เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyshishihaibara
ลูกแหง่
  • ตั้งแต่เด็ก ทุกคนถูกสอนกันมาเหมือนๆกันว่า 
    "พ่อแม่คือพระของลูก"


    ฉัน เป็นลูกสาวคนเดียว โตมาในครอบครัวไทยเชื้อสายจีน และถูกเลี้ยงมาแบบ Conservative 
    ที่บางทีก็ใช้ความรุนแรงในการสั่งสอนบ้าง เรื่องโดนด่าโดนว่ากลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก
    ตั้งแต่เล็ก ก็เรียนในโรงเรียนวิถีพุทธ ที่ปลูกฝังค่านิยมบุญบาป รวมถึงค่านิยมพระของลูกอย่างเข้มข้น
    โตมา ก็เรียนในโรงเรียนหญิงล้วน เข้าคณะที่แทบจะเป็นคณะหญิงล้วน 

    ฉัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เด็กที่เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้นัก แต่ก็ไม่เคยประพฤติออกนอกลู่นอกทางเลยซักครั้ง
    ถึงจะลองพยายามขัดบางสิ่งแต่ก็ไม่สำเร็จทุกครั้งเพราะความรู้สึกผิดในใจเมื่อมีความคิดเห็นต่างเกิดขึ้น
    แม้จะดูเป็นขบถในสายตาของพ่อแม่ แต่ในสายตาคนอื่นกลับเป็นคนที่สังคมให้คำนิยามว่า 'ลูกแหง่'

    ฉัน ที่ตั้งแต่เล็กจนโตแทบไม่เคยก้าวขาออกจากบริเวณบ้าน และข้อนี้ก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนฝูง
    รู้ ถึงดีกรีความ 'ห่วง' ที่ค่อนข้างพิเศษใส่ไข่ของบ้านนี้ แต่มีสิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง
    นั่นก็คือครอบครัว ที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่ด้วยกันนั้น กลับไม่รู้เลยว่า ฉัน เป็นคนยังไง

    ฉัน พยายามเข้าใจคำสั่งสอนที่อาจดูไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง เช่น พ่อแม่ถูกเสมอ 
    ฉันกลับคิดว่าคนเราก็เป็นคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด คนทุกคนสามารถทำผิดพลาดกันได้
    และเมื่อทำผิดพลาด การขอโทษเป็นสิ่งที่พึงกระทำ เป็นเรื่องพื้นฐานที่เราไม่ควรละเลย

    ฉัน พยายามจะนำความคิดนี้มาทำความเข้าใจกับคนข้างกายฉันว่า
    เพราะว่าคนทุกคนย่อมสามารถทำผิดพลาด พ่อกับแม่ก็สามารถทำผิดพลาดได้
    ฉะนั้นเราควรทำความเข้าใจธรรมชาติของเขา และธรรมชาติของสังคมว่ามันเป็นเช่นนี้
    สิ่งที่เราทำคือไม่ควรนำมาเป็นอารมณ์ และตระหนักว่าสิ่งใดควรเก็บมาทำตาม สิ่งไหนไม่ควร

    ฉัน พยายามเข้าใจความเป็นห่วง หัวอกของคนเป็นพ่อแม่ที่หวังดีต่อลูก แม้อาจจะมีวิธีคิดที่ผิดไปบ้าง
    ตอนประถม ที่บ้านและรถโรงเรียนจะคอยรับส่งฉันตลอด ฉันเล่นกับเพื่อนแถวบ้านไม่ได้นานนัก
    เคยแม้กระทั่งโดนล็อกประตูบ้านใส่ เพราะไปงานวันเกิดเพื่อนข้างบ้านที่รั้วติดกัน และขออนุญาตแล้ว
    ทำให้ฉันที่เคยเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมนอกบ้านมาก กลายเป็นเด็กที่ไม่ออกไปไหนเลย
    จนกระทั่งช่วงมัธยมที่ฉันได้กลับบ้านเอง ทว่าต้องกลับบ้านตรงเวลา และโทรรายงานตลอด 
    ถ้าไม่ ทางบ้านก็จะคอยโทรเช็คเป็นระยะๆ เวลาไปเรียนพิเศษก็เช่นกัน 
    หมายความว่าตารางของฉันก็คือเรียนเสร็จแล้วตรงกลับบ้านทันที
    ช่วงมหาวิทยาลัยที่ฉันอยู่หอพัก จะกลับบ้านในวันสุดสัปดาห์ ฉันก็ต้องโทรคุยและวิดีโอคอลเป็นระยะๆ
    อย่างน้อยสองวันครั้ง 

