ตอนที่เริ่มดูเรื่องนี้ ก็เพราะได้เห็นข่าวแว้บๆ ว่ารัฐบาลจีนมีการออกมาเตือนประชาชนว่าอย่าไปติดซีรี่ส์เรื่องนี้ให้มันมากนัก ชักจะเป็นภัยต่อความมั่นคงแล้วเนี่ย (จริงๆ ไม่รู้เขากังวลเรื่องอะไร อันนี้คือใส่สีตีไข่เข้าไปเอง 555) ก็เลยหามาดูซักหน่อย ว่ามันดังขนาดรัฐบาลจีนยังต้องหวั่นใจเลยเหรอวะ หรือมันมีเนื้อหาที่เป็นพิษเป็นภัยรึเปล่า นึกถึงตอนดู The King two heart ชอบหนักๆ แบบเรื่องนั้นเลย สงสัยได้เห็นรักสี่เส้า เกาหลีเหนือ ใต้ จีน อเมริกา เนื้อหาหนักหนามาเลยแน่ๆ
ปรากฏว่าดูไปสองตอน ติดเลยค่า! ติดแบบหนึบหนับ ดูซ้ำดูซ้อน ดูไปแคปไป และพอได้ดูก็เลยพบว่าเนื้อหาก็ไม่ได้หนักอย่างที่เก็งไว้ตั้งแต่แรก หลักๆ มันคือความรักของคนที่ทำต่างหน้าที่ คนนีงรักษาชีวิต อีกคนทำลายชีวิตเพื่อรักษาความถูกต้อง แถม EP แรกก็โคตรจะน่ารัก ซงจุนกิ (Song Joong-Ki) ที่เป็นพระเอกยิ้มทีไรก็ดีต่อใจเหลือเกิน ชะนีทั่วแผ่นดินเสนอตัวขอเป็นเมียทหารกันใหญ่ แต่ที่ชอบมากกว่าคือความสวยประหารของนางเอก ซงเฮคโย (Song Hye-Kyo) คนบ้าอะไรอายุ 34 หน้าไม่เปลี่ยนจากตอนเล่น Autumn in my heart (2000) เลย ผ่านมา 16 ปีแล้วนะเว้ย นอนในน้ำแข็งหรือไงฟะ
ยิ่งเห็นข่าวท่านนายกฯ ออกมาอวยไส้แตกให้ทุกคนไปหาซีรี่ส์เรื่องนี้มาดูกันซะ เพราะมันช่างดีงาม แสดงให้เห็นถึงความรักชาติ และด้านที่ดี๊ดีของทหาร ยิ่งทำให้เรื่องนี้ดังเข้าไปใหญ่ ก็นักรีวิวรุ่นใหญ่อย่างท่านเล่นมาเรคคอมเมนด์กันซะขนาดนี้ แถมยังบอกอีก ว่าให้ละครไทยจงดูเรื่องนี้เป็นเยี่ยงอย่าง ถ้าใครอยากสร้าง เดี๋ยวท่านออกเงินให้เลย หัวใจท่านช่างงดงามจริงๆ
ในฐานะแฟนซีรี่ส์เรื่องนี้ เลยอยากจะลองจับจุดเด่นๆ ที่เราคิดว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้มันดังสุดๆ เผื่อใครอยากจะลองพัฒนาบท แล้วไปเสนอขอเงินทุนสร้างจากท่านนายกฯ จะได้มีแนวทางสร้างเรื่องให้ปัง ได้ตังค์นายกแน่นอนนนนนนน
จะขอเงินทหาร ก็ต้องนำเสนอภาพที่ดีของทหารหน่อย
นอกจากนายกไทย หนังสือพิมพ์ประจำกองทัพของจีนยังต้องออกมายอมรับเลยว่า ซีรี่ส์เรื่องนี้นำเสนอภาพของกองทัพเกาหลีได้โคตรดี เป็นงานโปรโมทช่วยทำให้คนอยากมาเป็นทหารได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ทหารทุกคนในเรื่องนี้หล่อ หรือถ้าใครใบหน้าอาจจะด้อย แต่เรื่องหุ่นนี่แซ่บทุกคน ความตั้งใจหนึ่งที่ดูรู้เลยว่าแม่งโคตรตั้งใจจะใส่เข้ามา