"ในตอนจบสุดท้ายนิยายรัก
มักให้คนห่างไกลได้ย้อนกลับ
กลับมาเพื่อพบเจอ
บอกรักเธออีกครั้ง
แต่ความจริงของฉัน
รักเราคงเป็นไปดังนั้นไม่ได้
พยายามแค่ไหนไม่มีทางใดที่เราจะใกล้กัน"
I told sunset about you - แปลรักฉันด้วยใจเธอ
ใช้เวลานานมากกว่าจะได้มาดูเรื่องนี้ เพราะเป็นซีรีย์อีกหนึ่งเรื่องที่รู้สึกว่าอยากตั้งใจ ใส่ใจดู แล้วค่อยๆละเลียดมัน พอดูจบก็รู้ซึ้งเลยว่ามันควรค่าแก่การดูมากจริงๆ แปลรักเป็นซีรีย์ที่ละเมียดละไมในการเล่ามากๆ ทุกองค์ประกอบและกลไกที่สรรค์สร้างในเรื่อง มันค่อยๆจุดประกายให้ความรู้สึกในใจคนดูให้ค่อยๆสว่างไสว สลับกับหรี่ลงดับบ้างแต่มันมีประกายไฟที่เคลื่อนไหวในใจอยู่ตลอดเวลา เหมือนเสียงหัวใจมันสั่นไหวและโลดแล่นไปตามความรู้สึกที่ขึ้นลงที่เกิดจากการสื่อสารกันของตัวละครในเรื่อง
ต้องใช้คำว่า “หัวใจได้โบยบิน” จริงๆระหว่างดูเรื่องนี้
เมื่อพูดถึงเรื่องการใส่สัญลักษณ์เข้าไปในเรื่อง เราพบว่ามันใส่เข้าไปได้อย่างดี พอดิบพอดีและกลมกล่อมเข้ากับเรื่องมาก
แปลรักเป็นซีรีย์ที่มีความภาพยนตร์สูงมาก ในที่นี้ไม่ได้ตัดสินด้วยมาตรฐานซีรีย์หรือภาพยนตร์ โดยธรรมชาติว่าอันไหนดีกว่ากัน แต่ด้วยความเข้าใกล้ธรรมชาติของภาพยนตร์ที่มันสื่อสารด้วยภาพเป็นหลัก มีทั้งภาษากายและสัญลักษณ์ค่อนข้างมาก แล้วค่อยๆเติมแต่งสีสันให้เรื่องด้วยบทพูดที่เป็นธรรมชาติ มันเลยทำให้การเข้าไปสำรวจจิตใจตัวละครของเต๋และโอ้วเอ๋วละเมียดมากๆ เรื่องราวถูกเน้นไปที่ภาวะจิตใจของตัวละครต่อสถานการณ์ที่มีผลกับใจที่ตัวละครต้องพบเจอ ซีรีย์มันถ่ายทอดทั้งการเติบโต ความเปลี่ยนแปลง มิตรภาพ ความรัก และห้วงอารมณ์ที่เปราะบางที่สุดของมนุษย์ให้เราได้ค่อยๆเข้าไปสำรวจทั้งจิตใจตัวละครและจิตใจตัวเองไปพร้อมๆกันอย่างอ้อยอิ่งและเต็มไปด้วยความรู้สึก แม้มันต้องเล่าให้จบภายใน 5 อีพีทุกอย่างเลยดูรวดเร็วไปหมดแต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีการไหลเวียนของความรู้สึกที่ถูกเล่าออกมาเป็นธรรมชาติมากๆ
ระหว่างเต๋กับโอ้วเอ๋วมีการจ้องมองกันและกันอย่างชัดเจนและถูกมุ่งเน้นให้เห็นบ่อยครั้งมากในเรื่อง ตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งสองคนใช้การจ้องมองคอยสำรวจความรู้สึก อ่านสิ่งที่อีกคนต้องการสื่อสารและคอยจ้องมองเรื่องราวของกันและกันอยู่เสมอ แล้วมันเข้ากับที่ประโยคที่โอ้วเอ๋วบอกเต๋ว่า “ถ้ามึงไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจะพยายามใส่ใจมึงมากขึ้นเอง” มันเป็นการออกแบบสัญลักษณ์ของภาษากายที่เข้ากับคาแรคเตอร์ของตัวละครมากๆ
ทั้งสองคนจ้องมองอีกฝ่าย สื่อสารความรู้สึกและพยายามรับรู้เรื่องราวกันและกัน แต่เต๋เป็นฝ่ายเก็บ ฝ่ายครุ่นคิด จมดิ่งอยู่กับความคิดตัวเอง พยายามจะหาคำตอบและลงมือทำ ส่วนโอ้วเอ๋วจะเป็นฝ่ายที่จ้องมองกลับ คอยสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเต๋ เป็นฝ่ายโอนอ่อนที่จะเข้าไปเริ่มสื่อสารก่อนเสมอ รวมถึงเป็นคนที่ตรงไปตรงมา บ่งบอกความรู้สึกและความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจนผ่านทุกการกระทำรวมถึงสายตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกอย่างชัดเจนมากๆ มันเป็นความแตกต่างที่ลงตัวและสร้างความ dramatic ในการสร้างกลไกความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักที่ดีอย่างหนึ่งของตัวละครเลย
ผ่าน “การจ้องมอง” เราเห็นเต๋ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดของโอ้วเอ๋วผ่านการจ้องมอง คอยดูว่าอีกฝ่ายไม่สบาย หรือเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาในใจ ถ้าพอจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ คลายความกังวลได้ เต๋จะทำเสมอ ตรงนี้เองที่ทำให้เรานึกถึงประโยคจากหนัง Lady bird ที่บอกว่า “Love and Attention is the same thing.”
