ความเศร้าในวันที่ 21
-1-
“กูคิดไรไม่ออกวะ เขียนอะไรก็วนกลับมาเรื่องปัญหาเดิม ๆ เบื่อตัวเอง เบื่อแทนคนที่จะเข้ามาอ่าน”
“ถ้ามึงไม่เขียน มันจะออกจากหัวมึงได้ไง”
คำแนะนำจากกูรูเซเลปท่านหนึ่งแนะนำผมมาตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ผมอู้งานไม่ขีดเขียนอะไรสู่สายตาชาวโลก
ต่างกันกับกูรูท่านนี้เขียนออกมาแทบจะรายชั่วโมง ทั้งบทความสาระ บทความระรานชาวบ้าน บทสนทนาเสือกเรื่องคนอื่น ทวิตเตอร์ เฟชเหงาเศร้าซึม อีกทั้งเริ่มตั้งตัวก่อหวอดแนะนำเรื่องรักษาอาการของโรคซึมเศร้าอีกต่างหาก นิยังไม่นับรวม Podcast ที่ตอนล่าสุดริอาจทำตัวเป็นพิธีกรรายการแฉอาชีพชาวบ้าน (โดยที่พูดมากกว่าผู้ถูกสัมภาษณ์ แล้วยังชี้นำคำตอบคนอื่นอีก)
“เฮ้ย เอาอะไรมาเขียนมากมายวะ” ผมเคยถามเมื่อครั้งนานแสนนานมาแล้ว
“ก็เขียนทุกวัน ทำทุกวันมันก็มาของมันเอง”
ก็คงใช่สินะ การที่เราทำอะไรทุกวัน จนเก่ง จนชิน จนเป็น Passive สามารถก่อเกิดรายได้หรือ Benefit ต่าง ๆ ให้กับผู้คนที่หลงไหลในการทำอะไรอย่างหัวปักหัวปำ จนกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ในบางเรื่อง
“ทำซ้ำจนครบ 21 วัน แล้วมันจะเป็นนิสัย” ใครบางคนกล่าวไว้
–และถูกเอามาพูดซ้ำโดยใครอีกหลาย ๆ คน—
-2-
“แล้วกูเศร้า จิตตกมาเกิน 21 วันมันจะเป็นสันดานกูมั้ยวะ”
ผมถามตัวเอง โดยช่วงหลังมานี้ลดขนาดของความฝันของตัวเองลงจนมองไม่เห็น สูบลมความหมองจนล้นปรี่ ปาดาดั๊บ ปา...
สิ่งทำได้เก่งกาจมากขึ้นคือการนอนมองเพดาน ฟังเสียงความว่างเปล่าจนก่อร่างสร้างความไร้สาระตัวเท่าตึก ไปบดบังทัศนวิสัยในการมองอนาคตให้เป็นเพียงเงาลาง ๆ ก่อให้เกิดความไม่แน่ใจในการเดินทางหาคำตอบของความหมายในการใช้ชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น
“อย่าสูญสิ้นศัทธา ถ้ายังมีลมหายใจ” ประโยคที่ใครบางคนพูดเอาไว้
และถูกพูดต่อโดยใครอีกหลาย ๆ คนเช่นกัน
“เอาเข้าจริง เมื่อเศร้าเกิน 21 วันมันทำเงินให้เราได้มั้ยวะ” คำถามจิกเสียดกวนตีนที่ผลิบานออกมา
คำตอบของคำถามนี้ผมได้รับจากการฟัง Podcast ของกูรูอีพรี่ท่าน ที่กล่าวมาไว้ในชื่อตอน “Passion สำคัญกับชีวิตเราขนาดนั้นเหรอออออ” มีผู้พูด 3 – 4 คนพูดแลกเปลี่ยนทัศนะให้เข้าใจง่าย ๆ และยังต้องคอยสู้กับความกวนตีนของพิธีกรที่พร้อมจะลากทั้งหมดลงทะเล หรือไม่ก็เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางกันไป
ด้วยคำตอบที่ว่า สิ่งที่เราเก่งมันมีทั้งทำเป็นอาชีพได้ และ ทำไม่ได้ หมายความว่า ความชอบของเรานั้นใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้เสมอไป
อีพรี่ก็ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าไปเชื่อหนังสือกูรูสร้างแรงบันดาลใจห่าเหวอะไรมากมาย อ่านไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ให้ค้นหาตัวเอง บัญญัติสิ่งที่ตนเองชอบและถนัดให้ออก
