MUSE ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าศิลปิน MUSE ผู้ขับร้องเพลงแสนไพเราะที่แม้แต่ทวยเทพยังต้องเงี่ยโสตสดับฟัง MUSE ผู้ที่แท้จริงแล้วอาจจะเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานแห่งศิลปะด้วยตัวเอง ในอัลบั้มนี้ถูกเกริ่นถึง เส้นทางในการตามหาต้นกำเนิดแห่งแรงบันดาลใจที่อยู่รอบๆตัวของจีมิน ภายใต้ธีมของความรักและการเผยสเปกตรัมทางดนตรีของจีมิน ธีมนี้คงเป็นนัยบอกว่า "ความรัก" ในนิยามผ่านคำบอกเล่าในบทเพลงคือ มิวส์ ในอัลบั้มนี้
สิ่งที่ถูกปล่อยออกมาก่อนบทเพลงคือ Art Work ของอัลบั้ม จีมินเลือกหยิบสเปกตรัมสีของสีรุ้งมาใช้ในอัลบั้มนี้ ซึ่งมองได้ว่ามันเป็นเหมือนตัวแทนของแต่ละเพลงในอัลบั้มของจีมินที่สะท้อนออกมาคนละสี แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ยังดูโดยรวมสดใสและเต็มไปด้วยพลังทางแง่บวก ถ้าจีมินตั้งใจทำ MUSE ขึ้นมาด้วยความหวังว่า พวกเราจะมีความสุขในทุกๆวัน เมื่อมิวส์ถูกปล่อยออกมาก็ตอบโจทย์ความตั้งใจของเขาได้จริงๆ
นอกจากนี้การใช้สีที่หลายหลายในอัลบั้มเป็นการสะท้อนตัวตนของจีมินในอีกแง่มุมหนึ่ง ทั้งในด้านดนตรีที่มีความหลากหลายผ่านผลงานในอัลบั้มที่ผ่านมาแม้จะมีเพียงสองอัลบั้มก็เป็นที่ประจักษ์ว่า พัคจีมินมีความสามารถทางดนตรีที่แตกต่างออกไปได้มากมายเหมือนกับว่าจะไม่มีขีดจำกัดให้ตัวเอง รวมทั้งตัวจีมินเองที่ไม่มีนิยามตีกรอบความเป็นตัวเองไว้เลย 
Rebirth(Intro)  แค่ได้ยินเสียงดนตรีช่วงIntroก็ทำให้นึกถึงช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ หากเรื่องราวแห่งการเผชิญหน้ากับเสียงสะท้อนและตัวตนของตัวเองในช่วงเวลาที่แสนเปราะบางได้จบลงจากอัลบั้มที่ผ่านมา FACE เพลง Rebirth เป็นอีกหนึ่งเพลงที่เป็นเหมือนฟ้าหลังฝนนำสีแห่งสายรุ้งมาให้เราเห็น เมื่อสีแห่งท้องฟ้าเริ่มสดใส ก็พาเราเข้าสู่ MUSE ที่ชวนให้ตามหาสิ่งใหม่ๆโดยใช้ความรักนำทาง เมื่อเริ่มเห็นแสงสว่าง ก็จะเดินตามแสงนั้นเข้าสู่โลกอีกด้านทางความรู้สึกมากขึ้น
In my darkness, you're the light l ike sun shining vibe 
I'm tryna find a love g ood love, real love 
White clouds, the wind that brushes past them  
Fluttering petals  
They seem to be waiting just for us 
Interlude: Showtime  และ Smeraldo Garden Marching Band  เพลงนี้ให้ความรู้สึกของสีเหลืองความรู้สึกที่สดใส เบิกบาน และสว่าง เหมือนแดดแรกของวันเริ่มออกแล้ว เป็นแดดที่ไม่ร้อนจนไหม้ แต่ให้ความอุ่นเบาๆ เป็นแสงที่ทำให้หมู่มวลดอกไม้เริ่มเบ่งบาน เหมือนพร้อมที่จะเจอรักและบอกความรู้สึกที่มีอยู่ออกมาแล้ว สำหรับเพลงนี้ถ้าจะให้ชื่อว่าเป็นเพลงที่บันทึกภาพความสุขเอาไว้ ก็เชื่ออย่างสนิทใจ ทั้งดนตรี ทั้งเนื้อเพลง และTrack Video ทุกอย่างล้วนลงตัวให้เป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวความสุข
"All the things we couldn't say before 
Slow Dance  แม้จะเป็นเพลงที่ดนตรีดูฟังสบายๆแต่เมื่ออ่านเนื้อเพลงไปตามอารมณ์ของเพลงกลับรู้สึกว่าสีเริ่มจัดจ้านขึ้น เพลงนี้สื่อให้รู้แล้วว่าตกหลุมรักเข้าเต็มเปา แบบปิดไม่อยู่แล้ว ใช้จังหวะแห่งการเต้นรำช้าด้วยๆกัน แก้มชนแก้ม ใจสัมผัสถึงจังหวะหัวใจของกันและกัน ใช้การเต้นเป็นตัวสื่อสารที่แสนโรแมนติก เมื่อฟัง Be Mine   ต่อกันเหมือนปลุกความสนุกขึ้นมาอีกขั้น เซ็กซี่และเร่าร้อน พร้อมจะลุกขึ้นมาโยกย้ายตามจังหวะแล้ว
