เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPacharapon Nima
Final CL432 B02 123_พชรพล
  •            

    LemonCurd สำนักพิมพ์คลื่นลูกใหม่ ที่จะพาไปดูเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความหวานอมเปรี้ยวให้ชีวิต

    ในปัจจุบันสำนักพิมพ์ที่คอยผลิตสิ่งพิมพ์ออกมาวางจำหน่ายนั้น เริ่มที่จะลดน้อยลง และเริ่มที่จะมีสำนักพิมพ์ที่เป็นรูปแบบดิจิตอลเข้ามาให้เราเห็นได้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น THE STANDARD, THE MATTER, READ THE CLOUD ฯลฯ ซึ่งแต่ละสำนักพิมพ์ ก็จะมีแนวทางในการเขียนคอนเทนต์ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ในแต่ละสำนักพิมพ์ วันนี้เราจะมาแนะนำสำนักพิมพ์ใหม่ ที่มีแนวทางการเขียนคอนเทนต์ที่แตกต่างออกไป สำนักพิมพ์ LemonCurd

    วิธีการเขียนที่แตกต่าง จากสำนักพิมพ์ LemonCurd

               สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน มักจะพยายามนำเสนอข่าวในรูปแบบทีี่ค่อนข้างจริงจัง ตรงไปตรงมา แต่ทางสำนักพิมพ์ LemonCurd ไม่ใช่แบบนั้น สำนักพิมพ์ LemonCurd นั้นเป็นสำนักพิมพ์ที่จะเน้นไปที่ความสนุก ความเพลิดเพลินของผู้อ่าน จึงมีแนวทางในการเขียนข่าว หรือคอนเทนต์ที่จะเป็นในรูปแบบสำเนียงที่สนุกสนาน เข้าใจง่าย เพลิดเพลินได้อย่างสบายใจ ซึ่งเป็นแนวทางที่ค่อนข้างแตกต่างจากสำนักพิมพ์ต่าง ๆ นั่นเอง

    แนวทางที่แตกต่าง จากประธานสำนักพิมพ์

               นาย Pacharapon Nima ประธานสำนักพิมพ์ LemonCurd ได้ให้คำจำกัดความของสำนักพิมพ์นี้ว่า "ตัวเพิ่มความหวานอมเปรี้ยวให้ชีวิต" เพราะว่าชีวิตของคนเรา ที่ต้องใช้ชีวิตผ่านไปในทุก ๆ วัน อาจจะต้องผ่านเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกแย่อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย นั่นก็เปรียบเสมือนรสชาติความขมของชีวิต เขาจึงอยากสร้างสถานที่ที่จะคอยเพิ่มความสนุก ความสบายใจ เพื่อให้สามารถเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิตได้ ให้เหมือนกับรสหวานอมเปรี้ยวของ Lemon Curd คัสตาร์ดมะนาวที่เรารู้จักกันนั่นเอง

               ทั้งนี้สำนักพิมพ์ LemonCurd นั้น ไม่ได้มีแค่ข้อมูลข่าวสาร เท่านั้น แต่จะมีทั้งนิยาย แนะนำร้าน หนังสือ หรือสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย ที่สามารถค้นพบได้ใน LemonCurd.co เว็บไซต์ของสำนักพิมพ์นั่นเอง


    **ไม่มีสำนักพิมพ์นี้อยู่จริง เป็นเพียงการสร้าง Content Marketing ขึ้นมาเพื่อเป็นงานส่งภายในรายวิชา CL432 กลุ่มผู้เรียน B02 เท่านั้น

    เขียนโดย

    นาย พชรพล นิมา

    ประธานสำนักพิมพ์

  • โตไปเป็นอะไรดีนะ 

    “เด็กๆ โตขึ้นอยากเป็นอะไรกันจ๊ะ” สิ้นเสียงจากคุณครูที่กําลังพูดกับเด็กๆ ในห้องเหล่าเด็กๆ ก็เกิดการพูดคุยกันเสียงดังเจื้อยแจ้ว บ้างก็ตะโกนว่า อยากเป็นนักบินอวกาศครับ บ้างก็บอกว่าอยากเป็นพยาบาลค่ะ 
    ผิดจากปัน เด็กชายตัวน้อยๆที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทําไมต้องอยากเป็นอะไรแบบนั้นด้วย 