คือการเรียงแถววิ่งตอนเช้าของเหล่าทหาร วิ่งไปร้องเพลงไป ถอดเสื้อด้วย เห็นนมตั้งเต้า หนำซ้ำยังมีทีมหมอพยาบาลชะนี มาเกาะรั้วชื่นชมนมร้อยเต้าวิ่งผ่านไปมา ยืนหน้าเยิ้มกันอยู่ตรงนั้นแหละ (อีคนที่ดูอยู่หน้าจอนั้นคือสลบนมไปแล้ว) เนี่ย เป็นทหารมันเท่ หนุ่มๆ ที่อยากจะมีสาวมายืนชะเง้อดู ก็มาเป็นทหารแบบพี่สิจ๊ะ
หรือบทของคิมคิบอม (แสดงโดย Kim Min-Suk) ที่เปิดเรื่องมาเป็นหัวขโมย ติดหนี้ เป็นอันธพาล พอได้รับความช่วยเหลือจากทหาร ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ เฮ้ย เราอยากเท่แบบพี่เขาบ้าง เลยกลับตัวกลับใจ สมัครเข้ามาเป็นทหารซะเลย เท่กว่าเป็นอันธพาลเป็นไหนๆ เป็นแนวทางให้เด็กแว๊นเกาหลีที่อยากกลับใจ เท่และดีขึ้นได้ด้วยการฝึกทหารซะเลย (แถมยังมีประโยชน์ต่อประเทศชาติด้วย)
ความเท่อีกอย่าง คือทหารในเรื่องนี้เป็นทหารดีแทบจะทั้งหมด คือเป็นคนที่มีอุดมการณ์นำทาง ไม่การเมือง พร้อมสละยศและชีวิตเพื่อชาติ และเพื่อทำภารกิจให้ลุล่วง ขนาดท่าน ผบ. ที่ดูจะเอาแต่ใจ ยังมีมุมเมตตาให้เห็นประปราย แต่ยังไงทุกคนก็ต้องคีปลุคเท่ เป็นทหารขรึมๆ คูลๆ ไม่ได้จะมาโปกฮาเป็นไอ้พันในผู้กองยอดรักอะไรแบบนั้นอาจจะหมดสิทธิ์พิชิตเงินทุนนะ มันไม่เท่
อีกอย่างที่ทำให้เรื่องนี้แตกต่างจากละครที่ว่าด้วยทหารทั่วไป คือแม้ว่าเป็นเรื่องของทหารก็จริง แต่ก็เป็นทหารในโหมดที่เราไม่คุ้นเคยแน่ๆ ในละครไทย ทหารในเรื่องไปทำภารกิจเป็นกองทัพเพื่อสันติภาพของยูเอ็น ไปปฏิบัติการที่ประเทศสมมติชื่ออุรุค พอมีภัยพิบัติ และไปเจอพวกนักค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ ก็เลยมีงานบู๊ให้ได้ออกโรงกันหน่อย แต่ไม่ได้ไปรบราฆ่าฟันอยู่ริมชายแดนแบบที่เราชินตา
คิมอูแเทค (Kim Woo-Taek) ผู้อำนวยการสร้าง Descendants of the sun ที่เคยประสบความสำเร็จจากการสร้าง Taegukgi (2004), The Host (2006) มาแล้ว ให้สัมภาษณ์ว่า เดิมทีบทละครเรื่องนี้เล่าเรื่องของหมอภาคสนามอาสาระหว่างประเทศ จนเมื่อคิมอึนซุก (Kim Eun-Sook) นักเขียนบทละครมือทองเข้ามาพัฒนาบทเรื่องนี้ ก็เลยใส่บททหารลงไป เพื่อขับอารมณ์ดราม่าจากการทำหน้าที่ที่แตกต่าง และทำให้มันมีเรื่องให้เล่ามากขึ้น จากการทำภารกิจต่างแดน ซึ่งแกก็เพิ่มซะหนักมือเลย ใส่เข้าไปทั้งแผ่นดินไหว กับระเบิด รถตกเหว คือกูเป็นหมอคังนี่บินกลับตั้งแต่สามวันแรกแล้ว ทำไมต้องมาเจออะไรหนักหนาขนาดนี้
