เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเท่าที่รู้fridayokaeri
5 วิธีหลุดพ้นจาก WRITER'S BLOCK


  • "พี่คะ เวลาแต่งนิยายไม่ออกพี่ทำยังไงคะ" 

    "แก เราเขียนงานไม่ออกเลย ปวดหัว"

    "ต้องเขียนบทหนังส่งอาจารย์ แต่คิดไม่ออกเลยว่ะ"

    "ท้อจังเลย อยากเขียนฟิคต่อ แต่เขียนไม่ได้ ทำยังไงดี"

    "หนูรู้สึกดาวน์มากเลยพี่ หนูเขียนงานไม่ได้เลย"




    และอื่นๆอีกมากมาย อีกมากมาย อีกมากมาย และอีกมากมาย สำหรับอาการ Writer's Block ที่ไม่ว่าใครก็เคยประสบพบเจอ  และแน่นอนว่าเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน วันนี้เราเลยคิดว่าน่าจะเป็นการดี หากลองมาแบ่งปัน 5 ทางออกในการหลุดพ้นจากอาการ Writer's Block (เขียนไม่ออก)นี้


    บทสนทนาสมมติ
    ยุ่น: เขียนไม่ออกเลยว่ะ
    เจ๋: ไม่ยาก เขียนไม่ออกก็เขียนเข้าดิพี่


    1.อ่านหนังสือ
    สำหรับคนอื่นเราไม่รู้นะ แต่สำหรับเรา เพราะอ่าน เราจึงเขียน เพราะรู้สึก เราจึงเขียน เพราะพบเห็น เราจึงเขียน ดังนั้นเวลาที่รู้สึกว่าตื้อตันเขียนอะไรไม่ได้ เราจะหาอะไรอ่าน ไม่ว่าจะนิตยสาร ข่าว หรือหนังสือที่ดองไว้นานตั้งแต่งานหนังสือครั้งก่อน ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งอ่านมาก ก็ยิ่งรู้จักคำมาก และช่วยขัดเกลาภาษาในการเขียนด้วยนะเออ

    แต่สิ่งที่ควรระวังก็คือ เราอาจเผลอติดสำนวนการเขียนหรืออะไรบางอย่างจากสิ่งที่เราอ่านเข้ามาในงานของเราโดยไม่รู้ตัว ต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงจัดการเรื่องนี้กันเองนะจ๊ะ (อย่างเราจะใช้วิธีไม่อ่านสิ่งที่เป็นประเภทเดียวกับงานที่เรากำลังเขียน เช่นเขียนนิยายก็จะไม่อ่านนิยาย เพราะกลัวเรื่องติดภาษามา ติดจังหวะการเล่าเรื่องมา)


    2.นอนเหอะ
    โดยส่วนตัวแล้ว เรามีความเชื่อว่า เวลาที่เขียนอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก มันเป็นเพราะสมองเราเหนื่อยกับการคิดหรือกังวลในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ดังนั้นการนอนสำหรับเราจึงเปรียบเสมือนการ shut down และกดเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ เมื่อสมดุลย์เคมีในสมองเปลี่ยนไป ก็จะสามารถเขียนอะไรออกมาได้เอง(นั่นแหละ)


    3.อาบน้ำหน่อยมั้ย
    เคยอ่านที่พี่แชมป์-ทีปกรพูดเอาไว้ เวลาที่เราไม่สามารถเขียนงานสักชิ้นได้เป็นเพราะเราคาดหวังจะเขียนมันออกมาให้ดีเกินไป หรือไม่ก็เพราะเรากำลังประเมินงานของตัวเองต่ำเกินกว่าความเป็นจริง   ซึ่งมันไม่โอเคทั้งสองทาง (จำคำเป๊ะๆไม่ได้ แต่น่าจะทำนองนี้) ดังนั้นการอาบน้ำเพื่อล้างใจไปจากความเชื่อและความคิดเหล่านั้นก็นับเป็นวิธีการที่ดีในการ refresh ตัวเอง เพื่อเริ่มต้นใหม่ในงานเขียนอีกครั้งและอีกครั้ง


    4.deep-conversation
    มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และการโต้เถียงพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติก็เป็นเรื่องสำคัญ การมีเพื่อนดีๆสักคนเอาไว้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ จึงเป็นเรื่องพึงกระทำ โดยไม่จำเป็นว่าเพื่อนคนนั้นจะต้องคิดเหมือนกันกับเราไปทุกอย่าง หรือสนับสนุนในสิ่งที่เราคิดไปเสียทุกเรื่องก็ได้ บางทีเวลาโดนเพื่อนขัด หรือแย้งอะไรในมุมที่เราคิดไม่ถึงขึ้นมา ก็ช่วยให้เราได้ไอเดียใหม่ๆเหมือนกัน

    อย่างตัวเราเวลาที่เขียนนิยายหรือฟิคชั่นแนวคอมาดี้ แต่คิดไม่ออก ตันๆ และเขียนได้ไม่ลื่นไหล เราจะเล่นเกมออนไลน์กับเพื่อนและเปิดไมค์พูดคุยกันไปด้วยระหว่างเปิดเกม และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหลายๆมุกตลกในงานเขียนของเรา ก็มาจากการคุยกับเพื่อนระหว่างเล่นเกมนี่แหละ
      

    5..เดดไลน์
    สุดท้ายคือท่าไม้ตาย มีวลีนึงที่เรามักจะพูดล้อเล่นชวนหัวกับเพื่อนเสมอคือ "งานไม่เร่งคืองานที่ไม่ได้ทำ" กล่าวคือ ถ้าจะได้ทำมันก็ต้องเป็นงานที่เร่ง มีกำหนดชัดเจนว่า มึงต้องส่งแล้ว จบได้แล้ว ดังนั้นเดดไลน์จึงกลายเป็นทางเลือกสุดท้ายในการทำงานให้ได้ คืออาจจะไม่ได้เลิศเลอเท่าที่คิดไว้ แต่เราก็คิดว่าต้องโอเคกับมันและจบงานได้แล้ว 

    ซึ่งในบางครั้งความไม่เลิศเลอนั้นก็เป็นการนอยไปเองเพราะจมกับงานมากเกินไปด้วย เอาเป็นว่า รีบเขียนให้เสร็จทันเดดไลน์เถอะ ก่อนที่จะตาย(เดด)จริงๆ





    credit: ภาพปลากรอบจากภาพยนตร์ Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ --  จริงๆก็รู้นะว่ายุ่นเป็นกราฟิก ไม่ได้เป็นนักเขียน แต่หน้ามันได้ ฟีลมันได้ เลยเอารูปมาประกอบ จบ เก็ทไม่เก็ท

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in