    หลังจากนั้นก็เลิกเรียน คุณพ่อก็มารับปันกลับบ้าน ปันที่ยังครุ่นคิดกับคําถามที่คุณครูถามในห้องเรียน ก็ได้ถามคุณพ่อระหว่างที่กําลังนั่งรถกลับบ้าน เกิดเป็นบทสนทนาเล็กๆ ขึ้น 
    ปันเริ่มว่า “ทําไมเพื่อนๆ ถึงดูอยากโตเป็นผู้ใหญ่กันจังหรอครับคุณพ่อ” พ่อที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสนใจกับคําถามของปัน เลยถามกลับไปขณะที่กําลังขับรถอยู่ว่า “อะไรทําให้ปันคิดอย่างนั้นล่ะ” “ก็เพื่อนๆ ตอบ
    คําถามคุณครูกันว่าโตขึ้น อยากเป็นอะไร เพื่อนก็ตอบว่าอยากเป็นนักบินอวกาศเอย
    พยาบาลเอย ครูเอย ไม่เห็นจะน่าเป็นตรงไหนเลย” ปันตอบคุณพ่อ 

    พ่อก็เลยถามกลับว่า “แล้วโตขึ้น ปันอยากเป็นอะไรล่ะ” ปันตอบว่า “ปันอยากโตไปเป็นเด็กครับ” คุณพ่อที่
    ได้ยินอย่างนั้นก็งุนงง เลยถามกลับว่า “ทําไมถึงโตไปแล้วอยากเป็นเด็กล่ะ” ปันจึงตอบคุณพ่ออย่างรวดเร็วว่า “โตไปเป็นผู้ใหญ่ลําบากจะตาย ไหนจะต้องทํางาน ไหนจะต้องขับรถ แถมไม่มีปิดเทอมอีก เป็นเด็กต่อไปสบายกว่าเยอะเลย" 

    "มีโรงเรียนให้เข้าเรียน มีเพื่อนที่เล่นสนุกด้วยทั้งวัน มีอาจารย์ที่น่ารัก คอยให้ความรู้ มีวันหยุดปิดเทอมอีกต่างหาก แถมพอเลิกเรียนก็ยังมีคุณพ่อมารับแบบนี้ทุกวันด้วย สบายจะตาย ไม่เห็นอยากโตเป็นผู้ใหญ่เลย” 

    “อีกอย่างนะ ไหนจะต้องให้เงินลูกไปโรงเรียนอีก สู้ผมเป็นเด็กแล้วได้เงินจากพ่อทุกวันดีกว่าเยอะเลย เอาไว้ซื้อขนม หรือของเล่นได้เยอะๆ ด้วย” 
    พ่อได้ยินอย่างนั้นจึงพูดกับปันว่า “งั้นหนูรู้ไหมล่ะ ว่าทั้งๆที่พ่อเป็นผู้ใหญ่ ทํางาน ขับรถไปรับ ไปส่งหนูเช้าเย็น แถมยังต้องให้เงินหนูไปโรงเรียนทุกวันอีก ทําไมพ่อถึงไม่บ่นอยากกลับไปเป็นเด็กเลยล่ะ” 

    ปันที่ได้ยินอย่างนั้น จึงถามพ่อไปว่า “ทําไมล่ะครับพ่อ” พ่อก็ตอบปันว่า “เพราะการทํางานของพ่อมันทําให้พ่อเลี้ยงดูปันได้ มีเงินมาซื้อรถมาขับไปรับไปส่งปันไปโรงเรียน ให้ค่าขนมปันไปโรงเรียนได้ทุกวัน แล้วก็การที่พ่อได้เติบโตมา แล้วสามารถทํางานแล้วเลี้ยงดูปันให้มีความสุขได้ แค่นี้พ่อก็พอใจแล้ว เพราะหนูคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับพ่อและแม่ยังไงล่ะ” ปันที่ได้ยินอย่างนั้น ก็พยักหน้าตามๆ พ่อไป 
    แต่ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าหมายความว่าอย่างไร พอคุยกันเสร็จ ก็ถึงบ้านพอดี 

    พ่อก็ลงจากรถไป ระหว่างที่ปันกําลังเดินเข้าบ้าน ปันก็คิดทบทวนเรื่องที่คุยกับพ่อ แล้วก็คิดว่า “ถึงจะยังไม่เข้าใจมากนัก ว่าทําไมต้องทํางานอยู่ดี แต่เดี๋ยวโตไปก็รู้เองแหละ “ หลังจากนั้น ปันก็วิ่งตามคุณพ่อเข้าไปในบ้าน แล้วรีบไปกอดพ่อกับแม่ ก่อนที่จะทานข้าวเย็นด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย

    เรื่องโดย 
    พชรพล นิมา
  • ฟรี

    “ลูกนกนี่นา” แซมมี่หนูน้อยหัวหยิกได้พูดขึ้นมาเสียงดัง หลังจากที่ได้เจอกับลูกนกที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้
    “เอากลับไปบ้านดีกว่า คงเหงาแย่เลย เดี๋ยวฉันจะดูแลเธอเอง” 
    ระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้านก็พลางคิดว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี “ชื่อฟรีแล้วกัน” พอคิดออก ก็พลางยิ้มไปพร้อมกับเดินหน้าไปที่บ้านพอดี