ถึงแม้ในตอนนั้นเองเต๋จะแปลความหมายของการกระทำนี้ไม่ออก แต่แม้จะยังไม่รู้ว่าความใส่ใจทุกรายละเอียดที่มีให้โอ้วเอ๋วเป็นความรัก แม้จะยังไม่ได้ตีความว่าเป็นความรักแบบไหน มันก็ยังเป็นความรักและมิตรภาพอยู่ดี ส่วนโอ้วเอ๋ว คนที่ดูเหมือนไม่สนใจอะไร แต่คอยสังเกตความรู้สึกเต๋อยู่เสมอ การที่เป็นคนชัดเจน ตรงไหนตรงมา มันเลยทำให้โอ้วเอ๋วต้องการสื่อสารกับเต๋และอยากรู้ว่าจริงๆแล้วเต๋รู้สึกอะไรกันแน่
“มึงรู้สึกอะไร มึงก็บอกกูสิ อย่าเงียบ อย่าให้กูมารู้เองทีหลัง”
“แต่ถ้ามึงไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจะพยายามใส่ใจมึงมากกว่านี้เอง”
โอ้วเอ๋วเป็นคนที่เริ่มต้นโอนอ่อนเข้าหาเต๋เพื่อสื่อสารและสะสางปัญหาที่ค้างคาใจระหว่างกันก่อนเสมอ โดยในกระบวนการความใส่ใจของเต๋ แม้จะใส่ใจโอ้วเอ๋วมาก ความครุ่นคิดและกังวลที่จะเริ่มต้นแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกันก่อนเลยมีมากตามไปด้วย เลยทำให้คนที่เริ่มทำลายความเงียบและเริ่มต้นแก้ไขปัญหาก่อนคือโอ้วเอ๋วจริงๆ ในทุกครั้งที่เกิดปัญหา มันเหมือนเป็นการเติบโตของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาและมุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกที่ทั้งสองใส่ใจกันและกัน คล้ายกับการกระเทาทรายออกจากโขดหินริมทะเล เปรียบเสมือนการค่อยๆใช้เวลาเพื่อเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของกันและกันออกแล้วค่อยๆกลับมาอยู่จุดเดียวกัน คล้ายกับความมั่นคงในการไหลของน้ำทะเลเสมอ
เราชอบความที่เรื่องนี้มันสร้างซีนที่ทำให้คนดูค่อยๆมีความรู้สึกเปลี่ยนไปตามทุกเหตุการณ์และจดจ่อกับอารมณ์ของตัวตัว ทำให้มีความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นมากๆ แต่ละซีนเรียกว่างาน Craft ที่ถูกสรรค์สร้างอย่างละเมียดละไม มันเล่นกับการสร้างความ magical ในแต่ละซีน จุดประกายให้คนดูได้รู้สึกตามห้วงอารมณ์ที่เล็กน้อยที่สุดที่เราไม่เคยสังเกตว่าในชีวิต เราจะรู้สึกกับมันมากขนาดนี้ไหม ทั้งเรื่องมันทำการสื่อสารอารมณ์ออกมาแล้วทำให้คนดูตกอยู่ในภวังค์ ในเรื่องมีการสร้างสรรค์ซีนแบบนี้เยอะมากๆภายในซีรีย์สั้นๆเพียงแค่ 5 อีพี
เหมือนกับผู้สร้างได้เลือกรูปแบบการสื่อสารระหว่างตัวละครให้ออกมาเชื่องช้า แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ ค่อยๆเพิ่มระดับความรู้สึกให้คนดู พาร์ทเหตุการณ์เล็กๆที่สานความความสัมพันธ์ของเต๋กับโอ้วเอ๋วก็เต็มไปด้วยความธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสดใหม่เหมือนกับหัวใจที่เบิกบานเพราะรักครั้งแรก หัวใจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแต่ก็พร้อมโอบกอดความรู้สึกที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างกันนี้ ส่วนพาร์ทดรามาก็ขยี้ใจสุดๆ และทำให้เอาใจช่วยให้สุดท้ายตัวละครสามารถคลี่คลายปัญหาได้ซักที เราชอบกลไกการสร้างแต่ละซีนที่มันสร้างทั้ง emotion tension และ sexual tension ระหว่างตัวละครได้ดีมากๆ
มีฉากสำคัญที่เราชอบมากๆในเรื่องคือฉากสารภาพรักของโอ้วเอ๋ว มันเป็นการบอกรักที่ไม่มีคำว่ารัก แต่เป็นโมเม้นที่เป็นสุดยอดแห่งความสว่างไสวและทำให้สั่นสะท้านไปถึงหัวใจ มีทั้งความบริสุทธิ์ของความรักวัยรุ่นและการเติบโตของตัวละครโอ้วเอ๋วที่ไม่ได้ว้าวุ่นกับความรู้สึกของตัวเองในการสารภาพรักแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจในทั้งความรู้สึกของตัวเองที่ชัดเจนต่ออีกฝ่ายและมั่นใจว่าอีกฝ่ายชอบตัวเองกลับแน่ๆ ไร้ความลังเลจนไม่ต้องถามว่าเต๋ชอบตัวเองมั้ย มีเพียงคำถามแค่อยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน
มวลอารมณ์ของซีนนี้มันคือสเตจของความรักที่มีความไม่มั่นคง มีความตื่นเต้น เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนว่าต่อไปจะเป็นยังไงแต่น่าค้นหาเพราะอยู่ในขั้นเริ่มแรกของความรัก ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกที่ชัดเจนของตัวละครโอ้วเอ๋วที่ส่งตรงมาถึงคนดูอย่างซื่อตรงที่ทำให้ใจเต้นแรงไปพร้อมๆกัน แล้วทุกองค์ประกอบในฉาก ทั้งสถานที่ postion ในการนั่งของตัวละคร การเลือกใช้ช่วงเวลาและแสงของวันในตอนใกล้รุ่งที่เหมือนกับแสงเช้ากำลังค่อยๆส่องสว่างเหมือนการเปิดเผยความจริงความในใจ หรือสภาพแวดล้อมที่ตกแต่งด้วยดอกชบาที่หลายคนตีความว่ามันคือสัญลักษณ์ของเพศ 2 เพศในดอกเดียวหรือในที่นี้คือ LGBTQ+
มันเป็นช่วงเวลาพิเศษของวันที่ตรงข้ามกับชื่อเรื่อง Sunset ที่คือช่วงเวลา Sunrise มองได้ว่าเพราะในฉากนี้มันอยู่ในสเตจที่ตัวละครกำลังเปิดเผยความในใจเป็นครั้งแรก แต่ยังไม่ใช่จุด Climax ของเรื่อง เรามองว่าทุกๆอย่างที่เค้าออกแบบเพื่อสร้างกลไกให้อารมณ์มันไหลเวียนในฉากนี้มัน magical มากๆ ทั้งเซทอัพและไดอะลอกของตัวละครที่บ่งบอกคาแรคเตอร์ดีไซน์ของตัวละครโอ้วเอ๋วได้เป็นอย่างดีมากๆ
โอ้วเอ๋วเป็นคนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมามาตลอด เป็นคนชัดเจนในความรู้สึกตัวเองในขณะเดียวกันก็มีเล่ห์เหลี่ยมในการสื่อสาร อาจจะเพราะด้วยเคมีของนักแสดงและการแสดงของพีพีด้วย ทำให้ทุกอากัปกิริยาก่อนเกิดฉากนี้มันค่อยๆเร้าอารมณ์ทำให้เรารู้สึกว่า โอ้วเอ๋วแม่งชัดเจนจริงๆว่าเปลี่ยนใจไปชอบเต๋แล้ว ทั้งการคอยลอบแอบมองปฏิกิริยาของเต๋ตลอดเวลาที่ตัวเองเลือกใกล้ชิดกับบาส ทั้งสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนและความใส่ใจที่มีให้เต๋มากกว่าเดิม นอกเหนือจากฉากก้มลงไปกินเลย์จากเต๋ จนมาถึงฉากที่บอกรักย้ำๆ “กูคิดว่ามึงรู้นะ” ทั้งๆที่ไม่มีคำบอกรักเลยแต่มันชัดเจนมากๆ ดีไปหมดจริงๆทั้งสถานการณ์นี้ ต้องกราบความควีนของพีพีที่ช่วยเสริมคาแรคเตอร์ของตัวละครที่ออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับตัวจริงนักแสดงมากๆ เราประทับใจทั้งฉากกินเลย์และฉากเอาดอกไม้ทัดหูเต๋มาก ควีนอะไรขนาดนั้น
