip ครับ 2 เดือน" ผมตอบอย่างเร็ว
    เธอไม่ถามอีกแล้วพิมพ์เอกสารต่อ แต่ผมเพิ่งนึกได้ว่าพูดผิด กูจะบอกว่า 2 อาทิตย์ 2 เดือนมันเลยเวลาโว้ยยยยย
    "เมื่อกี้ ผมหมายถึง 2 อาทิตย์นะครับ" 
    เธอพยักหน้าคล้ายจะฟัง แต่ยังพิมพ์เอกสารไม่หยุด เวลาผ่านไปนานมากจากความรู้สึก ทำเอาผมกังวลใช่เล่น
    "อีก 2 อาทิตย์เตรียมรับ passport คืนนะ อันนี้ใบนัดรับเอกสารจ่ะ" เธอหันมาบอกแบบที่ผมไม่ทันตั้งตัว
    "ห้ะ" ผมงง ก่อนจะตั้งสติได้แล้วร้องลั่นออกมาพร้อมขอบคุณ เธอมองด้วยความเอ็นดู
    "ขอให้โชคดีที่เมกานะจ้ะ" เธอพูดพร้อมยิ้ม

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in