    ฉัน ปฏิเสธคำชวนของเพื่อนหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเสียดายคงเป็นการปฏิเสธเรื่องที่สำคัญที่ชีวิตหนึ่งจะมีโอกาสไม่มากอย่างการไปทริปส่งลาครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่น การรับน้องใหม่ ไปจนถึงทริปก่อนเรียนจบ ฉันแทบไม่เคยได้ไปเลยถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นทริปที่ออกนอกกรุงเทพมหานครโดยไม่ได้มีสถานศึกษารับรอง 







    พ่อแม่ของฉันให้เหตุผลว่าไม่ได้บังคับว่าห้ามไป แต่มันอันตราย ไม่ว่าจะเป็นภัยจากคน หรือความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจึงไม่อยากให้ไป ฉันก็พยายามทำความเข้าใจในมุมมองของท่านและทำตามทุกครั้ง
    เพราะเข้าใจดีว่าสิ่งที่ท่านพูดใช่ว่าจะไม่เป็นความจริงเสียที่ไหน 

    พ่อแม่ของฉันคอยบอกว่าท่านเลี้ยงดูฉันมาแบบให้อิสระทางความคิดตลอด ไม่เคยบังคับ
    ทว่าความคิดของฉันกลับถูกจูงด้วยคำว่า แต่พ่อคิดว่า... แต่แม่คิดว่า... ไปเสียทุกครั้ง
    ตั้งแต่เด็ก พ่อของฉันอยากให้ฉันเรียนทันตแพทย์ ไม่ก็เรียนบัญชี แต่หัวของฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้น
    ทำให้มาจบกับคณะสายภาษาในมหาลัยรัฐชั้นนำ ซึ่งฉันเลือกที่นี่ไว้เป็นอันดับหนึ่งเพราะชื่อเสียงมหาลัย
    อย่างที่คาด ฉันรู้ว่าพ่อแม่ฉันภูมิใจลึกๆในชื่อเสียงมหาลัยที่ฉันได้เข้าไป ทว่าฉันกลับรู้สึกเคว้งคว้าง
    เพราะที่นี่ไม่ใช่ฝันของฉันที่อยากจะทำ 100% อีกทั้งภาควิชาของฉันเป็นภาควิชาที่ไม่ได้เรียนเนื้อหาตรงกับชื่อคณะ 

    ฉันพึ่งมาเผชิญด้วยตัวเองว่า ชื่อเสียงมหาลัยไม่ได้สำคัญไปกว่าเนื้อหาความรู้ที่เราได้เรียนเลย 
    แต่ฉันก็ไม่สามารถซิ่วได้ ดังนั้นฉันจึงแก้ไขปัญหาด้วยการพยายามลงเรียนในวิชาที่ได้เก็บเกี่ยวความรู้ที่อยากเรียนให้ได้มากที่สุดโดยไม่ได้เครียดเรื่องเกรดมากจนเกินไป ทว่ามันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดีในที่สุด

    ฉันคิดถึงภาระหน้าที่ของลูกคนเดียวที่พ่อกับแม่เคยพูดไว้ 
    ฉันรู้ว่าฉันต้องเป็นเสาหลักของบ้านทันทีที่เรียนจบ ท่านเคยเปรยถึงความฝันทำนองนี้เอาไว้แล้ว
    มาจนวันนี้ที่ฉันเรียนจบ ฉันรู้ว่าพ่อกับแม่ของฉันภูมิใจมากที่ส่งให้ฉันเรียนจนจบปริญญาได้
    เพราะนี่เป็นความฝันอย่างหนึ่งของพ่อฉันที่ท่านไม่ได้เรียนระดับอุดมศึกษา จึงอยากให้ฉันได้เรียน

    ฉันยิ่งรู้สึกเคว้งคว้าง และรู้สึกถึงภาระที่หนักยิ่งกว่าเดิม แต่ฉันถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว
    เพราะฉันยังต้องเลี้ยงดูพ่อกับแม่ และก็อยากให้ท่านสบายในแบบที่ท่านฝันไว้
    ด้วยความรู้ภาษาที่รอบด้าน แต่รอบด้านแบบเป็ด ฉันจึงตัดสินใจค่อยๆหางานที่น่าจะเหมาะกับเป็ดแบบฉัน แต่ก็ติดเงื่อนไขบางประการ อย่างสถานที่ทำงานที่ค่อนข้างไกล