การใช้เสียง Ambient ในเรื่องประกอบฉากสำคัญๆที่เราสังเกตุมา 2–3 ซีนเราก็ทำให้เราชอบมาก อย่างฉากบอกความในใจนี้ นอกจากแสงเป็นแสงใกล้ย้ำรุ่ง มืดมนที่กำลังค่อยๆส่องสว่างเหมือนการบอกความในใจที่คลำทางสื่อสารไปสู่อีกฝ่าย เสียง ambitent ในฉากเหมือนเป็นเสียงแมลงที่ค่อยๆหรี่เสียงดังขึ้นเรื่อยๆคล้ายเสียงหัวใจที่เต้นระรัวแต่ก็เต้นอย่างมั่นคงของโอ้วเอ๋ว มันอาจแสดงออกถึงความตื่นเต้นกับความไม่รู้ว่าความรักครั้งนี้จะเป็นยังไงต่อแต่จังหวะของเสียงมันหนักและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับความรู้สึกในใจโอ้วเอ๋ว
และเมื่อได้เปรียบเทียบกับฉากหลังจากนั้นที่ทั้ง 2 คนเจอกันที่ทะเล ตอนที่เต๋กับโอ้วเอ๋วนอนจ้องมองกันบนพื้นทราย ถามกันเรื่องมาตามหากันที่นี่ทำไม จนไปถึงโอ้วเอ๋วบอกว่าไม่ต้องหาคำตอบแล้ว เสียง ambient ในฉากนั้นคือเสียงคลื่นทะเลที่มีจังหวะมั่นคง สงบ แน่นิ่ง แต่มันคือเสียงคลื่นที่พัดขึ้นลงตลอด เหมือนกับความในใจที่โอ้วเอ๋วเตรียมอย่างดีเพื่อมาบอกเต๋แล้ว ในขณะเดียวกันก็เป็นเสียงความนิ่งเงียบของเต๋ที่กำลังใช้เวลาคิด แปลความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อโอ้วเอ๋ว เมื่อลองฟังเสียง มันเหมือนเสียงคลื่นที่พัดไปเรื่อยๆแต่มันกลับสั่นไหว ขึ้นลงตลอดเวลาคล้ายเต๋ที่กำลังใช้เวลาประมวลผลเพื่อแปลความรู้สึกที่มีต่อโอ้วเอ๋วอยู่ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เสียงประกอบฉากที่ใส่มาเฉยๆแต่เราตีความไปเอง แต่พอเอาทุกอย่างมาประกอบกัน เราพบว่าองค์ประกอบที่ทีมงานใส่มาส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ต้องการสื่อสาร เป็นการสรรค์สร้างเพื่อสื่อสารที่มีความหมายทั้งสิ้น แล้วเราชอบมากๆที่ทีมงานละเอียดกับทุกอย่าง เพราะทุกองค์ประกอบมันมีส่วนประกอบในการสร้างความ magical ในซีนนั้นๆเสมอ
นอกเหนือจากความหมายของดอกชบาที่มีบทความเขียนถึงเรื่องการตีความว่าดอกชบาเป็นดอกที่มีทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในดอกเดียวกันแล้ว แล้วทำไมถึงเลือกดอกไม้เข้ามาอยู่ในซีน? เป็นส่วนหนึ่งในฉากสำคัญนี้ตั้งแต่แรก? เราคิดว่าดอกไม้ ตีความตามตรงตัวเลยคือ “ความเบ่งบาน” ของความรู้สึกในในใจของทั้งสองคน
พอเราพูดถึงดอกไม้ มันมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเบ่งบานทั้งเรื่องการเจริญเติบโต การก้าวข้ามผ่านวัย และที่ไม่นึกถึงไปไม่ได้เลยคือเรื่อง”ความรัก” ด้วยความที่ซีรีย์เรื่องนี้เป็น Drama coming of age แม้การเลือกดอกไม้สีแดงมาใช้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงการเบ่งบานและเติบโตของวัยรุ่นทั้งสองคนมุ่งเน้นหลักๆที่ตีความในซีนนั้นคือเรื่องความรัก มันอาจจะเป็นสัญลักษณ์ที่ฟังดูธรรมดา แต่เรามองว่ามันถูกเลือกมาได้อย่างพอดิบพอดีอีกเช่นเคย ด้วยความชอบทะเลส่วนตัวของเราอยู่แล้ว ความรักและการเติบโตในสถานที่ใกล้ทะเลจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างถูกมองว่าพิเศษกว่าสิ่งอื่นเสมอมา เราเลยชอบหลายๆองค์ประกอบที่เค้าเลือกมาใช้จริงๆ
นอกจากนี้หลังจากฉากบอกความในใจ เราชอบพัฒนาการของ “ความรู้สึกที่ค่อยๆเปลี่ยนไปของตัวละครมากๆ” มันมีความใส่ใจกันที่มากขึ้นของอีกฝ่าย ความอยากสัมผัสกันมากขึ้น เริ่มต้นจากจุดเปลี่ยนการดมกลิ่นหอม “มะพร้าว” ที่หัวของโอ้วเอ๋ว จนทำให้ทั้งสองคนได้ครุ่นคิดกับ “กลิ่นมะพร้าว” จนเต๋เกิดความเปลี่ยนแปลง จากไม่ชอบ กลายเป็นชอบกลิ่นมะพร้าว เปรียบเสมือนความรู้สึกที่ค่อยๆเปลี่ยนไปของเต๋ และถึงแม้การสารภาพรักจะถูกเปิดเผยออกไป โอ้วเอ๋วก็ทำให้บรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเต๋ไม่ตึงเครียด ไม่มีแรงกดดันอะไรมากมาย เป็นการแสดงออกถึงคาแรคเตอร์ที่ Light และ Cool มากๆของโอ้วเอ๋ว
นำไปสู่ฉากการไปขอพรที่ศาลเจ้าก่อนจะวิ่งไปที่แหลมพรหมเทพ หลังจากฉากที่โอ้วเอ๋วบอกว่าไม่ต้องคิดมากแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเพื่อคลายความตึงเครียดของความสัมพันธ์ ตัวละครก็ไปขอพรเพื่อเป้าหมายของแต่ละคน มันเป็นสัญลักษณ์การรักษาความสัมพันธ์ที่แสดงออกถึงมิตรภาพมากๆสำหรับเรา มันแสดงให้เห็นว่าต่อให้ความรักหรือความรู้สึกที่มีให้กันอยู่ มันยังไม่มีคำตอบ มิตรภาพของเต๋และโอ้วเอ๋วมันก็ยังคงอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม
และฉากที่เต๋วิ่งพาโอ้วเอ๋วแอบเข้าไปในศาลเจ้าด้วยเส้นทางลับที่ป้ายเขียนว่า “ห้ามเข้า” ทั้งสองทาง มันแสดงให้เห็นว่าถึงแม้เต๋จะ “แปล” ความรู้สึกที่ตัวเองมีให้โอ้วเอ๋วยังไม่ออกอย่างชัดเจน แต่การกระทำที่มันตรงกับความรู้สึกข้างในนำพาให้เต๋ก้าวข้ามผ่านเส้นทางที่คนในสังคมยังมองว่าเป็นเรื่อง “ต้องห้าม” อยู่
ในฉากที่เต๋กับโอ้วเอ๋วพักเหนื่อยอยู่บนถนนระหว่างทางไปแหลมพรหมเทพ ด้านที่เต๋นั่ง กับด้านที่โอ้วเอ๋วนั่ง มีแสงส่องสว่างและดำมืดต่างกัน เราชอบรายละเอียดนี้ที่ทีมงานใส่เข้าไปอีกนั่นแหละ เรามองว่ามันคือการที่โอ้วเอ๋วได้เปิดเผยความรู้สึกตัวเองออกมาแล้ว ส่วนเต๋ ถึงแม้จะมีการกระทำที่ตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแปลว่าอะไร แต่ก็ยังไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกอย่างชัดเจนกับโอ้วเอ๋วอยู่ดี