ลดการเสือกเรื่องชาวบ้านแล้วกลับมาอยู่กับตัวเองก่อน มองให้ออกว่าสิ่งที่ตัวเองเป็น ณ เวลานั้น ๆ สามารถทำให้เราไปได้ในทิศทางไหน ไปในเส้นทางใดได้ เพราะท้ายสุดสิ่งที่เป็นความชอบที่ไม่ได้สร้างเงินนั้นก็สามารถสร้างความสุขให้ตัวเองได้อยู่ดี
“สรุปคือ ความเศร้าเกิน 21 วันของกูก็ไม่สร้างเงินให้กูได้สินะ”
“มึงต้องมาแยกแยะว่าอะไรทำให้มึงเป็นแบบนี้”
คำแนะนำเพิ่มเติมต่อยอดออกมาไม่ขาดสายจากอีพรี่ผู้ชำนาญการ
-3-
มาแยกองค์ประกอบของความเศร้ากันดีกว่า
หลังจากผ่านการพูดคุยกันอยู่หลายเพลา ก็จัดการตบหัวตัวเองแล้วพูดว่า “เฮ้ย มึงตื่นได้แล้ว มาคิดอะไรเป็นตรรกะบ้าง ไรบ้าง เพื่อจะได้หาต้นสายปลายเหตุ แล้วแกะปมที่ขมวดแน่นให้ผ่อนปรน รอดพ้น หรือสิ้นสลายไปทีละเรื่อง ๆ”
ผมเลยมานั่งแบ่งแยกออกเป็นที่ละเรื่อง
1 ครอบครัว
โอยอันนี้ตัวการเลย เราไม่สามารถแยกความรู้สึกออกจากกันได้ 100 % หรอก คนที่บอกว่า เฮ้ยเรื่องงานก็งาน เรื่องครอบครัวก็ครอบครัวสิ นี่บอกเลยว่า ทำไม่ได้ !คุณไม่มีทางทำงานอย่างมีความสุขได้โดยที่ครอบครัวของคุณอยู่ในความทุกเข็ญ ลำเค็ญได้เลย แค่ลูกขี้แตกยังไม่อยากมาทำงานเลย ซึ่งปัญหาส่วนนี้ผมใคร่ครวญมาพอสมควรแล้วว่า คงต้องให้เวลาเข้าช่วยผ่อนปรน ผ่อนคลาย ให้ทุกอย่างมันไปได้ เลือกที่เมินเฉย และเลือกที่จะเดินหนีอย่างคนขี้ขลาดบ้าง ชีวิตแม่งทำตัวเป็นพระเอกฮีโร่ที่ไม่เจ็บไม่ตายได้เสมอไปหรอก เลือกทำในสิ่งที่ชอบ ถ้าทำที่ชอบไม่ได้ก็หาอะไรที่พอทำไปได้ก่อน ใจเย็น ๆ กับชีวิตบ้าง ให้ความเจ็บปวด ความอาย และไร้กำลัง นั่งสอนมึงบ้าง ก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่ต้องทำสิโว้ย บักหำ!!
2 งาน
อันนี้ต้องบอกว่า งานไม่ได้มีปัญหา แต่ปัญหามาจากความคิดที่ไม่พร้อมทำงาน งานไม่สร้างความเศร้า แต่เรานั่งเศร้าเพราะทำงานไม่เสร็จต่างหาก ลุกขึ้นแล้วไปทำงาน ทำงานให้เสร็จ ทำแบบเศร้า ๆ นิแหละ แต่้องตทำให้เสร็จ การทำงานให้เสร็จ คือการแสดงถึงการมีตัวตนของมึงนั่นแหละ บักหำ!!
3 ตัวมึงเลย สัส ตัวมึงไง
คิดไรมาก มึงแม่งมัวแต่นอนมองเพดานจนงานทั้งราษฏ์และงานหลวงกองท่วมหัว แล้วมึงก็มานั่งท่อง มานั่งบอกตัวเองว่า เฮ้ย มึงเศร้าอยู่ มึงไม่มีแรง มึงไม่กำลังใจ และไม่มีอะไรมาพยุง ค้ำให้เดิน มึงต้องเดิน สัส เดิน
“เชี้ย! มึงจะให้กูเดินได้ไงวะก็เห็นอยู่ว่ากูเศร้า” เสียงอีกตัวผุดขึ้นมาเถียง ซึ่งก็ต้องบอกว่าเสียงเหี้ยนี่แม่งโครตแรง ทำเอาทุกเหตุผลที่ว่ามาในการมีแรงมีกำลังใจ มลายหายไปเลย แต่ต้องสู้ เพราะมึงเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ตัวมึงกับคนที่มึงรักมีกำลังใจและมีความสุข
-4-
“อีพรี่ กูถามอีกทีดิวะว่า กูอยู่สถานการณ์แบบนี้กูจะทำไงได้บ้าง”
ผมส่งข้อความไปถามอิตากูรูอีกครั้งเพื่อขอคำแนะนำในการสร้างทางเดินขึ้นมาใหม่ อิพรี่หายไปสักพัก ก่อนจะส่งข้อความตอบกลับมาว่า
“มึงไปหาอ่านหนังสือสร้างแรงบันดาลใจสิ ช่วยได้นะโว้ย!!!”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in