    คุณแม่ที่พอเห็นแซมมี่อุ้มลูกนกกลับมา ก็ถามว่าไปเจอที่ไหนมา เอากลับมาทำไม แซมมี่ก็เล่าให้ฟังว่าเจอที่ใต้ต้นไม้ เอากลับมาเพราะกลัวมันเหงา คุณแม่ก็เลยยอมให้เอามาเลี้ยงได้ 
    แซมมี่ก็พาเจ้าฟรีไปพักบนผ้านุ่มๆ แล้วก็คุยกับฟรีจนเผลอหลับไป 

    วันเวลาก็ผ่านเลยไป ในทุกๆวัน แซมมี่ก็จะไปนั่งคุยกับฟรีทุกๆ วัน โดยที่ฟรีก็อยู่ในกรงที่คุณแม่ซื้อมา ฟรีกับแซมมี่ก็อยู่ด้วยกัน เล่นด้วยกัน นอนด้วยกัน และร้องเพลงด้วยกัน
    แซมมี่ที่เห็นฟรีโตขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มสงสัยว่าทำไม ฟรีถึงไม่บินเลยล่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็ไม่เห็นจะกระพือปีกเลย

    ด้วยความสงสัย ก็เลยไปถามแม่ แม่ก็เลยเดินมาที่กรงที่ฟรีอยู่ พร้อมกับบอกว่า
    “คงถึงเวลาที่จะต้องปล่อยมันไปแล้วล่ะ” แซมมี่ที่ได้ยินอย่างนั้นก็รีบบอกคุณแม่ว่า “ไม่ได้นะ
    ฟรีจะไปจากหนูไม่ได้” พร้อมกับกอดกรงเอาไว้

    คุณแม่ก็ได้นั่งลงพร้อมกับโน้มตัวเข้าไปลูบหัวของแซมมี่ที่กำลังน้ำตาคลออยู่ว่า “หนูต้องปล่อยฟรีนะคะ
    เพราะถึงเวลาที่ฟรีควรจะได้บินแล้ว ให้ฟรีอยู่ในกรงต่อไปก็จะไม่ดีต่อตัวของฟรีนะลูก
    หนูอยากให้ฟรีบินไม่ได้หรอจ๊ะ” แซมมี่ก็ได้หันไปมองฟรี แล้วหันกลับมามองแม่แล้วก็ตอบเบาๆว่า “ไม่ค่ะ
    หนูอยากเห็นฟรีบิน บินให้สมกับชื่อของมัน เป็นอิสระ” คุณแม่เมื่อได้ยินแซมมี่ก็ได้บอกแซมมี่ว่า “งั้น
    หนูก็ไปที่หน้าต่าง แล้วเปิดประตูกรงเองเลยนะคะ ให้หนูได้บอกลามันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะบินไป
    เพราะฟรีก็เป็นเพื่อนหนูนี่ค่ะ” แซมมี่ก็พยักหน้า พร้อมกับกอดกรงแล้วยกกรงไปที่หน้าต่าง
    แล้วพูดขึ้นมาก่อนที่จะเปิดประตูกรงว่า “ขอบคุณมากนะ ที่ทำให้ฉันไม่เหงาตลอดเวลาที่ผ่านมา
    ฉันอยากให้นายได้บิน ได้เป็นนกที่นายควรเป็น ถ้าว่างๆ ก็กลับมาได้นะ ฉันจะต้อนรับนายเสมอ”
    แล้วก็เปิดประตูกรงนกออก ฟรีที่ยังงงๆ อยู่ก็ยังอยู๋ในกรงสักพัก ก่อนที่จะกระพือปีก บินออกจากกรง
    ไปจนไกลสุดสายตา 

    เวลาผ่านเลยไป แซมมี่ที่กำลังนั่งซึมอยู่ที่ริมหน้าต่าง ก็ได้เห็นว่ามีสิ่งหนึ่งมาเกาะที่ตรงหน้าต่าง
    พอมองดูดีๆ ก็เห็นว่าเป็นเจ้าฟรีกลับมาหา แซมมี่ก็ได้พูดคุยกับฟรี แล้วพอถึงเวลาตอนเย็น ฟรีก็บินออกไป แซมมี่จะได้เจอกับฟรีอาทิตย์ละครั้งเสมอๆ ทำให้แซมมี่ดีใจและไม่เหงาอีกต่อไป
    เรื่องโดย 
    พชรพล นิมา
  • Honesty is the best policy