เรื่องภาษากายระหว่างตัวละครเป็นเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้เลย อย่างที่หลายคนชื่นชมไปเยอะมากแล้ว พอได้ดูก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะนักแสดงสนิทกันอยู่แล้ว เพราะบทมันเขียนกำกับมาอย่างดี หรือการกำกับการแสดงที่ดีของผู้กำกับ หรือเป็นเพราะทั้งหมดรวมกันกันแน่ที่ทำให้ทุกการถ่ายทอดภาษากายในเรื่องระหว่างตัวละครมันออกมาธรรมชาติและแม้ไม่ได้สังเกตก็จะเห็นว่ามันคือจุดเด่นของเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัดจริงๆ มันทำให้เรานึกถึงเคมีการแสดง การปฏิสัมพันธ์ภาษากายของเซอร์ชากับทิมมี่ใน Little women ที่มีความเป็นธรรมชาติสูงมากๆ
ทั้งในตอนต้นเรื่องหลังจากที่โอ้วเอ๋วเปิดเผยความในใจ ซีนที่กอดกันที่ทะเล มันค่อยๆเหมือนการที่ตัวละครทั้งสองคนเปิดรับความรู้สึกที่มากกว่าเพื่อนของกันและกันอย่างเป็นธรรมชาติ โดยอีกคนอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหัวใจดวงนั้นมันได้เปิดแล้ว การเอาหน้าซบที่ไหล่ของตัวละครก็เป็นภาษากายที่เราชอบมากๆอย่างในเรื่อง มันเป็นการทะลายกำแพงความเป็นมากกว่าเพื่อนของตัวละคร ไม่ต้องมีคำพูดอะไรที่มากมาย แค่โอ้วเอ๋วซบลงไปที่ไหล่เต๋มันก็สื่อสารออกมาหมดแล้วทั้งความรู้สึกรัก และเสน่ห์หา
ฉากที่ทั้งสองคนกอดคืนดีกันใต้บันไดก็สุดแสนแห่งความ Cinematic มากๆ อยากกราบคนคิดชอตนี้มากๆ การปฏิสัมพันธ์ของตัวละครมันเหมือนกับโอ้วเอ๋วรู้ว่าเต๋จะต้องตามมา แม้ว่าเต๋จะปากแข็งดื้อด้านแค่ไหนแต่ก็ตามเขาไปเสมอ การที่สองคนกอดกันใต้บันไดก็แสดงออกถึงความรักที่รับรู้กันสองคนแต่ยังไม่เปิดเผย แล้วอ้อมกอดแต่ละอ้อมกอดมันก็เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ความรู้สึกของตัวละครที่เกิดขึ้น เราไม่เคยได้ศึกษาการแสดงออกภาษากายของมนุษย์เพื่อการแสดงอย่างจริงจังแต่ทุกครั้งที่ดูมันทำให้รู้สึกทึ่งอยู่ในใจเสมอเรื่องเวลาคนเราแสดงความรู้สึกผ่านภาษากาย บางทีมันอาจชัดเจนกว่าคำพูดเสียอีก
อย่างในการสื่อสารเรื่องหัวใจของคู่นี้ ความเว้าวอน อาทร เสน่ห์หา อยากขอโทษจากก้นบึ้งของหัวใจของเต๋กับโอ้วเอ๋ว มันแสดงออกผ่านการซบไหล่ จูบหลังคอ กอดแบบฝังหน้าเข้าไปที่ไหล่ของอีกคนอย่างแนบแน่น หรือฉากเลิฟซีนที่ไม่มีการจูบปากหรือเปลื้องผ้าแต่เป็นการสัมผัสกันจากการกอดด้านหลังแล้วจูบคอ มันไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้ง แต่เป็นซีนที่ sexual tension มันอบอวลไปทั่วทั้งห้องทั้งๆที่ตัวละครเพียงแค่หลับตาแสดงออกความรู้สึก เราก็ได้แค่ดูแต่ทุกอย่างมันส่งความรู้สึกวาบหวามนั้นออกมาจากซีนนั้น ด้วยพลังหลักๆของภาษากายเลย ดูแล้วโห มันเป็นอีกศาสตร์นึงที่ผ่านการออกแบบและกระบวนการคิดมาอย่างดีแน่ๆ แม้คนที่ไม่มีความรู้อะไรเลยหรือไม่ค่อยได้มี human touch กับใครยังสามารถสัมผัสความรู้สึกที่ตัวละครมีให้กันได้ ยิ่งมันเสริมด้วยการออกแบบงานภาพที่ขับเน้นการแสดงอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครอย่างละเมียดและชัดเจนขนาดนั้นอีก ไม่ได้อวยอะไรเลยแต่ถ้าดูแล้วทุกคนก็จะเห็นจริงๆ
อีกหนึ่งภาษากายที่ถูกเอามาใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเปลี่ยนแปลงและก้าวผ่านความสัมพันธ์ของเต๋และโอ้วเอ๋ว จาก “เพื่อน” สู่ความรู้สึกที่ “มากเกินเพื่อน” เราค่อนข้างชอบการที่พฤติกรรมธรรมดาอย่าง “การเกาหลัง” มันถูกออกแบบจากทีมผู้สร้างให้เป็นสิ่งที่มีอะไรมากกว่าเป็นแค่นิสัยของตัวละคร
ในตอนเด็ก การที่เต๋เกาหลังให้โอ้วเอ๋ว แสดงออกถึงความสนิทที่บริสุทธิ์และมิตรภาพในวัยเด็ก แต่เมื่อโตขึ้น หลังจากทั้งคู่ได้กลับมาสนิทกัน การที่เต๋เกาหลังให้โอ้วเอ๋วอีกครั้งหมายถึงการทะลายกำแพงความไม่สนิทในช่วงเวลาหนึ่ง จนกลับมาเป็นเพื่อนสนิทที่มีความสบายใจต่อกันเหมือนเดิม และอีกครั้งที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์จากเพื่อนเป็นมากกว่าเพื่อนไปตลอดกาล คือการเกาหลังก่อนฉากเลิฟซีนที่เต๋สัมผัสโอ้วเอ๋วจากด้านหลัง เราชอบการที่ทีมสร้างหยิบเอาความสนิทสนมมาแสดงออกผ่านภาษากายแล้วแฝงความหมายในทุกๆการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ได้ทุกฉากอย่างดีมากๆ
พูดถึงเรื่องการออกแบบซีนสำคัญๆ ความจริงเราซื้อการที่ออกแบบซีนใหญ่ๆมาให้ตัวละครแสดงความรู้สึกในวิธีแบบภาพยนตร์อย่างซีนที่ร้องเพลง แปลเพลงกันที่แหลมพรหมเทพ เพราะมันเป็นการสร้างซีนในการเล่าความรู้สึกตัวละครที่เราคิดว่าสามารถเข้าถึงคนดูในวงกว้างได้เพราะรูปแบบการเล่าที่แมส (ที่แม้หลายคนอาจจะมองว่าเชย อย่างที่เราเคยเห็นซีนร้องเพลง แปลความหมายเพลงส่งต่อความรู้สึกของตัวละครให้กันจากหนัง I fine Thank you Love you ของทีม GDH ที่เป็นซีนหนังรักแมสๆที่เคยถูกใช้มาก่อน)
แต่สารภาพตามตรงว่าเราชอบการออกแบบการส่งต่อความรู้สึก การปฎิสัมพันธ์กันของตัวละครในซีนเล็กๆที่มันมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า วิธีการเล่าความรู้สึกตัวละครผ่าน New media อย่าง SNS ถูกหยิบยกมาเล่าหลายซีรีย์ก่อนหน้านี้ไปแล้ว ซึ่งหลายๆซีรีย์ที่อาจเป็นเรฟของเรื่องนี้อย่าง Skam เมื่อหลายปีก่อนอาจมีการใช้การติดต่อสื่อสารผ่าน new media ที่ล้ำ ฉลาดและละเอียดกว่านี้มาก แต่พอได้ดูมาในซีรีย์นี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่า SNS มันมีผลต่อกลไกความรู้สึกของตัวละครมากๆจริงๆ เปรียบเสมือนเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ช่วยเดินเรื่องและขับให้ความรู้สึกของตัวละครเด่นชัด อย่างการไลน์บอกกันของเต๋กับโอ้วเอ๋วในวงสนทนา จนมีมีมดังๆในทวิตอย่าง “มึงลองขยับเข้าไปใกล้มันดู ถ้ามันไม่ถอยหนี มันอาจจะชอบมึงก็ได้” สุดน่ารัก หรือความรู้สึกว้าวุ่นใจของเต๋ที่คอยส่องว่าโอ้วเอ๋วมาดูสตอรี่ของตัวเองหรือยัง หรือการใช้ไอจีเดินเรื่องอย่างชัดเจนในฉากที่ทั้งสองคนฟาดฟันอารมณ์กันผ่าน IG story
