เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Movie/series cornerAnotherme
วิเคราะห์สัญญะ: ประทัด ศาลเจ้า ทางลับ และท่าปลาดาว (ITSAY)
  • เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วหลังจากเรื่องราวความรักของ เต๋ และ โอ้วเอ๋ว ในซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ (Part1) ได้จบลง นี่เป็นอีกครั้งที่นาดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่บอส ผู้กำกับ ได้กระทำการครั้งยิ่งใหญ่ต่อจิตใจของผู้ชม เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่แม้ซีรีส์จะจบไปแล้วแต่ความประทับใจและความผูกพันที่มีต่อตัวละคร สถานที่ ยังคงอบอวลอยู่ในความห้วงความทรงจำ ฉากการหยิบยื่นดอกชบาที่เป็นเสมือนสิ่งแทน 'ใจ' ของโอ้วเอ๋วให้กับเต๋ ฉากที่เต๋สัญญากับโอ้วเอ๋วว่าจะวิ่งแก้บนจากหน้าบ้านไปถึงแหลมพรหมเทพด้วยกันถ้าหากโอ้วเอ๋วสอบติด ฉากที่เต๋ขอให้ม๊ะจี้สุ่ยกลับมาขายหมี่ฮกเกี้ยนอีกครั้ง เหมือนช่วงชีวิตมัธยมปลายของเต๋และโอ้วเอ๋วในภูเก็ตยังคงเล่นวนซ้ำไปมาอย่างไม่จบสิ้นในความทรงจำของเรา 

    ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงตะกอนความคิดที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจ แม้จะมีคนทำ recap/reaction/และเขียนบทความถอดสัญญะไปมากแล้ว แต่เราก็ยังรู้สึกว่าอยากเขียนความประทับใจที่มีต่อซีรีส์เรื่องนี้ไว้เป็นที่ระลึกอยู่ดี แปลรักฉันด้วยใจเธอเป็นซีรีส์เรื่องแรกของวงการไทยที่เราชื่นชมมาก หวังว่าซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทีมทำซีรีส์และภาพยนตร์ในการผลิตคอนเทนต์ที่หลากหลายและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต 

    1) ประทัด 
    ประทัดเป็นจุดเชื่อมต่อความสัมพันธ์ของเต๋และโอ้วเอ๋วตั้งแต่ตอนต้นจนกระทั่งจบ ตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกันเสียงประทัดแสดงความยินดีสำหรับการสอบติดโรงเรียนมัธยมดังขึ้นนำพาตัวละครทั้งคู่ที่กลัวประทัดเหมือนกันให้มาพบกันและได้เป็นเพื่อนกันในตอนเด็ก ต่อมาประทัดถูกนำมาใช้อีกครั้งในตอนที่ทั้งคู่ทะเลาะกันครั้งใหญ่จนเกิดการแตกหักในความสัมพันธ์
    และครั้งสุดท้ายหลังจากที่ความสัมพันธ์ได้ขาดสะบั้นลงเพราะเต๋ไม่สามารถให้ในสิ่งที่โอ้วเอ๋วต้องการได้เสียงประทัดก็ดังขึ้นอีกครั้งในวันสอบแอดมิชชั่น ประทัดที่เหมือนถูกจุดเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยในวันสอบครั้งสำคัญกลับนำพาตัวละครทั้งสองให้ได้กลับมาพบหน้ากัน ความสัมพันธ์ที่บาดหมางถูกตีรวนอีกครั้งในใจของเต๋และจุดชนวนให้นำไปสู่การ coming out ในซีนถัดๆไป อาจบอกได้ว่าหากไม่มีประทัดทั้งคู่ก็อาจจะไม่มีจุดตัดให้ได้มาเจอกัน และอาจไม่มีสิ่งเร้าให้นำไปสู่การเปิดใจ