เราคิดต่อจากคิมอูแทค ว่าพอมันเป็นทหารหรือหน่วยแพทย์อาสา ที่ไปทำภารกิจในพื้นที่กึ่งๆ จะเป็นสงคราม มันช่วยเพิ่มความเป็นสากลให้กับเรื่อง และช่วยให้ละครเรื่องนี้มันเข้าถึงคนต่างชาติต่างภาษาได้ง่าย คือถ้าเล่าเรื่องทหารและความรักชาติในบริบทของสงครามเกาหลีเหนือ/ใต้ หรือปัญหาอื่นๆ ภายในประเทศ มันเรียกร้องความเข้าใจจากผู้ชมมากหน่อย ไม่อย่างนั้นเราก็อาจจะดูไม่สนุก เพราะเข้าใจปัญหาของเขาไม่ถ้วนถี่ แต่พอเป็นภารกิจเพื่อสันติภาพในพื้นที่สงคราม/พื้นที่ที่ต้องการการพัฒนา มันเป็นภาษาสากล ที่เข้าถึงคนหมู่มากได้ง่ายกว่า จนทำให้ฮิตข้ามน้ำข้ามทะเล ขายลิขสิทธิ์ไปแล้วมากกว่า 32 ประเทศ รวมทั้งอเมริกา, อังกฤษ และฝรั่งเศส จนตอนนี้ ถอนทุนพันกว่าล้านคืนไปหมดแล้ว (บอกท่านนายก ถ้าทำตามโร้ดแมปนี้ เงินท่านไม่เสียเปล่าแน่นอน)
เสริมสร้างความรักชาติ ถ้าไม่ใส่เรื่องความรักชาติเข้าไป ท่านไม่ได้เงินแน่ๆ ดังนั้นข้อนี้คงขาดไปเสียไม่ได้ เอาจริงๆ หนังและละครถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างแนวคิดชาตินิยมมาแต่ไหนแต่ไร ประเทศไหนก็ทำกัน มันจึงไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ละครไทยก็มีทุกไตรมาสที่มาปลุกกระแสรักชาติกันเป็นพักๆ ใน Descendants of the sun ก็เหมือนกัน มันใส่สารเรื่องความรักชาติเข้ามาแบบไม่ต้องแนบเนียนอะไรทั้งนั้น ยัดเข้ามาในไดอาล็อกสนทนา หรือสร้างซีนขึ้นมาเพื่อเปิดเพลงชาติกันเลย
มีตอนนึงที่หมอคังถามกัปตันยู ว่าต้องมีความรักชาติขนาดไหน ถึงได้มาเป็นทหาร แล้วพระเอกก็ตอบกลับไปแบบโคตรหล่อ ทำนองว่า อยู่ที่คนเราจะนิยามคำว่ารักชาติกันยังไง อย่างเขา แค่ได้ปกป้อง เด็ก คนแก่ และคนสวย หรือความกล้าที่จะเข้าไปเตือนนักเรียนที่กำลังสูบบุหรี่ แบบนี้ก็คือความรักชาติแล้ว แน้ ตอบซะเท่ คนดูได้ยินแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจไง เพราะการรักชาติมันง่ายนิดเดียว แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และรักคนรอบข้าง แค่นั้นเอง (แต่ไปเตือนเด็กกำลังสูบบุหรี่ ระวังเด็กหันมาบอกว่าเผือกนะคะกัปตัน)
ทำตัวละครให้เข้าถึงได้เราจะตัดเรื่องหน้าตา และเคมีที่โคตรทำปฏิกิริยาต่อกันได้ดี (โคตรๆ) ของซงจุนกิ และซงเฮคโย ออกไปก่อนนะ เพราะขนาดคิมอูแทคผู้สร้าง ยังบอกเลยว่า การแคสต์ได้สองคนนี้มาเหมือนเป็นพรหมลิขิตจากสวรรค์ (ขนาดนั้นเลยเหรอพี่!)