เราพบว่าคนสร้างหยิบเอา new media มาใช้กับเรื่องได้อย่างเจาะลึก insight การใช้ SNS ของวัยรุ่นที่เป็น Target group ของคนดูได้ดีจริงๆ เพราะไม่ว่าจะวิธีการเล่าเรื่อง พลอตเรื่อง หรือพฤติกรรมการใช้ SNS ดูออกว่ามันทำมาเพื่อกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นเจน Y และ Z รุ่นเราที่ใช้ instagram เป็นหลักแล้วมีพฤติกรรมแบบนี้จริงๆ ทำให้คนดูเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายเพราะมันใกล้เคียงกับพฤติกรรมของเราจริงๆเป็นเรื่องที่ทีมงานน่าจะรีเสิร์ชมาจากเรื่องสื่อกับสังคมโดยเฉพาะ
สำหรับซีนเล็กๆนอกเหนือจากการใช้ SNS ที่พูดถึงไปข้างต้น ซีนอย่างการแชร์ความลับของกันให้อีกฝ่ายรู้ก็เป็นอะไรที่มีแพทเทิร์นมาอยู่แล้ว จากเรื่องพฤติกรรมการลดความไม่มั่นใจความสัมพันธ์ด้วยการปฏิสัมพันธ์กันของตัวละคร แต่ด้วยการแสดงของพีพีกับบิวกิ้น งานชอตที่เน้นไปที่งานสายตาและการกำกับการแสดงที่แสดงทั้งอารมณ์และภาษากายมากเป็นพิเศษ มันทำให้ฉากเล็กๆนั้นดูมีอะไรมากๆ เหมือน Dynamic ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มีกราฟอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่ซีนที่ใส่มาเพื่อเดินเรื่องเท่านั้น แต่เป็นซีนที่ใส่มาเพื่อให้เราได้มองเห็นรายละเอียดของการดำเนินความสัมพันธ์ของตัวละครที่ค่อยๆถูกกระเทาะความรู้สึกและสายสัมพันธ์เพื่อให้กลับมาสนิทสนมและ intimate กันเหมือนเมื่อก่อนอย่างช้าๆ รวมถึงแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเพื่อนด้วย
โดยซีนเล็กๆนั้น มันอาจไม่ได้เป็นซีนดรามาของเรื่องที่พยายามไปถึงฝั่งฝันสูงสุดของห้วงอารมณ์ให้เราไปถึงจุดสูงสุดนั้นตาม แต่มันสำคัญกับการค่อยๆพัฒนาความรู้สึกของคนดูให้รู้สึกเท่าที่ตัวละครรู้สึกและพัฒนาความรู้สึกไปพร้อมๆกันด้วยมากๆ แต่สิ่งที่อยากเพิ่มเติมให้มันมีมากกว่านี้นอกจากเรื่องการแชร์กันเรื่องความฝันการเป็นนักแสดง ความชอบเรื่องหยงเจี้ยน การกินหมี่ฮกเกี้ยนเส้นเล็ก หรือพฤติกรรมที่รู้กันแค่ 2 คนอย่างการเกาหลัง ถ้าทีมเขียนบทสามารถเพิ่มรายละเอียดบทสนทนาที่มากกว่าขั้นพฤติกรรมความชอบในชีวิตพวกนี้ให้ไปถึงเลเวลความชอบในจิตใจ ปรัชญาที่นับถือ ทฤษฎีที่สองคนรู้แค่กันและกันหรืออะไรที่มัน insight มากกว่านี้ที่สามารถทำให้มีผลต่อเส้นเรื่องมากขึ้นได้อย่างเรื่องความชอบโรมิโอจูเลียตของ even ใน skam ไปสู่การเขียนคอมมิคพูดเรื่อง Pararell theory ว่าใน Pararell universe อาจมี Isak กับ Even นอนอยู่อีกโลกก็ได้ มันอาจเพิ่มกิมมิค ความพิเศษให้เรื่องนี้มัน beyond ไปมากกว่าแค่ความสัมพันธ์ ความรักของเด็กหนุ่มก็ได้
พอได้ตั้งใจดูเรื่องนี้เลยได้เห็นถึงการสื่อสารกันของตัวละคร ตอนที่ดูแรกๆ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโอ้วเอ๋วเป็นตัวละครที่ชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองและไม่ลังเลที่จะสื่อสารความรู้สึกตัวเองไปให้คนที่อยากให้รับรู้ได้รับรู้เลย แล้วเราคงมองว่าเต๋ นอกจากจะชอบหลบตา ไม่ได้จ้องมองโอ้วเอ๋วมากเท่าที่โอ้วเอ๋วจ้องมองเต๋ ยังเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยชัดเจน มีการเก็บความรู้สึกและไม่สื่อสารออกมาผ่านคำพูดตรงตั้งแต่แรกที่รู้สึก แต่พอได้มาดูและแยกแยะการสื่อสารของทั้ง 2 คนจริงๆ เราคิดว่าสิ่งที่เต๋ทำ มันสื่อสารผ่านการแสดงออกทั้งหมด ทั้งพฤติกรรมที่ว้าวุ่น การแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนที่โอ้วเอ๋วจับได้ คอยมองเห็นและสังเกตอยู่ตลอด แต่มันเป็นการแสดงออกเพื่อสื่อสารที่ไม่ function เอาซะเลยเมื่อเทียบกับการสื่อสารของโอ้วเอ๋ว
ประเด็นการสื่อสารนี้เองกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด conflict ระหว่าง 2 คนนี้เสมอตลอดทั้งเรื่อง จะว่าไปมันก็เป็นประเด็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้าง Cliche มากๆเลยนะ ในความสัมพันธ์ มักจะมีฝ่ายที่ไม่แสดงออก เก็บความรู้สึก หรือแสดงออกอะไรออกไปที่ทำให้คนรับสารเกิดความเข้าใจผิดได้ จนเกิดปัญหาระหว่างกัน แล้วสุดท้ายก็ต้องมาแก้กันในที่สุดเพื่อให้ความสัมพันธ์มันไปรอดและยังคงอยู่ เต๋กับโอ้วเอ๋วก็เป็นแบบนั้นเลย แต่ที่ชัดเจนออกมาจากความสัมพันธ์ของ 2 คนนี้เลยคือโอ้วเอ๋ว แม้ในตอนแรกจะไม่สนใจที่จะสื่อสาร แต่พอได้สื่อสารออกมาแล้วก็จะชัดเจนมากๆต่อความรู้สึกตัวเองเพื่อส่งสารที่จริงที่สุดไปให้อีกฝ่ายรู้ แล้วโอ้วเอ๋วเหมือนเป็นคนที่ต้องเริ่มก่อนที่จะกะเทาะจิตใจเต๋เพื่อให้เต๋สื่อสารกลับตลอด ในหลายๆซีนที่เต๋เกิดความ insecure ในการสื่อสาร ภาษากายคือลังเลที่จะเริ่มต้นสื่อสารก่อน นั่งเงียบ ไม่ยอมเริ่มก่อน เดินตาม ไปใกล้ๆเค้าเพื่อจะสื่อสารแต่ก็ไม่ยอมเริ่มก่อน จนพอโอ้วเอ๋วเริ่มต้นก่อนเสมอ ระหว่างการสื่อสารนั้นก็จะเกิดการหลบตา การบ่ายเบี่ยงของร่างกายออกไปอีกทางนึงไม่จ้องมองอีกฝ่ายเกิดขึ้น
มันเปรียบเสมือนกระบวนการการรับรู้ต่อสิ่งเร้าของคน การใส่ใจต่อสิ่งเร้า แล้วค่อยๆตีความสิ่งเร้าของคน เป็นกิมมิคที่มีชื่อของซีรีย์เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องอยู่ตลอดเลยคือ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ทุกอย่างที่เต๋ทำมันเป็นการแปลสารที่ได้รับมาจากโอ้วเอ๋ว ด้วยการที่เอาพยายามเอาไปตีความเอง พยายามไปหาคำตอบเอง จนสุดท้ายมันประมวลออกมาได้ก็จะเกิดอุปสรรคในการสื่อสารคือไม่ว่าจะเป็นความรีรอในการเข้าไปสื่อสารเพื่อแกปัญหาของมัน เบื้องหลังเหตุผลของตัวละครทั้งความเชื่อค่านิยมเรื่องเพศในครอบครัวสังคมคนจีน หรือความสับสนในความรู้สึกของตัวเองละคร โดยทั้งหมดนี้คือกระบวนการแปลสารของเต๋ที่เกิดความคลาดเคลื่อนในการแปลสาร แต่ก็ส่งเสริมคอนฟลิคของเรื่องไปเรื่อยๆ แต่เมื่อโอ้วเอ๋วกระเทาะความรู้สึกของเต๋ออกมาทั้งหมด สื่อสารจนเข้าใจกับเต๋แล้ว เต๋ก็ตอบกลับมาและทั้งคู่ก็เข้าใจตรงกันในที่สุด