    2) ศาลเจ้าแสงธรรม
    ยังรู้สึกขนลุกและประทับใจไม่หายที่ทางทีมเขียนบทเลือกใช้ 'ศาลเจ้า' ซึ่งเป็นตัวแทนทางศาสนา ขนบธรรมเนียมที่ยึดถือมานานของสังคมและที่สำคัญยังเป็นตัวแทนของประเทศจีนที่ยึดถือความเชื่อแบบปิตาธิปไตยอย่างแรงกล้ามาเป็นสัญญะแห่งความรักของเต๋และโอ้วเอ๋ว ทั้งยังเป็นเหมือนสักขีพยานรักให้กับทั้งคู่ ซึ่งเรารู้สึกว่าศาลเจ้าในครั้งนี้ถูกนำมาตีความในรูปแบบใหม่ แตกต่างไปจากหนังเรื่องอื่นๆที่เคยดูมา แปลรักฉันด้วยใจเธออาจกำลังพยายามนำเสนอมิติใหม่ที่ว่า รักร่วมเพศ ไม่ใช่สิ่งที่ผิดบาป ต้องห้ามอีกต่อไปในศาสนา หากเปรียบศาลเจ้าเป็นแนวคิดแบบเก่า การใช้สถานที่นี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในเส้นเรื่องก็อาจตีความได้ว่าความเชื่อแบบเก่ากำลังถูกแก้ไขและความรักของ LGBTQ+ ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในสังคม 

    ในแง่มุมของสัญญะความรัก เราจะเห็นได้ว่าศาลเจ้าแสงธรรมจะถูกแขวนป้ายปิดปรับปรุุงไว้ถึงสองครั้งซึ่งเป็นสัญญะว่าความสัมพันธ์ของเต๋และโอ้วเอ๋วยังปิดใจต่อกัน ถึงแม้ว่าในครั้งที่สองโอ้วเอ๋วได้สารภาพความรู้สึกของตนไปจนหมดเปลือกแล้วก็ตาม แต่ในใจของเต๋ก็ยังมีสิ่งที่ปิดกั้นความรักครั้งนี้ไว้อยู่ดี 

     
    จนกระทั่งตอนสุดท้ายที่เต๋ขับซาเล้งไปพร้อมกับโอ้วเอ๋วที่วิ่งแก้บนจนไปจอดที่ตรงหน้าศาลเจ้า และนั่นเป็นครั้งแรกที่ศาลเจ้ากลับมาเปิดประตูให้บริการอีกครั้ง ซ่ึ่งก็ตีความได้ว่าจิตใจของทั้งคู่ยอมรับซึ่งกันและกันแบบไม่มีข้อแม้แล้ว 

    ในแง่มุมของสักขีพยานรัก บทความ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’: สัญญะสุดวาบหวิวของกระบี่ มะพร้าว ดอกชบา และงานวิวาห์นอกขนบ ของ the momentum ได้ตีความไว้อย่างแยบยลว่าฉากที่ทั้งคู่ไปขอพรด้วยกันเปรียบเสมือนฉากวิวาห์นอกขนบซึ่งมี พระอ๋องซุนต่ายส่าย เทวรูปประธานศาลเจ้าเป็นสักขีพยานรักในครั้งนี้ ซึ่งเราเองก็คิดว่าการไปขอพรของทั้งคู่ก็เปรียบเสมือนคู่รักคู่ใหม่ที่กำลังเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เนื่องด้วยเสื้อที่ทั้งคู่ใส่เป็นสีแดงซึ่งเป็นสีที่คนจีนนิยมในงานมงคลทุกชนิด โดยเฉพาะงานแต่งงาน แล้วซีนนั้นก็เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องในช่วงบ่ายของวันที่ทั้งคู่เปิดใจต่อกัน ซึ่งการที่เต๋บอกโอ้วเอ๋วว่าอย่าลืมก้าวเท้าซ้ายก่อนเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยก็เปรียบได้ว่าการออกเดินทางในความรักครั้งใหม่กำลังเริ่มต้นขึ้นคู่ขนานไปกับการออกเดินทางซ้อมวิ่งแก้บนของโอ้วเอ๋วและการเดินทางสู่สนามสอบแอดมิชชั่นเช่นเดียวกัน 