เหตุที่ซงจุนกิสามารถเอาชนะแคสต์ชายอื่นๆ ไปได้ เป็นเพราะส่วนหนึ่งที่เขาเพิ่งปลดประจำการจากกองทัพ ทำให้มีความเป็นทหารแบบไม่ต้องพยายามไปบิลด์กล้ามเนื้อหรืออะไร และสองคือ เพราะแบบนั้นแหละ ทำให้เขาไม่มีปัญหาเรื่องเวลาที่ใช้ในการถ่ายทำ เนื่องจากซีรี่ส์เรื่องนี้ต้องไปถ่ายนอกประเทศเป็นเวลานาน นักแสดงคนอื่นอาจจะเทคิวให้นานขนาดนั้นไม่ได้ แต่จุนกินั้นเพิ่งว่างมาหมาดๆ อยากไปไหนก็ไปได้เลย
ส่วนซงเฮคโย สรรพคุณของเธอมันชัดเจนอยู่แล้ว ว่าเป็นเจ้าแม่ซีรี่ส์ที่เล่นกี่เรื่องๆ ก็ดังอย่างบ้าคลั่ง แต่อีกปัจจัยหลักที่ทำให้เธอได้เล่นเรื่องนี้ คือเธอมีชื่อเสียงมากในเมืองจีน เป็นขวัญในชาวจีนเลยแหละ ก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมงานกับจอห์น วู (John Woo) ในภาพยนตร์ The Crossing (2014) ซึ่งละครเรื่องนี้มีแผนว่าจะออนแอร์พร้อมกันกับเกาหลีที่ประเทศจีน ผ่าน iQiyi แพลทฟอร์มดูละครออนไลน์ เลยทำให้ซงเฮคโยมาวินในบทนี้แบบไม่ต้องสงสัย
มีบทความหนึ่งในเว็บไซต์
The Straits Times ของสิงคโปร์ พยายามวิเคราะห์ความสำเร็จของ Descendants of the sun โดยเปรียบเทียบกับซีรี่ส์อีกเรื่องที่ก็ดังไม่แพ้กัน อย่าง You Who Came From the Stars (2013) ผู้เขียนมองว่า เป็นเพราะคาแรกเตอร์ของตัวละครนำทั้งสองใน DOTS ที่ติดดิน จับต้องได้ และดูจริงกว่า มีส่วนอย่างมากที่ทำให้คนอินตามไปกับเรื่อง จนติดกันงอมแงมไปทั่วบ้านทั่วเมือง
เรามองว่าซีรี่ส์ทั้งสองเรื่องมันแฟนตาซีเหมือนกันนะ แต่ You who came from the star มันจะเป็นแฟนตาซีออกไปทางเกินจริงไปมากมากไปหน่อย (คือแค่พระเอกเป็นมนุษย์ต่างดาวก็เกินไปมากแล้วมึง) ความเพียบพร้อมของพระเอกทั้งสองเรื่องมีแทบไม่ต่างกันนะ แต่กัปตันยูนั้นเราเอ็นดูเขามากกว่า เพราะเขามีแผลเป็นบ้าง โก๊ะๆ บ๊องๆ บ้าง ไม่ได้เก๊กเท่สมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลา
ฝั่งนางเอกก็เหมือนกัน เราชอบตอนนึงในบทความนั้น ที่เขามองว่า จวนจีฮุนใน You who came from the star นั้นเป็นตัวละครที่พาคนดู 'หลบหนี' (Escape) ออกจากความเป็นจริง ไปมีชีวิตที่ใฝ่ฝัน (ที่จะไม่เกิดขึ้นแน่ๆ ในชีวิตจริง (แน่สิ ใครจะมีชุดแพงใส่ทุกวันแบบนั้นได้วะ) ในขณะที่หมอคังโมยอน ใน DOTS นั้น 'เสริมแรงใจ' (Empower) ให้คนดูรู้สึกว่า เราก็เป็นแบบนั้นได้นี่หว่า
หมอคังเป็นหมอที่สวย แต่ไม่สวยที่สุด เธอทุ่มเททำเพื่องาน แต่ก็ไม่ได้อุดมการณ์จ๋าจนน่าหมั่นไส้ เธอตบตีจิกหัวกับนังตัวร้ายได้โดยไม่รู้สึกว่าเสียลุคนางเอก เธอพูดไดอาล็อกที่ดีๆ คมๆ มากมาย แต่จะตบท้ายประโยคบ้าบอ เพื่อให้เรารู้สึกว่า เธอกำลังถ่อมตัวอยู่ เธอไม่ใช่คนดีเด่นอะไรขนาดนั้น