ถึงแม้บางเหตุการณ์อย่าง “กูคิดว่าต่อไปอาจจะเลิกชอบมึงก็ได้” มันอาจจะเป็นการประมวลผลที่มาจากการแปลสารที่คลาดเคลื่อนเพราะหลายเหตุผล อย่างเช่น การไม่รู้ใจตัวเอง แต่สุดท้ายมันก็แก้ปมกันไปจนจบที่เข้ากับชื่อเรื่องมากๆอีกนั่นแหละว่าคือ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” อย่างที่โอ้วเอ๋วบอกมาตั้งนานแล้วว่า ”ถ้ามันไม่มีคำตอบ ก็ไม่ต้องพยายามหาคำตอบก็ได้” เรามองว่าในเรื่องกำลังอาจสื่อว่าเรื่องความรัก มันใช้ตรรกะหรือการวิเคราะห์ในการแปลความทุกอย่างเหมือนกับที่เต๋ใช้กับหลายเรื่อง หลายความเชื่อ ค่านิยมในชีวิตมาตลอดไม่ได้ มันต้องใช้ความรู้สึกที่ตัวเองมีแปลคำตอบนั้น (รู้ตัวช้าจริงๆอิเต๋น่าสงสาร)
ด้วยความที่มันเป็นซีรีย์ Drama Coming of Age จึงทำให้เรามองเห็น “ความเปราะบาง” ทางอารมณ์ของตัวละครมากเป็นพิเศษ พอได้ดูแล้วมันทำให้เรากลับมานั่งคิดจริงๆว่าถ้าไม่นับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รูปแบบการเสพสื่อ การแสดงออกตอบโต้หรือจัดการกับปัญหาของวัยรุ่นในแต่ละ Generation ที่แตกต่างกัน ที่ผ่านมาที่เราเคยเห็นมาในสื่อ ภาวะการรับมือกับปัญหาและการจัดการทั้งปัญหาและอารมณ์ของตัวละครเอกวัยรุ่นในหนังหรือซีรีย์ coming of age เป็นแบบนี้จริงๆหรือเปล่า จากที่เราได้เคยดูมาแม้จะส่วนใหญ่จะเป็นสื่ออเมริกันเป็นหลัก แต่แพทเทิร์นการจัดการกับอารมณ์หรือภาวะทั้งการถ่ายทอดอารมณ์และระเบิดอารมณ์ของตัวละครจะมีความคล้ายๆกันหมดเลยขึ้นอยู่กับความหนักของปัญหา พื้นหลังของตัวละคร การดีไซน์ตัวละครและการเลือกโฟกัสเล่าเรื่องประเด็นอารมณ์นี้
อย่างในเรื่องแปลรัก เราพบ “ความเปราะบางทางอารมณ์” ของตัวละครเกือบตลอดทั้งเรื่อง มันไม่ใช่แค่ในฉากร้องไห้หรือดรามา แต่มันอยู่ตั้งแต่ในสเตจการขอโทษกัน การง้อกัน การเริ่มแอบชอบกัน การไม่รู้ตัวว่าตัวเองแอบชอบเขา การสารภาพว่าชอบเขา ความรู้สึกเสียใจที่กลัวว่าเขาจะไปชอบคนอื่น ความรู้สึกสับสนว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ของเต๋ การ come out กับพี่ชาย จนไปถึงสภาวะ mental breakdown ของตัวละครที่ทั้งทะเลาะกันเอง ทะเลาะกับเพื่อน ทะเลาะกับครอบครัว
ทั้งเรื่องมันโฟกัสไปที่การแสดงออกทางอารมณ์ของตัวละครในเรื่องอย่างชัดเจนมากๆ ถึงมันจะไม่ได้อยู่ในระดับของตัวละครที่ปัญหาด้านอารมณ์หรือจิตใจที่หนักหน่วงจนถูกถ่ายทอดออกมาอย่างทรงพลัง แต่มันเป็นเรื่องราวที่คนหลายๆคนเคยพบเจอและสามารถเข้าถึงได้ สิ่งนี้เองทำให้เราได้มานั่งคิดกับตัวเองว่า คนเรา กับ “ห้วงอารมณ์” มันมีความเปราะบางมากๆโดยที่เราใช้ชีวิตไปวันๆแต่เราไม่เคยสังเกตเลยว่าตัวเองรู้สึกไปกับมันมากน้อยแค่ไหน
มันอาจจะเป็นเพราะ media effect ที่ทำให้เราได้มานั่งพินิจพิเคราะห์สิ่งที่อาจไม่มีผลกับการใช้ชีวิตขนาดนั้น แต่มันก็ทำให้เรามองเห็นและได้ซาบซึ้งกับสิ่งที่เราได้ค้นพบและเรียนรู้นี้มากๆ
มันทำให้เรานึกถึง Vow ของ Amanita ในเรื่อง Sense8 ที่พูดถึง Feeling ไว้ว่า
"We live in a world that distrusts feelings. Over and over, we are reminded that feelings are not as important as reason. That feelings are childish, irresponsible, dangerous. We are taught to ignore them, control, or deny them. We barely understand what they are, where they come from, or how they seem to understand us better than we understand ourselves. But I know that feelings matter. Sometimes, they're little like when I smell cinnamon toast and I miss my grandma. And sometimes, they are huge like when I found out my girlfriend shares her thoughts with seven other people around the world.
However, if you're lucky. I mean, really lucky - a feeling comes along that will change everything. I remember such a feeling and how it walloped me years ago when this girl walked into my bookstore. It is the same feeling that I have right now. The feeling that this is her. My love. My wife. This is my future. And I trust this feeling more than I've trusted anything in my life."
เราคิดว่าอารมณ์ความรู้สึก บางครั้งมันอาจจะแย่ เหมือนกับชีวิตที่ไม่ได้มีแต่ความสุขเสมอไป แต่ priority แรกๆสำหรับการใช้ชีวิตให้ Alive ที่สุดสำหรับเราคือการได้ “Feel something” ต่อให้ความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่เล็กน้อยแค่นั้นก็ตาม เพราะทุกๆการใช้ชีวิต มันจะนำพาเราไปสู่การได้ “รู้สึก” อะไรบางอย่างที่พิเศษกับหัวใจจนตราตรึงอยู่ในใจเราไปนาน หรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตเราให้ดีขึ้นได้เสมอ