    3) เส้นทางรักเส้นทางลับ
    ทางต้องห้ามหลังห้องเรียนพิเศษที่ถูกเชื่อมต่อเข้ากับศาลเจ้าแสงธรรม ซึ่งเป็นทางที่ตัวละครรู้กันแค่ 2 คน ทั้งยังเป็นเส้นทางหลักที่ทั้งคู่ใช้เพื่อเดินไปยังศาลเจ้าในขณะที่กำลังปรับปรุง ในแง่หนึ่งเส้นทางนี้จึงถูกตีความได้ว่าเป็นรักนอกรีต ต้องหลบซ่อน แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ถูกตีความได้ว่าเป็นโลกใบใหม่ของทั้งคู่ การก้าวล่วงเข้าไปในที่ต้องห้ามที่ไม่เคยมีใครล่วงล้ำเข้าไป หากเปรียบศาลเจ้าเป็นเสมือนพื้นที่ฝากใจของทั้งสอง การพากันเข้าไปในเส้นทางห้วงห้ามนี้ ก็เหมือนการได้พากันเข้าไปสำรวจความรู้สึกในใจ ในส่วนที่ไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่มาก่อน 

    4) ท่าปลาดาว
    จากท่าปลาดาวลอยอืดธรรมดาๆกลับกลายเป็นเรื่องน่าจดจำโดยพลัน เมื่อท่าปลาดาวเป็นสิ่งที่เต๋และโอ้วเอ๋วชอบทำเมื่อยามมีเรื่องไม่สบายใจ ในซีนหนึ่งโอ้วเอ๋วได้กล่าวไว้ว่า 

    "ท่านี้มันต้องกักลมหายใจไว้ตลอดเลยนะ บางทีมันก็อึดอัด 
    แล้วถ้าวันไหนที่กูไม่อยากควบคุมอะไรแล้ว 
    กูก็จะปล่อยลมหายใจ แล้วก็จมลงไป"

    ซึ่งเราคิดว่านี่เป็นความสวยงามของการเขียนบทที่ทำให้ประโยคเพียงประโยคเดียวนั้นสามารถตีความได้หลากหลายรูปแบบ ในมิติหนึ่ง ท่าปลาดาวเป็นท่าว่ายที่สบายจริงๆตามอย่างโอ้วเอ๋วว่า เราสามารถพยุงตัวให้ลอยได้โดยไม่ต้องออกแรง แต่ถ้าเราปล่อยลมจดหมดปอดเมื่อไหร่เราก็จะจมลงสู่ใต้น้ำอย่างรวดเร็ว  แต่ในอีกมิติหนึ่ง ประโยคนี้กำลังตีแผ่สังคมที่โอ้วเอ๋วกำลังเผชิญ สังคมที่เพศทางเลือกยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายเหมือนเพศตามขนบและต้องแบกรับความอึดอัดใจนั้นไว้เพียงลำพัง หากวันไหนที่ไม่สามารถที่จะทนต่อบรรทัดฐานทางสังคมที่สร้างกรอบครอบเขาไว้ได้ โอ้วเอ๋วเองก็อาจจะสมยอมให้กับกรอบนั้น ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการยอมสูญเสียความเป็นตัวตน ในเรื่องจะเห็นได้ว่าโอ้วเอ๋วกลัวที่จะแสดงความรักในที่สาธารณะ หากบาสไม่ให้เกียรติเขาด้วยการจับมือก่อน โอ้วเอ๋วจะไม่รู้เลยว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาทำได้เทียบเท่ากับเพศหญิงหรือเพศอื่นๆในฐานะแฟน

    อ้างอิง
    https://themomentum.co/itoldsunsetaboutyou-series/
    https://www.museumthailand.com/th/knowledge/Sang-Tham-Shrine-
    หนังหน้าโรง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in