เพราะตัวละครมันดีๆ มั่วๆ สามวันชั่ว สี่วันดี เราเลยเอ็นดูพวกเขาได้ง่าย อินไปกับเรื่องได้มากกว่า ถ้าเป็นเมืองไทยก็ยังนึกไม่ออกนะว่าจะเอาใครมาเล่นดี
เวอร์ก็ได้ แต่ต้องไปให้ถึง ถ้าไม่นับความจิ้นความฟิน เราก็หงุดหงิดกับความซ้ำซากของการเดินเรื่อง และการพยายามจะหาจุดเปลี่ยนให้เรื่องมันพัฒนาไปข้างหน้า ที่ดูยังไงก็แสนจะพยายามและทะเยอทะยานมาก ซึ่งในแง่นึงมันก็เป็นเรื่องดีนะ ว่าเขาก็เขียนบทด้วยจินตนาการที่มันไปได้ไกล แบบไม่มีกรอบมาจำกัด แต่แบบ เฮ้ย ชีวิตคนเรามันจะเจออะไรเอพิคๆ เรียงต่อกันในระยะเวลาไม่กี่เดือนได้ขนาดนี้เลยเหรอ เหมือนอย่างที่บอกไว้ข้างบนอ่ะ ต้องผ่าตัดผู้นำอาหรับ, เจอแผ่นดินไหว, ตึกถล่ม, รถตกเหว, เหยียบกับระเบิด, ติดเชื้อโรคร้าย ฯลฯ นี่ยังรออยู่ว่ามึงจะเอาความฉิบหายอะไรมาให้ดูอีก
แต่ในความแฟนตาซีสุดเวอร์วังเกินชีวิตมนุษย์คนนึงจะรับไหวนั้น เขาก็ทำให้มันสุดทางจริงๆ เพื่อจะบอกว่า กูตั้งใจทำจริงๆ นะโว้ย อย่างฉากแผ่นดินไหว โรงไฟฟ้าถล่ม อันนั้นตอนดูคือคิดในใจเลยว่า ทำทำไม 5555 จะว่าชมก็ใช่ เพราะแบบ เพื่อเคลื่อนเรื่องไปข้างหน้า มึงเลยต้องทำขนาดนี้เลยเหรอวะ บาดเจ็บล้มตายกันระนาว แถมยัง CG กันแบบไม่เกรงใจเสือซีจีช่องเจ็ดของบ้านกูเลย เฉพาะงบด้านงานศิลป์และCG ของเรื่องนี้ ก็ลงทุนไปมากกว่า 2 พันล้านวอน (ส่วน Production Cost ทั้งหมดอยู่ที่ราว 1.3 พันล้านวอน) ใครจะซื้อลิขสิทธิ์ไปรีเมคนี่มีการหนาวขี้แน่นอน
นั่นเลยทำให้เรามองข้ามความไม่สมจริงด้านบทไป แล้วสนุกไปกับความชิบหายที่ถาโถมเข้ามาสู่หนัง เพราะมันจริง มันสุด แบบนี้ก็สนุกได้ ของบส่วนนี้จากท่านหนักๆ ไปเลยนะ อยากเห็นละครไทย CG แจ่มๆ มานานแล้ว
หาช่องไทอินให้ท่านด้วยด้วยนอกจากนายกไทยที่ออกมารีวิวซีรี่ส์แล้วแนะนำให้พี่น้องประชาชนไปหาดูกัน หรือรัฐบาลจีนที่ออกมาเตือนชาวจีนว่าเพลาๆ การดูลงหน่อยเฮ้ย เป็นทาสบิ๊กบอสกันไปหมดแล้ว ประธานาธิบดีหญิงของเกาหลีใต้ ปาร์คกึนเฮ (Park Geun-Hye) ยังออกมาชื่นชมละครเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็มีแนมเอาไว้หน่อยว่า แหม ไหนๆ จะสร้างแล้ว ก็น่าจะพูดเรื่อง Telemedicine เข้าไปซักหน่อยนะ
Telemedicine หรือการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้หมอสามารถวินิจฉัยโรคและทำการรักษาผ่านเครือข่าย ผ่านหน้าจออุปกรณ์ต่างๆ ได้ เพื่อกระจายความเข้าถึง และโอกาสในการรับบริการทางการแพทย์ให้ดีขึ้น ทางการเกาหลีกำลังเริ่มโปรโมทเรื่องนี้อยู่ และท่านปาร์คก็เลยเห็นว่า ถ้าได้ใส่ Telemedicine เข้าไปในเรื่องซักหน่อย ก็น่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจ และเห็นประโยชน์ของสิ่งนี้มากขึ้น