Slow dance 
This is the last romance 
Like “Cheek to Cheek” 
e Movin’ comin’ lovin’, yeah yeah yeah 
I want you to be mine 
Who  เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ตอบโจทย์การตามหาความรักมากที่สุด ใครกันที่จะเป็นคนที่ใจรอคอย ใน MV มีแสดงการเต้นผ่านคนแล้วคนเล่าเหมือนเรื่องราวของการสำรวจหาความรัก พายุหมุนปลิวเหมือนการเผชิญกับความสับสน แต่ก็ยังสงสัยที่จะตามหาและพร้อมที่จะรักที่ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเจอก็คิดถึงแต่เธอ จะห่างกันเป็นพันไมล์ก็ยังตามหาและใจก็พร้อมยกโลกทั้งใบให้เธอ (จีบสาวสุดๆ555) เมื่อพิจารณาทั้ง MV และเนื้อเพลง ก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าการเลือกเพลงนี้มาเป็นเพลงไตเติ้ลสามารถเล่าการตามหาความรักได้อย่างดีในแบบฉบับของจีมิน
VIDEO 
เมื่อ MUSE และ WHO ปล่อยออกมายิ่งเน้นย้ำความสามารถและพัฒนาการในเส้นทางดนตรีและการทำเพลงของพัคจีมิน ไม่ว่าจะเป็นการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ high noteถึงใจ รวมทั้งการเต้นแบบไร้ที่ติ จีมินสื่อทุกอย่างออกมาได้ผ่านท่าทางการเต้นและเสียงร้องอย่างยอดเยี่ยม พิสูจน์คำพูดที่บอกว่า เขาเกิดมาเพื่อเป็นperformerอย่างแท้จริง
สุดท้ายอัลบั้มนี้ปิดจบอย่างสมบูรณ์ที่สุดด้วย Fan song อย่าง Closer Than This เพลงนี้เติมความรู้สึกให้เราสมบูรณ์ที่สุดเลย รู้สึกว่าต่อให้ผ่านเรื่องราวการตามหาสิ่งใดๆก็ตามไม่ว่าจะ ความรัก หรือ แรงบันดาลใจ หรือแม้กระทั่งเส้นทางในการเป็นศิลปินของจีมิน(รวมถึงบังทัน) แต่เมื่อกลับมาอยู่ด้วยกัน ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ เพลงนี้ตอกย้ำมากเลยว่า จีมินจะมีอาร์มี่และอาร์มี่จะมีจีมิน แค่เรียกชื่อของกันและกัน และจับมือกันไว้ก็พอ
ทั้งเส้นทางของ MUSE สังเกตุว่าจะมีพูดถึงดอกไม้และแสงสว่าง เรามองว่าเป็นเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างอาร์มี่กับจีมิน เราเทียบกับความรักที่มีจุดเริ่มต้นเป็นเหมือนดอกไม้ที่รอแสงสว่างและค่อยๆเบ่งบาน ราวกับว่าความรักได้เข้ามาเติมเต็มแล้ว ในที่นี้ไม่ใช่แค่จีมินที่เป็นเหมือนแสงแดดให้กลีบดอกไม้ของอาร์มี่ผลิบาน อาร์มี่ก็เป็นเหมือนแสงนำทางแห่งความรักของจีมินผ่านเรื่องราวที่ค่อยๆพัฒนาเป็นเพลงและผลงานในอัลบั้มนี้เช่นกัน 
สุดท้ายนี้เราอยากฝากถึง MUSE ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้เราตัดสินใจเขียนบทความนี้เก็บไว้ ว่าครั้งหนึ่งเราได้ appreciate ผลงานของเขาอย่างเต็มที่แล้ว
เราชื่นชมจีมินมาตลอดถึงความพยายามที่เขามีและอยากจะบอกว่าความพยายามทั้งหมดที่จีมินทำมาช่างมีความหมายมากมายต่อคนๆนึงเหลือเกิน ในจุดที่ไม่เคยกล้าที่จะทำ ในวันนี้เราได้เขียนบทความอันแรกถึงเขา ผู้ซึ่งให้แรงบันดาลใจมหาศาลในการพิมพ์อยู่ตอนนี้
บทความนี้ถึง ศิลปินผู้เป็นที่รัก พัคจีมิน
With you till the end
จาก
Irene
source
				 
			
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in