1
‘เราได้รับบัตรแล้วนะคะ ขอบคุณมาก’
‘โอเคครับ วันนั้นพี่น่าจะนั่งติดกับเพื่อนผม มันไปดูคนเดียวเหมือนกัน ชวนมันคุยได้นะ’
‘อ้าว สรุปคือเทเพื่อนหรอ ’
‘ผมติดสอบกะทันหันหรอก’
‘ล้อเล่นๆ ขอบคุณอีกรอบจ้า’
ฉันกดปุ่มดับหน้าจอสนทนาที่เคยคุยล่าสุดกับเจ้าของบัตรคอนเสิร์ตในกระเป๋าสตางค์ ท้องฟ้ายังคงสว่างตามเวลาห้าโมงเย็น เพียงแต่ไม่มีแสงสีส้มสวย ๆ อย่างที่คาดหวัง ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะจากมวลเมฆมหาศาลที่บดบังดวงอาทิตย์ และกรมอุตุฯ ก็เตือนมาว่าเย็นนี้มีโอกาสฝนตกประมาณ 40% เป็นเหตุผลให้มีเสื้อกันฝนสีเหลืองนอนแน่นิ่งในกระเป๋าผ้าลายดอกที่ฉันสะพายมา
ในมือยังถือหนังสือเล่มไม่ค่อยหนาที่มีชื่อว่า ความสะอาดของผู้ตาย ค้างไว้ ฉันกวาดสายตามองรอบกาย สนามกีฬาขนาดใหญ่ที่ถูกเนรมิตเป็นสถานที่ชมคอนเสิร์ตเฉพาะกิจเริ่มหนาแน่นไปด้วยผู้คนที่ทยอยเข้ามารอชมการแสดงของศิลปินขวัญใจพวกเขา
อันที่จริง ฉันไม่ได้เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นของวงนี้เท่าไรนัก เพียงแต่ชื่นชอบบางบทเพลงและติดใจบรรยากาศสีสันคอนเสิร์ตก่อน ๆ ที่เห็นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็เลยลองหาบัตรในช่วงสัปดาห์สุดท้าย ก่อนจะพบเด็กมหาวิทยาลัยในเขตจังหวัดภาคเหนือปล่อยบัตรยอดดอยในราคาเท่าทุนพร้อมส่งฟรี เนื่องจากติดสอบกะทันหัน
ทำให้ฉันได้มาสัมผัสประสบการณ์ดูคอนเสิร์ตขนาดใหญ่คนเดียวครั้งแรกแบบตอนนี้
2
หลังจากอ่านหนังสือในมือจบ การบิดขี้เกียจถือเป็นกิจกรรมที่เปลี่ยนท่าทางฉันมากที่สุดในเวลาเกือบชั่วโมงนี้ นาฬิกาบอกเวลาหกโมงสี่สิบห้านาที ที่นั่งใกล้ ๆ เริ่มถูกจับจองไปด้วยผู้ชมวัยรุ่นที่มากันเป็นคู่และหมู่คณะ (หมู่คณะในความหมายฉันคือ สามถึงสี่คน)
การรอคอยแสงแดดยามเย็นจบลงด้วยความล้มเหลว เพราะนอกจากจะไม่ได้ magic hour แล้ว เม็ดฝนยังโปรยปรายลงมาเบา ๆ ให้เสื้อกันฝนในกระเป๋าได้ทำงานประมาณสิบนาที เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงที่คอนเสิร์ตจะเริ่ม เล่นโทรศัพท์มากก็ไม่ได้เพราะต้องเซฟแบตไว้ ฉันจึงต้องยอมนั่งจ๋องสังเกตผู้คนหน้าใหม่ที่เดินเข้ามาในสนามแทน
ความตื่นเต้นเริ่มจางหายไปเหลือแต่ความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ ที่นั่งฉันติดริมทางเดิน ดังนั้นคนที่ฉันน่าจะทำความรู้จักและพูดคุยได้ ก็มีแต่น้องที่เป็นเพื่อนเจ้าของบัตรคอนเสิร์ตที่ขายต่อให้ฉันมาเท่านั้น เพียงแต่เขา (หรือเธอ?) ยังไม่มา ถือว่าคาดเดาเหตุการณ์เก่งใช้ได้ เพราะเข้ามาก่อนก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี การได้ไปเดินเล่นอยู่ข้างนอกดูบรรยากาศก่อนน่าจะสนุกกว่าการมานั่งแกร่วรอเวลาเรื่อยเปื่อยแบบคนข้างในอย่างฉัน