แต่แหม บทเขาเขียนไว้นาน แถมยังถ่ายเสร็จก่อนจะออนแอร์อีก จะไปแก้ไขตามที่ท่านแนะนำก็ไม่ทันแล้วมั้ยล่ะ
จะว่าไปการถ่ายละครให้เสร็จก่อนออกอากาศก็ดีเหมือนกันนะ คือละครเกาหลีส่วนใหญ่จะใช้ระบบถ่ายไปออกอากาศไป เพื่อดูกระแส แล้วอาจปรับบทให้เล่นกับเรตติ้ง แต่กับเรื่องนี้ ที่ถ่ายทำเสร็จตั้งแต่ปี 2015 เพราะว่าจะต้องส่งเนื้อหาทั้งหมดไปให้ทางจีนเซนเซอร์ก่อนถึงจะออกอากาศได้ เลยทำให้ทุกอย่างมันต้องเสร็จก่อนออกอากาศนานพอควร คนทำงานเลยมีอิสระประมาณนึงที่จะทำงานตามความมั่นใจของตัวเองไป ถ้าจะมีสปอนเซอร์ มีไทอินตรงไหน ก็ทำไปเท่าที่ได้มา ไม่ใช่ใครนึกอยากจะมาปรับบทตรงไหนก็ทำ ดีไม่ดีใครจะเอาโปรดักท์มาไทอินส่งเดชก็คงไม่มั่นใจ เกิดละครมันไม่ปังก็เสียเงินเปล่า รัฐบาลก็เข้ามายุ่มย่ามไม่ได้ จะให้เพิ่มบทอวยทหารจนเสียความเป็นละครเพื่อจะเกาะกระแสความดังก็ทำไม่ได้ ตรงนี้คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันประสบความสำเร็จนะ เพราะหนังมันได้เป็นไปตามที่ผู้สร้างอยากให้มันเป็น ทำด้วยความมั่นใจล้วนๆ ไม่ต้องมาคอยแก้รายอาทิตย์
แต่ถ้าท่านมอบทุนให้ จะให้แก้ตอนไหน ทางเราก็ยินดีค่าา
จริงๆ คงมีปัจจัยมากกว่านี้ ที่จะทำให้ซีรี่ส์ซักเรื่องมันประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้าง ที่เล่าๆ ไปก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ถามว่าละครไทยมันวนอยู่ในอ่างอย่างที่คนชอบว่านั้นจริงมั้ย ก็จริงส่วนนึงนะ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีละคร หรือซีรี่ส์ไทยหลายเรื่องที่พยายามจะสลัดภาพจำเดิมๆ ออกไปให้หมด แล้วเป็นละครที่จรรโลงหรือยกระดับสังคมบ้าง มันมีแหละ และมันก็คงจะมีต่อไปเรื่อยๆ เราว่าฝากความหวังไว้กับคนทำละครรุ่นใหม่ๆ ได้อยู่นะ
ส่วนใครมีไอเดียจะทำซีรี่ส์ให้ปังกว่า Descendants of the Sun ก็ลงมือเลย ไปขอทุนจากท่านนายกแล้วท่านว่ายังไง กลับมาบอกกันด้วยนะ
Link ที่เกี่ยวข้องhttp://english.yonhapnews.co.kr/national/2016/03/21/0301000000AEN20160321013300315.htmlhttp://english.yonhapnews.co.kr/news/2016/03/22/0200000000AEN20160322008100315.htmlhttp://www.hancinema.net/i-knew-it-was-a-success-the-moment-i-saw-song-joong-ki-in-uniform-the-ending-is-a-secret-even-to-my-wife-92759.htmlhttp://www.hancinema.net/raine-s-drama-insights-why-descendants-of-the-sun-is-a-cultural-phenomenon-92812.htmlhttp://www.koreatimesus.com/fever-over-s-koreas-hit-tv-drama-gets-attention-of-chinas-militaryhttp://www.soompi.com/2016/03/06/the-staggering-production-cost-of-descendants-of-the-sun-revealed/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in