เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber2018pampamgirl
[Chapter 1.12] Turbulence เมื่ออา(กาศ)ปั่นป่วน
  • พีระถอนใจเฮือก คิดอยากจะกลอกตาเป็นเลขแปดแต่ก็ต้องพยายามห้ามใจตัวเองไว้ เพราะก็รู้อยู่เหมือนกันว่านั่นเป็นกิริยาที่ผู้ใหญ่ไม่ควรทำต่อหน้าเด็ก…


    หมายถึงเด็กปกติ ที่นิสัยเหมือนเด็กจริงๆ น่ะนะ…


    เขาก้มหน้า ยกมือขึ้นกุมขมับ ออกแรงนวดนิดหน่อยเพื่อคลายความเครียดเกร็งของสมอง


    นี่เขาพาตัวเองเข้ามารู้ความลับอะไรกันเนี่ย!


    ปวดหัวจริง!!!


    เอาเถอะๆ ตอนนี้เด็กนี่ก็ยังตัวเปี๊ยกเดียว ยังมีเวลารอให้ปัญหาค่อยๆ คลี่คลายอีกถมเถ ไม่แน่นะ ผ่านไปสักเดือนสองเดือน พอเปิดเทอมเจอเพื่อนใหม่ๆ ขี้คร้านจะลืมว่าเคยพูดอะไรถึงนักบินหนึ่งเดียวคนนั้นเอาไว้บ้าง


    เมื่อคิดได้แบบนี้ พีระก็ถอนใจโล่งอกออกมาได้ ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม กลับมาสวมหน้ากากนักบินสำรองคนดีที่คอยอธิบายเรื่องต่างๆ ในเครื่องบินให้หลานชายข้างบ้านของผู้ช่วยนักบินรุ่นพี่ฟังอีกครั้ง


    วีดีโอสาธิตความปลอดภัยเพิ่งจบไปหมาดๆ


    เด็กน้อยก้มๆ เงยๆ จัดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองที่ดีอยู่แล้วให้คาดลงบนหน้าท้องอย่างปราณีตขึ้นไปอีกตามแบบที่อาธาดาในจอเพิ่งบอกให้ฟัง จากนั้นมือเล็กจิ้มปุ่มปรับพนักพิงที่ตรงอยู่แล้วเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าถูกระเบียบการบินอย่างเคร่งครัด ส่งให้นักบินตัวโตที่นั่งมองอยู่เบะปากใส่อย่างไม่ต้องสงสัย


    เด็กคนนี้นี่ทำอะไรเฟอร์เฟคสมชื่อเลย…


    หึ หมั่นไส้…


    พีระกระแอมเบาๆ จัดแจงท่าทางและน้ำเสียงให้เหมือน ‘คุณพี่นักบินใจดี’ ก่อนจะลากเสียงถามขึ้น


    “ตกลงมัตถ์อยากรู้มั้ยน้า~ ว่าเครื่องบินถอยหลังยังไง~”


    ปรมัตถ์ขนลุกเกรียว…


    เด็กน้อยเลิกคิ้วสูง เบี่ยงใบหน้่าเบนสายตามาหาต้นเสียงอย่างหวาดๆ ยิ่งพอถูกเซ้าซี้จากน้ำเสียงยานคางที่บีบจนเล็กแหลมห่างไกลจากความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ผู้ชายกับมือใหญ่ที่ฉวยหัวไหล่เขาแล้วเขย่าเร่งให้หันไปหาทั้งตัว ตากลมโตเท่าไข่ห่านก็ยิ่งเบิกกว้าง จ้องท่าทางสุดเสแสร้งของพีระตาไม่กระพริบ เหมือนกับพยายามบอกเป็นนัยๆ ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพยายามทำมันสยองขวัญสั่นประสาทเขามากมายขนาดไหน…


    พีระจิ๊ปาก…


    เออๆๆๆ ธรรมดาก็ได้ โลกไม่จำก็ไม่เป็นไร…


    ทำท่าอย่างกับเห็นผีงั้นแหละ...


    เรื่องมากจริงเด็กนี่...


    ดังนั้น คราวนี้ชายหนุ่มจึงใช้น้ำเสียงปกติที่แฝงความกะล่อนหยอกเย้าถามออกไปแทน


    “งั้นฉันเล่านา… เค้?”


    ปรมัตถ์ย่นคิ้ว ก่อนพยักหน้าอย่างขอไปทีสองจึก


    พีระจึงได้ฤกษ์เริ่มอธิบายเสียที...


    “ก่อนที่เครื่องจะบินขึ้นฟ้า... นักบินจะต้องติดต่อหอบังคับการเพื่อสองสิ่งนี้ก่อนเสมอ สิ่งแรกก็คือขออนุญาตถอยหลังเพื่อตั้งลำ และสิ่งที่สองคือขอหมายเลขรันเวย์และขอทราบคิวเพื่อจะได้เตรียมตัวว่าจะได้เทคออฟเป็นลำดับที่เท่าไร...”


    เขาชายตามองคนฟังเป็นระยะ เมื่อเห็นว่าปรมัตถ์นั่งมองตาแป๋วตั้งใจฟังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะงงหรือเบื่อหน่าย จึงค่อยๆ พูดต่อไป


    “...ยกเว้นเครื่องที่จอดไกลจากตัวอาคารผู้โดยสาร โดยปกติแล้วเครื่องบินทั้งหมดที่จอดในช่องจอดติดอาคารผู้โดยสารที่มีงวงทางเดินเทียบเครื่องจะต้องทำการถอยไปตั้งลำโดยรถลากคันเล็กๆ บนพื้นผิวสนามบินเสียก่อน แบบที่เราเดินเข้ามาเมื่อกี้น่ะ ได้สังเกตมั้ย?”


    ปรมัตถ์พยักหน้า


    พีระกระตุกมุมปาก ร้องอืมคำหนึ่ง จากนั้นก็อธิบายต่อ


    “บางคนอาจจะคิดว่าเครื่องบินไม่มีระบบถอยหลัง แต่จริงๆ แล้วมี เพียงแต่ระบบถอยหลังของเครื่องบินมีความปลอดภัยต่ำ เนื่องจากเป็นไปไม่ได้เลยที่นักบินสองคนที่นั่งอยู่ทางส่วนหน้าสุดของลำตัวเครื่องบินจะมองเห็นส่วนหางซึ่งเป็นส่วนท้ายสุดของเครื่องบินได้ ดังนั้นอากาศยานพานิชย์ร้อยทั้งร้อยจึงต้องใช้บริการรถลากคันเล็กๆ แบบนี้ในทุกๆ สนามบิน ไม่ใช้ระบบถอยหลังที่ติดมากับเครื่อง...


    และแน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีเขียนไว้ในแมนน่วลหรือบทความของสำนักข่าวไหนหรอก… นายต้องถามคนมีประสบการณ์ดู ถึงจะรู้”


    พีระยิ้มกริ่ม ยักคิ้วให้เจ้าตัวเล็กรัวๆ หลังจากแฝงคำพูดอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองจบ


    ปรมัตถ์กระพริบตาปริบๆ อยากจะเอามือขึ้นมากุมขมับบ้างแต่ก็กลัวจะทำร้ายจิตใจผู้ใหญ่ตรงหน้ามากเกินไป เขาจึงได้แต่คิดในใจเงียบๆ


    คนคนนี้ขี้โม้ชะมัด ไม่อายเด็กบ้างหรือไงนะ…


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in