เราคิดว่าการที่ซีรีย์แปลรักหยิบเอาเรื่องนี้มาเล่าและถ่ายทอดแบบนี้ ถึงแม้สำหรับบางคนอาจจะเป็นการดูพยายายามไปถึงฝั่งฝันของการทำฉากดรามามากไปหน่อย แต่มันทำให้คนอย่างเราได้รู้สึกอะไรมากมายจริงๆ และคิดว่าหลายๆคนคงได้ประสบกับความรู้สึกอันหลากหลายตอนดูเรื่องนี้เหมือนกัน และอีกประเด็นที่เราอยากพูดถึง ในช่วงท้ายๆของเรื่องที่อารมณ์มันค่อยๆพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆเพราะภาวะอารมณ์ของตัวละครกับสถานการณ์ที่มันหนักขึ้นเรื่อยๆ บางคนดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าซีรีย์มันพยายามดึงเราให้ดำดิ่งไปกับดรามาอย่างที่บอก ในตอนแรกเราก็รู้สึกแบบนั้น แต่พอมานั่งคิดดูดีๆ เราพบว่าเรามองมันด้วยสายตาของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบจนลืมนึกถึงว่าด้วย condition และ background ของตัวละคร เรื่องบางเรื่องสำหรับเรามันอาจจะหนักหนากับเรามากกว่าคนอื่น ด้วยความที่เราต่างกัน เรื่องที่กระทบจิตใจก็ต่างกัน ยิ่งพอเป็นช่วงวัยรุ่นที่หลายๆคนอาจมีการรับรู้ว่าเรื่องความรักก็เป็นหนึ่งเรื่องที่ส่งกระทบต่อหัวใจวัยรุ่นมากที่สุด มันอาจจะไม่ใช่โลกทั้งใบแต่ก็เป็นโลกใบใหญ่สำหรับเขาในตอนนั้น
ในตอนนั้นที่เต๋ทรมานหัวใจโดยที่เราได้รับรู้เพียงแค่ผ่านภาพหน้าจอโดยที่ยังไม่ได้เอาตัวเองลองไปอยู่ในเรื่องของเต๋ในวันนั้น พอได้มาคิดถึงมุมนี้ก็ได้เข้าใจมากขึ้นจริงๆ มันสอดคล้องไปถึงด้วยแบคกราวของตัวละครเต๋ที่มาจากครอบครัวจีนในสังคมชายเป็นใหญ่ที่ยังล้าหลังเรื่องเพศ ประโยคที่เต๋พูดว่า “เต๋เกิดมาก็คิดว่ารักได้แค่ผู้หญิง” มันสะท้อนทั้งกรอบความคิด ความเชื่อ ค่านิยมทางสังคมของคนในสังคมหนึ่งที่แตกต่าง และมันแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์และใสซื่อของตัวละครต่อการปฏิบัติตัวในสังคมที่โตมากับการถูกปลูกฝังความเชื่อและค่านิยมแบบนี้มากๆ ในสังคมที่เราอยู่อาจมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ จนวิจารณ์สิ่งที่เราได้เห็นจากสื่อว่ามันช่างล้าหลัง แต่ในอีกมุมนึงของโลก ของสังคม มันก็ยังมีคนเคยทรมานกับเรื่องราวที่เจ็บปวดหัวใจเพราะความเชื่อ ค่านิยมแบบนี้ และอาจยังมีวัยรุ่นบางคนที่กำลังเจ็บปวดกับเรื่องนี้ในปัจจุบันอยู่ก็ได้
ถึงแม้เราจะไม่ชอบการนำเสนอซ้ำภาพความทรมานของ LGBTQ+ ในเรื่องความรักและสังคมผ่านซีรีย์เรื่องนี้ เพราะ 12 ปีที่แล้วรักแห่งสยามได้ทำประเด็นนี้อย่าง masterpiece ไปแล้ว มันเลยทำให้บทแปลรักถือว่าเป็นบทที่ล้าหลังมากๆที่ยังถูกนำมาผลิตซ้ำในปี 2020 โดยในขณะที่ปี 2018 เราได้หนัง Love Simon หนังรักฟีลกู๊ดเกี่ยวกับเกย์ที่ตั้งคำถามกับการ Come out ของ LGBTQ+ แต่ในสังคมไทยยังผลิตซ้ำภาพความ “ผิดปกติ” และ “เป็นปัญหา” ของความรักและการใช้ชีวิตในสังคมของชาว LGBTQ+ ผ่านสื่อออกมาเรื่อยๆ
เราเชื่อเหลือเกินว่าสื่อมีผลต่อการรับรู้ของของผู้ชมมากๆ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการเติบโตแบบนี้ที่มีผลกับ young lgbtq+ โดยตรง เรื่องราวเรื่องความรักของ LGBTQ+ ในปี 2020 ควรจะมีหลายแง่มุมมากกว่านี้ ไม่ใช่โฟกัสไปที่ความเจ็บปวดและการแก้ปัญหาที่คนกลุ่มนี้เคยได้เผชิญในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะมอบความหวัง ความฝันและสิ่งดีๆให้ผู้ชมโดยก้าวข้ามผ่านประเด็นเดิมๆที่เคยทำให้หลายคนเจ็บปวดบ้าง เราไม่ได้บอกว่าควรละเลยหรือลดทอนการพูดถึงปัญหาที่ LGBTQ+ พบเจอผ่านสื่อ แต่แค่อยากให้สื่อมีแง่มุมมากกว่าการผลิตซ้ำความเจ็บปวดทรมานนี้ และสามารถ normalize ประเด็นเรื่องเพศนี้ผ่านสื่อกระแสหลักได้เสียที แต่อีกแง่มุมนึงที่อยากเสริมคือแม้สิ่งที่ซีรีย์เรื่องนี้ต้องการนำเสนอเป็นหัวใจหลักอาจจะดีในแง่ความ nostalgia ของคนที่เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แปลรักอาจจะเป็นซีรีย์ที่ปลอบประโลมใจสำหรับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาเหมือนกันแม้ตอนสุดท้ายจะไม่สมหวังแบบในซีรีย์
แต่เรายันยืนยันคำเดิมว่าสื่อควรไม่เป็นแค่กระจก แต่เป็นควรตะเกียงที่นำเสนอแสงสว่างให้กับสังคมมากกว่าในอดีต สื่อควรเดินไปข้างหน้ามากกว่าแค่การมอบตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งให้คนดูแล้วส่งสารว่า นี่ไง ถึงแม้จะผ่านความเจ็บปวดมาแล้ว ก็ให้ตอนจบที่แฮปปี้แล้วนะ มันควรยกระดับไปอีกขั้นที่สื่อควรค่อยๆมีส่วนช่วยคลี่คลายปัญหาสังคมเรื่องเพศไปทีละนิดๆได้
โดยที่พูดมาทั้งหมดนี้ เราไม่ได้ติการทำงานสร้างสรรค์ของนาดาวอย่างจัดๆด้วยเพียงจากแง่มุมเดียว เพียงแค่อยากนำเสนออีกความคิดเห็นที่อยากให้ทีมงานทำสื่อได้รับไปพิจารณาเท่านั้น (หวังว่าถ้าบทความนี้หลุดออกไปจะไม่โดนแหก เพราะจริงๆทีมงานก็มีสิทธิ์ตอบกลับคำวิจารณ์ของผู้ชมเสมอเพราะทีมงานเป็นคนที่อยู่กับผลงานและตั้งใจสร้างสรรค์มัน เราเพียงวิจารณ์ด้วยความเคารพ ถึงแม้อาจจะไม่ได้มีข้อมูลซัพพอร์ตมากมายเหมือน research ก็ตาม)
เราทราบดีว่าทั้งวงการภาพยนตร์และซีรีย์ ผู้สร้างสรรค์และผู้ประกอบการพยายามทำสิ่งใหม่ๆให้กับวงการอยู่เสมอ แต่สุดท้ายอุปสรรคมันวนกลับมาที่โครงสร้างทางการเมืองที่ไม่เอื้อให้คนทำสื่อบ้านเราได้สร้างสรรค์อย่างอิสระเสรี หรือสามารถนำเสนอ vision ใหม่ๆต่อสังคมได้โดยที่ไม่ต้องแคร์ระบบทุนนิยมที่เข้มข้นของสังคม สุดท้ายหลายๆงานที่ออกมาสู่สายตาผู้ชมมีความข้อจำกัดเพราะทั้งปัญหาโครงสร้างทางการเมืองในระบบอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีย์บ้านเราและนายทุนกับการตลาดอยู่ดี แต่สุดท้ายเราได้ยกเครดิตความดีความชอบให้กับทีมผู้สร้างสรรค์ทั้งหมดก็คือพารากราฟข้างบนที่เราได้พูดถึงสิ่งดีๆในซีรีย์ไปอย่างจริงใจหมดแล้ว ส่วนในเรื่องของตัวบท อีกอย่างที่เรายังรู้สึกดีมากๆที่บทมันยังไม่โยงประเด็นการ come out ที่ซับซ้อนกับครอบครัวแต่โฟกัสไปที่ภาวะภายในจิตใจของเต๋กับโอ้วเอ๋วแทน เพราะมัน work กว่ามากๆในมุมมองของเรา มันทำให้เราใช้เวลากับตัวละครอย่างเต็มที่มากๆ
ฉากที่เต๋เปิดหนังสือแล้วไม่เหลืออะไรเพราะให้โอ้วเอ๋วหมดแล้ว สุดยอดแห่งความคลาสสิคของคนคลั่งรัก รักเขามากจนให้ทุกอย่างที่มี All of me ให้เขาไปหมดแล้วจนตัวเองไม่เหลืออะไร เป็นการเร่งปฏิกิริยาการระเบิดอารมณ์ในฉากดรามาของเต๋ได้ค่อนข้างคลาสสิคและเหมาะกับเรื่องมากๆ