    “เพล้ง!!!” เสียงแก้วที่แตกดังขึ้น จนทำให้เจ้าหนูน้อยหน่า เด็กสาวตัวน้อยเกิดอาการตกใจ
    ที่ทำแก้วน้ำใบโปรดของคุณแม่ตกพื้น ในตอนนั้นคุณแม่กำลังออกไปตลาด ทำให้คุณแม่ยังไม่รู้เรื่องนี้
    เจ้าหนูน้อยหน่าก็เริ่มคิดหาวิธีที่จะทำแก้ปัญหา เพราะว่ากลัวคุณแม่จะโกรธถ้ารู้เรื่องเข้า
    เด็กน้อยก็ได้ลองจินตนาการดูว่าจะทำยังไงดี คิดไปคิดมา ก็คิดได้ว่า ถ้าเอาแก้วที่แตกมาแปะเทปเอาไว้ด้วยกัน
    เท่านี้ก็จะได้แก้วเหมือนเดิมแล้ว แต่พอเจ้าหนูน้อยหน่าคิดไปคิดมา ก็ไม่เอาดีกว่า เพราะคุณแม่เคยสอนเอาไว้ว่า
    ถ้าเจอเศษแก้ว ให้บอกคุณแม่นะ อย่าจับ เดี๋ยวจะบาดมือได้ เจ้าหนูน้อยหน่าจึงคิดหาวิธีอื่น คิดไปคิดมา ก็คิดได้ว่า
    เอาแก้วของน้อยหน่ามาระบายสี ให้เหมือนของคุณแม่ดีไหม แปปเดียวคุณแม่คงดูไม่ออกหรอก แต่คิดไปคิดมา
    เจ้าหนูน้อยหน่าก็ไม่เอาวิธีนี้ เพราะขี้เกียจ อีกทั้งถ้าจะระบายสี ก็คงต้องรีบทำไม่งั้นคุณแม่คงกลับมาก่อน
    เจ้าหนูน้อยหน่าจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป คิดไปคิดมา คุณแม่ก็กลับมาถึงบ้านแล้ว
    ด้วยความที่เจ้าหนูน้อยหน่าคิดหาวิธีแก้ไม่ทันก่อนแม่กลับมา เมื่อได้ยินเสียงแม่พูดว่า กลับมาแล้วจ้า
    เจ้าหนูน้อยหน่าก็ร้องไห้ออกมาแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปกอดพร้อมกับขอโทษคุณแม่ทันที ทำเอาคุณแม่ตกใจ
    แล้วจึงรีบถามเจ้าหนูน้อยหน่าว่า เป็นอะไรหรอลูก ทำไมหนูถึงร้องไห้ล่ะคะ
    เจ้าหนูน้อยหน่าจึงเล่าให้แม่ฟังว่าได้ทำแก้วของแม่แตก แม่ก็ถามว่าแตกตรงไหน หนูได้ไปจับเศษแก้วไหม
    เจ้าหนูน้อยหน่าก็ส่ายหน้า คุณแม่ก็เลยเดินไปเก็บเศษแก้วเงียบๆ เจ้าหนูน้อยหน่าก็ยืนแอบดูคุณแม่เงียบๆ
    แต่เพราะเสียงซื้ดน้ำมูกของเจ้าหนูน้อยหน่า ซื้ดๆ ก็ทำให้แม่อมยิ้ม แล้วหันไปมองน้อยหน่าระหว่างเก็บเศษแก้ว
    พร้อมถามว่าแล้วตอนที่หนูทำแก้วแตก หนูทำอะไรหรอจ๊ะ เจ้าหนูน้อยหน่าก็เล่าเรื่องที่ตัวเองคิดไปคิดมา
    คิดหาวิธีแก้ต่างๆ ให้แม่ฟัง พอแม่ได้ฟัง แม่ก็อมยิ้ม และเมื่อเก็บเศษแก้วเสร็จแล้ว
    ก็ได้เดินเข้าไปกอดเจ้าหนูน้อยหน่า เจ้าหนูน้อยหน่าก็งง เลยถามคุณแม่ว่า คุณแม่ไม่โกรธหรอคะ
    แม่ก็ตอบพร้อมกับรอยยิ้มในขณะที่โอบกอดน้อยหน่าเอาไว้อย่างอบอุ่นว่า แม่จะโกรธได้ยังไงล่ะจ๊ะ
    ในเมื่อหนูก็ทำตามที่แม่สอนอย่างดี ไม่จับเศษแก้ว แถมยังกล้ายอมรับว่าหนูทำแก้วแตกอีก
    แม่จะไปโกรธหนูได้ยังไง ในเมื่อลูกสาวของแม่น่ารักขนาดนี้ น้อยหน่าที่ได้ฟังดังนั้น ก็ซื้ดน้ำมูกซื้ดใหญ่
    ก่อนที่จะกอดแมอย่างอบอุ่นต่อไป
    เรื่องโดย 
    พชรพล นิมา
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in