‘พี่ครับ ฝากเพื่อนผมด้วยนะครับมันไม่ค่อยได้เข้ากรุงเทพ กลัวมันโชว์เด๋อ’
ข้อความในไลน์ที่ส่งมาเมื่อ 5 นาทีที่แล้วเด้งเตือนทันที เมื่อฉันเปิดอินเทอร์เน็ตเพื่อหาอะไรอ่านรอเวลาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าน้องเจ้าของบัตรที่ใช้ชื่อไลน์ว่า BaNk เป็นคนส่งมาเอง
ฉันหันรีหันขวางมองหาคนที่เขาพูดถึง ทว่าก็ยังไม่เห็นมีใครเดินตรงมาที่ที่นั่งข้าง ๆ ฉันเสียที
‘เพื่อนนายมาละหรอ เราอยู่ข้างในแล้วยังไม่เห็นเจอใครเลย’
ขณะที่นิ้วกำลังจะพิมพ์ต่อ ว่าเพื่อนนายหลงหรือเปล่า แล้วกดส่ง ก็มีสัมผัสเบา ๆ ที่ไหล่ของฉันเสียก่อน
“พี่ใช่คนที่ซื้อบัตรต่อจากแบงค์หรือเปล่าคะ”
ฉันเงยมอง, พยักหน้ารับ
3
น้องผู้หญิง (ที่ตอนแรกฉันคิดว่าน่าจะเป็นน้องผู้ชาย) นั่งลงข้างฉัน ก่อนจะถอดแจ็กเก็ตสีสนิมออก เหลือแต่เสื้อแขนกุดสีดำ ผมเธอสั้นประมาณบ่า แต่งหน้ามาบาง ๆ แต่แปลกที่ต่อให้ยิ้มแล้ว ดวงตาคู่นั้นก็ดูเศร้าซึมลึกเสียเหลือเกิน
เราแนะนำตัวกันเล็กน้อยตามประสาคนมีส่วนเกี่ยวข้องกันนิดหน่อย นั่นจึงทำให้ฉันรู้ว่าเธอชื่อ ภัค
"อยู่ข้างในกับพี่เขาแล้ว คนเยอะโคตร เวทีอลังการมาก...ไม่เป็นไรนะมึง เดี๋ยวกูถ่ายรูปไปให้ดูเยอะ ๆ ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะ บาย"
เสียงภัคฟังดูตื่นเต้นปนกับเสียงหัวเราะที่ฟังดูคล้าย ๆ เยาะเย้ยเพื่อน (ที่ฉันคาดว่าน่าจะเป็นแบงค์) เธอยิ้มให้ฉันหลังจากคุยโทรศัพท์จบ
ทำไมเป็นคนตาเศร้าที่ยิ้มเก่งได้ขนาดนี้นะ
4
"พี่แตมดูคอนเสิร์ตคนเดียวบ่อยหรอ"
"ช่าย แต่ไม่เคยมาคอนฯ ใหญ่ขนาดนี้นะ"
"นี่ภัคก็เพิ่งมาดูคอนเสิร์ตใหญ่ขนาดนี้คนเดียวครั้งแรก เพื่อนแม่งเทภัคเฉยเลย"
"เขาติดสอบไม่ใช่หรอ"
"ก็นั่นแหละ แล้วคนอื่นก็ไม่มีใครมาได้เลย ภัคไม่รู้ว่า Coldplay จะมาอีกเมื่อไหร่ กลัวตายก่อนแล้วอดดู"
ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดภัคนิดหน่อย แต่ก็ปล่อยผ่านไป เพราะเจ้าตัวดูพูดคล้ายกับเป็นเรื่องปกติเหลือเกิน
"แต่กรุงเทพนี่แพงทุกอย่างเลยเนอะ ที่เชียงใหม่เงินพันนึงอยู่ได้ตั้งหลายวัน ภัคเจอแค่ค่าเดินทางที่นี่ไปก็จนแล้ว อยู่กันไหวได้ไง"
"ก็ภัคไม่ได้มาอยู่นาน ๆ นี่นา มาแบบนี้ก็เสียเยอะแหละ"
"กระเป๋าพี่ภัคน่ารักจัง ซื้อมาจากไหนอะ" มือภัคชี้มาที่กระเป๋าบนตักฉัน
"สยามมั้ง เราเป็นพวกบ้าแพทเทิร์นลายดอก แต่เหมือนจะมืมือสองนะใบนี้"