    จนวันหนึ่งฉันจึงตัดสินใจขอคำแนะนำจากพ่อแม่ และคิดว่าตัวเองควรจะรีบขวนขวายและทำงานให้หนักโดยที่คำนึงถึงการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้เป็นหลักในตอนที่ยังมีเรี่ยวแรงทำได้น่าจะเป็นสิ่งที่ดี จึงอยากลองทำงานที่ได้ทักษะแน่ๆ อาจติดปัญหาในบางเรื่องที่แม้จะลำบาก แต่ฉันก็พร้อมจะสู้งาน หลังจากนั้นค่อยหาทางขยับขยายในภายหลัง

    ทว่า สิ่งที่ฉันได้รับกลับมากลับไม่ใช่ถ้อยคำแนะนำใดๆ แต่เป็นคำถามที่ว่า 
    "ทำไมตอนนั้นหนูไม่เรียนคณะ XXXX..."
    "ทำไมหนูไม่ไปทำงานที่ XXXX ล่ะ..."


    ทุกคำต่างพูดออกมาง่ายๆ โดยไม่ได้ดูปัจจัยอะไรเลย แม้ฉันจะพยายามอธิบายแล้ว แต่ก็ถูกตอกกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่า 

    "นี่ไม่ได้เรียกว่าการมาขอคำปรึกษา แต่เอาข้อเสนอมาบังคับให้เห็นด้วย"
    "พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วย ทำงานแถวนี้แหละดีกว่า"
    "พ่อกับแม่ไม่เคยบังคับอะไรหนูเลยนะ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ คิดเอาเองไปเลยไม่ต้องมาถาม"



    ถกเถียงกันจนกระทั่งมีปากเสียงกันด้วยความไม่ลงรอย และแล้วคำพูดที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้ยินก็เกิดขึ้น

    "ถ้ามึงฉลาด ป่านนี้ก็คงไม่มานั่งถามหรอกว่าจะทำงานอะไร คงหางานได้ไปนานแล้ว"
    "เรียนจบแล้วยังจะมาถาม ก็เพราะโง่ขนาดนี้ไงถึงยังหางานไม่ได้ อิโง่"
    "มาถึงขนาดนี้ก็น่าจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังจะมาทำตัวแบบนี้อีก"
    "พ่อแม่เหนื่อยแสนเหนื่อยแค่ไหน ลำบากแค่ไหนไม่เคยนึกถึงเลย"







    ฉัน ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ว่ายังไงดี 
    ลองย้อนกลับมาคิดว่าตัวเองทำผิดพลาดหรือคิดผิดพลาดไปตอนไหน
    บางที ฉัน อาจจะผิดตั้งแต่ต้น 

    ฉัน พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์รอบตัวอีกครั้งโดยอิงเหตุและผลเป็นหลัก
    ทว่าความรู้สึกในใจฉันมันถูกทุบจนทำให้ลืมความเป็นเหตุและผลไปชั่วขณะ
    คนที่ฉันเคยคิดว่าเป็นพวกเดียวกับฉัน เป็นทั้งพ่อแม่ เป็นทั้งเพื่อนในโลกอันแคบๆของฉัน
    วันนี้กลับเป็นคนที่สร้างบาดแผลที่ลึกที่สุด

    คำพูดที่โดนด่าโดนว่าทั้งชีวิตไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บแสบเท่ากับคำพูดจากคนที่ฉันคิดว่าเป็นพระของลูกเหมือนอย่างที่ถูกปลูกฝังมาตลอดในเวลานี้
    เวลาที่ฉันรู้สึกไร้ที่พึ่งพาและต้องการคำปรึกษา 
    จริงๆ... อย่างน้อยก็แค่คำปลอบโยนก็ยังดี
    แค่คำว่าไม่เป็นไรนะแค่คำเดียวก็มีค่ามหาศาล





    พอพายุแห่งอารมณ์ผ่านพ้นไป
    ฉันมาทำความเข้าใจกับสถานการณ์อีกครั้ง และรู้ว่าเนื้อแท้ท่านอาจไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น
    ทว่าบาดแผลนั้นมันได้เกิดขึ้นแล้ว และไม่มีทางลบเลือนไปได้ง่ายๆ
    โดยที่แม้กระทั่งตัวฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร









    จวบจนกระทั่งตอนนี้




     






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in