ฉากจูบใต้น้ำที่ดูแวบแรกแล้วนึกถึงทั้งโรมิโอ จูเลียต สัญลักษณ์ของความไม่สมหวัง แล้วถูกเอามาอ้างอิงในซีรีย์ Skam ที่แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของตัวหลักในเรื่องที่รักกันเหมือนกับเต๋และโอ้วเอ๋ว แต่ในการจูบใต้น้ำของเต๋และโอ้วเอ๋ว มีการพัฒนาของตัวละครที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับเรื่องคือเต๋จับหน้าอกโอ้วเอ๋วอย่างยินดีและยอมรับ มันแสดงออกถึงความชัดเจนที่มากขึ้นอีกขั้นหนึ่งของเต๋แล้ว แต่จูบนั้นไม่ใช่จูบใต้น้ำแล้วค่อยๆโผล่ขึ้นมาจูบบนน้ำต่อเหมือนของทั้งโรมิโอ จูเลียตและ Skam เพราะสุดท้ายแล้วเต๋ก็ยังลังเลไม่ยอมรับต่อความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในใจอยู่ดี ถึงแม้การจูบใต้น้ำทะเลที่รอบตัวใสทั้งหมด บรรยากาศเหมือนมีแค่ความรักของเรา 2 คนในห้วงเวลานั้น แต่การจูบเพียงแค่ใต้น้ำเฉยๆก็เปรียบเสมือนการที่ความรักนั้นยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการต่อทั้งตัวเต๋ โอ้วเอ๋วเองและคนทั้งโลกอยู่ดี
ฉากที่เล้าโลมกันหลังโอ้วเอ๋วอาบน้ำเสร็จที่มีเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ เราได้ดูสัมภาษณ์ของผู้กำกับเล่าว่ามีการถ่ายใหม่เพื่อต้องการฉากที่หน้าต่างถูกเปิดออกด้วยเพราะแสดงให้เห็นว่าความรักนั้นมันสามารถยังให้คนอื่นรับรู้ได้อยู่ เราชอบดีเทลตรงนี้ที่เขาใส่ใจมากๆ
ฉากที่คัดภาษาจีนคำว่า “พระเอก” แล้วโอ้วโอ๋วถามเต๋ว่ามีพระเอกกับพระเอกได้ไหม เป็นไดอะลอคที่โดนใจมากๆ มันตรงไปตรงมา ไม่มีการซ่อนเงื่อนความในประโยคอะไรแต่อิมแพคต่อใจอย่างมหาศาลมากๆ ยิ่งพอคิดได้ว่าเคยมีบางคนที่เป็น homosexual แล้วเขาเกิดมีความรักขึ้นมา แต่ทั้งสังคมหล่อหลอมให้เขาคิดว่าต้องมี “พระเอก” คู่กับ “นางเอก” เสมอ เขาอาจเคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือคนรักแบบนี้เหมือนกัน มันเป็นการส่งสารต่อ norm สังคมที่เชื่อว่าความรักควรมีไว้สำหรับผู้ชายและผู้หญิงเท่านั้นได้ดีมากๆ
เราชอบเพลงประกอบทุกเพลงของซีรีย์มากๆ รู้สึกว่านาดาวตั้งใจและใส่ใจในทุกๆรายละเอียดจริงๆ การผสมผสานของ Art และ Marketing ที่ลงตัวของซีรีย์ไทยที่ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น รักมาก อยากบอกว่าขอบคุณมากค่ะ ติดเพลย์ลิสนี้เป็นเดือนๆแน่ๆหลังจากดูซีรีย์จบ
มานั่งดูเบื้องหลังแล้วยิ่งรู้สึกว้าว รู้สึกว่านี่แหละกระบวนการทำหนัง ทำซีรีย์ที่ละเมียดและตั้งใจแล้วมันก็ออกมาดีจริงๆ ดูผู้กำกับเค้าพูด ขนาดไม่ใช้โปรเจคที่ personal สำหรับเค้า แล้วทุกอย่างของเรื่องมันส่งมาเพื่อเป็นซีรีย์มาเกตติ้งด้วยซ้ำ แต่พูดได้เลยว่าแปลรักคือการผสมผสานกันที่ลงตัวมากๆระหว่างศิลปะกับมาเกตติ้ง มันเป็นศิลปะที่สวยงาม งดงาม น่าชื่นชม เต็มไปด้วยรายละเอียดและเศษเสี้ยวของหัวใจคนทำ ทุกๆหยาดเหงื่อและทุกความรู้สึกที่คนทำอยากถ่ายทอดออกมา ในขณะเดียวกันวิธีที่มันถูกเล่าออกมา วิธีการออกแบบโครงสร้างบทหรือกลไกการออกแบบบรรยายากาศและบันทึกความรู้สึกพิเศษในแต่ละซีนมันคือเวย์ของการขายให้คนดูในวงการได้รับรู้แล้วเข้าไปอยู่ในหัวใจหลายๆคนได้พร้อมกัน พลอตมันอาจจะล้าหลัง
แต่พอดูจบแล้วก็เหมือนได้รู้สึกอะไรในช่วงเวลาหนึ่งที่มันไม่ได้แย่เลยนะ มันกลับซาบซึ้งกับเรื่องราว ได้นั่งเรียนรู้อะไรใหม่ๆที่เค้าอยากให้เราเรียนรู้ คล้ายกับการได้เปิดกล่องความทรงจำที่่ผ่านมาอย่างยาวนานของคนที่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน มุมมองมันอาจไม่สดใหม่และไม่น่าเอามาตีแผ่ความเจ็บปวดซ้ำแต่มันก็ได้ปลอบประโลมใจคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดนี้มาเหมือนกันได้ มีก็มีหลายด้านให้เลือกมองจริงๆแหละ แต่ที่เราชอบคือมันเข้าถึงคนดูในวงกว้างได้ มันอาจไม่ถูกยกย่องว่าเป็นศิลปะที่เลิศเลอ เล่าเรื่องได้อย่าฉลาดหลักแหลม เฉียบคมหรือสดใหม่ แต่พอมันอาศัยความคุ้นชินและความใส่ใจในการหยิบยกเรื่องราวที่เหมือนกับเป็นความทรงจำอันปวดร้าวของใครที่เคยสัมผัสมาปัดฝุ่นใหม่ เลือกเล่าให้ปลอบโยนใจคนฟังมากกว่าเดิม ถ้าลองเปิดใจรับมัน มันก็จะสามารถเข้าถึงหัวใจคุณได้จริงๆ จะว่าเรื่องนี้มันใช้ emphathy เป็นอีกหนึ่งคีย์หลักในการรับชมเลยก็ว่าได้
นั่งดูทีมงานเบื้องหลังแล้วน้ำตาจะไหลเหมือนกันนะ เค้าต้องผ่านมากันกี่งาน ผ่านกันมากี่ปีถึงจะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ซีรีย์ที่สามารถเข้าถึงหัวใจผู้ชมได้ขนาดนี้ หลายๆคนเค้าไม่อาจรู้เลยว่าทั้งเวลา หัวใจ ชีวิตและหยาดเหงื่อที่เค้าลงแรงลงไป มันมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงานที่จับใจคนดู ทำให้คนดูได้ซาบซึ้ง มีความสุข หัวเราะ ร้องไห้ได้ขนาดนี้ ผ่านอะไรแบบนี้มากี่รอบก็ทั้งรู้สึกขอบคุณและอยากจะเป็นสวนหนึ่งของพวกเค้ามากๆ อยากเป็นคนที่พัฒนาไปเรื่อยๆแล้วสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามแบบนี้ออกมาได้ เราชอบจริงๆที่นาดาวให้ค่ากับทุกอย่าง ทั้งคนเบื้องหลัง ทั้งการเก็บเบื้องหลัง ทั้งการใส่ใจในทุกๆรายละเอียด ทั้งอาร์ต เพลง ดนตรีประกอบซีรีย์ กราฟฟิค และที่สำคัญและขาดไม่ได้เลยคือนักแสดง มัน magical มากจริงๆนะที่ได้เห็นคนเราถ่ายทอดห้วงอารมณ์ที่เปราะบางที่สุดของมนุษย์ออกมาได้ละเอียดละออขนาดนี้ เหมือนเป็นกานส่งผ่านพลังงาน เรื่องราวและอารมณ์ของจิตใจหนึ่งที่กำลังพบเจอและปะทะกับเรื่องนึงอยู่สู่หัวใจของคนดูได้อย่างประณีตที่สุดเลย เราค้นพบว่ามัน fascinating มากๆกับศาสตร์นี้
รักพีพีกับบิวกิ้นว่ะ พวกแกเก่งมากๆเลยนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in