"ภัคก็ชอบลายดอก ที่ห้องมีของแต่งห้องลายดอกเต็มเลย อยากเพนท์ห้องเป็นลายดอกด้วย แต่ยังไม่เจอลายที่ชอบ"
ท่าทางครุ่นคิดของอีกคนทำฉันยิ้ม แต่ยังไม่ทันจะพูดตอบ คำถามใหม่ก็มาอีก
"แล้วพี่แตมเรียนคณะอะไรอะ"
"เราเรียนจบแล้ว จบอักษรฯ มา"
"โห งี้พี่ก็ต้องเก่งภาษาอะดิ"
"ไม่หรอก แล้วภัคล่ะเรียนอะไร"
"ภัคเรียนดนตรี ภัคอยากเป็นนักดนตรี" เธอยิ้มแป้น
"เท่ชะมัด แล้วภัคเล่นอะไร"
"กีตาร์ แต่ไม่เก่งนะ ยังง่อย ๆ อยู่เลย แต่อนาคตจะเก่งกว่านี้แน่นอน"
ท่าทางมุ่งมั่นนั่นทำให้ฉันใจเต้น
แล้วเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นเป็นการปิดจบบทสนทนาของเรา
ภัคเบิกตากว้างใส่ฉันก่อนจะชี้ให้ดูไฟบนเวทีที่กำลังจะเริ่มการแสดง
5
"Look at the stars,
Look how they shine for you,Yeah, they were all yellow"
ภัคลุกยืนพร้อมกับชูแขนที่มีริสแบนด์ไฟสีเหลืองสว่างเหมือนกับทุก ๆ คนในสนามแห่งนี้ ฉันกวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วอดที่จะตื่นเต้นด้วยไม่ได้ เพราะทั้งหมดตอนนี้ช่างเหมือนอวกาศที่มีดวงดาวกว่าพันหมื่นดวงรายล้อมอยู่ชะมัด
"Your skin,
Oh yeah your skin and bones,For you I'd bleed myself dry."
ภัคที่นั่งลงแล้วหันมามองฉัน เราต่างยิ้มให้กันราวกับสัมผัสพลังงานความสุขที่ไหลวนอยู่รอบตัวได้ สาวนักดนตรีตะโกนร้องเพลงเสียงดัง ฉันคิดว่าในอนาคตนอกจากภัคจะเป็นมือกีตาร์ที่เก่งแล้ว เธอน่าจะเป็นนักร้องที่เสียงดีมาก ๆ ได้ด้วย
6
"กลับยังไงเนี่ย"
"มีคนมารอรับแล้ว"
"ดีจัง กลับดี ๆ นะ"
"ขอบคุณมากนะคะพี่แตม วันนี้สนุกมากเลย" ภัคยิ้มกว้างจนตาปิด
"เราก็ขอบคุณภัคเหมือนกัน"
ฉันยิ้มรับ โบกมือลาก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง แต่แล้วก็ฉุกใจหันไปมองตรงนั้นอีกครั้งและพบว่าเธอไม่อยู่แล้ว
การกวาดตามองหาคนคนเดียวท่ามกลางฝูงชนนับพันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และการเดินหาร่างผู้หญิงตัวผอม ๆ แบบนี้ก็ไม่น่าจะช่วยอะไร นอกจากจะทำให้ฉันกลับบ้านดึกกว่าเดิม
จู่ ๆ ในหัวก็คิดต่อว่าแล้วถ้าฉันเจอภัคแล้วยังไง จะขอไลน์แล้วสานต่อหรอ นัดเจอแล้วบินไปเชียงใหม่เพื่อไปหา แล้วถ้าคนที่มารับเป็นแฟนเขาล่ะ จะยังอยากทำความรู้จักต่ออยู่ไหม
หรือบางทีกับคนบางคน ชีวิตอาจจะอนุญาตให้เจอกันแค่ครั้งเดียวกันนะ
พอคิดได้แบบนั้น ฉันก็โทรหาเพื่อนในคณะที่มาคนละโซนกันเพื่อขอติดรถกลับบ้านด้วย
แล้วปล่อยช่วงเวลากว่าสองชั่วโมงนั้นทิ้งไว้ในอวกาศ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in