ผมคงจะไม่สามารถยืนยันได้ ว่าเหตุการณ์วันนั้นได้เกิดขึ้นจริงรึเปล่า ทำไมละครับ วันหนึ่งซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนตุลาคม ผมตื่นแต่หกโมงเช้าจะออกไปทำงานตามปกติ ทำกิจวัตรตามเดิม อาบน้ำอย่างผ่อนคลาย แต่งกายตามกฎระเบียบของบริษัท เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวทับด้วยสูทสีเทาตัวโคร่ง และกางเกงผ้าชิโนสีน้ำตาลเข้มคล้ายครีมบนมอคคา ปกติแล้วผมปั่นจักรยานไปทำงาน ได้ทั้งเหงื่อแถมยังประหยัดเวลาอีกด้วย เพราะถ้าให้ผมขับรถยนต์ส่วนตัวไปนั้น คงจะต้องเจอกับกองทัพรถยนต์บนท้องถนนอย่างมหาศาลเป็นแน่ ในระหว่างที่ผมกำลังวุ่นวายกับกิจส่วนตัวอยู่นั้นก็ไม่ทันได้สังเกต ว่านอกหน้าต่างยังคงมืดอยู่ จนกระทั่งตอนผมลากรถจักรยานคันเก่งของผมซึ่งเป็นจักรยานคันเดียวที่ผมมี ออกมาจากบ้านก็พบว่าดวงอาทิตย์นั้นยังคงหลับใหล แม้ตอนนั้นจะเป็นเวลาเจ็ดโมงสี่สิบแล้วก็เถอะ ผมยืนนิ่งและมองไปรอบ ๆ ตัว ที่ที่ความมืดมิดห้อมล้อมอยู่รอบด้าน ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรและเพราะเหตุใดเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ถึงได้เกิดขึ้น ผมไม่เคยเจอมาก่อน ไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งเรื่องเล่า ตำนาน อะไรทำนองนี้เลย ผมสับสนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผมเป็นเพียงแค่มนุษย์ออฟฟิศคนหนึ่งที่วัน ๆ ต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่มีเพียงคอมพิวเตอร์เครื่องยักษ์เป็นเพื่อนคู่กาย จะให้ไปวิเคราะห์สาเหตุได้อย่างไร ผมไม่ใช่นักวิทยศาสตร์นี่ ผมทำอะไรไม่ถูก จะเรียกหาใครก็ไม่ได้เพราะไม่พบใครอยู่ตามท้องถนนเลย แต่บ้านทุกหลังยังคงเปิดไฟไว้เหมือนตอนกลางคืน ครับ แล้วคุณทำอย่างไรต่อ ผมก็ลังเลอยู่สักพักหนึ่ง ว่าผมควรจะไปทำงานดีไหม แต่สุดท้ายผมก็คิดว่าทุกคนน่าจะยังคงนอนหลับอยู่ ด้วยความที่อยากทราบถึงเรื่องราวความจริงทั้งหมด ผมจึงตัดสินใจปั่นจักรยานไปยังในเมืองเพื่อตามหาผู้คนและแสงสว่าง แต่เนื่องจากมีเสาไฟที่ให้แสงสว่างริบหรี่อยู่ไม่เพียงพอ ทำให้การที่จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนได้อย่างกลางวันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย จึงได้แต่นำไฟฉายคาดหัวที่พ่อซื้อให้เมื่อครั้งไปเดินป่าตกปลาด้วยกัน ออกมาใช้งาน เพื่อให้ผมยังพอมองเห็นเส้นทาง ซึ่งมันทำหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดีทีเดียว บ้านในเมืองนั้นดูผุโทรมเหมือนถูกทิ้งร้างมานาน มีพวกพืชลาดเลื้อยเกาะอยู่ตามผนังนอกบ้านไปถึงหลังคา อากาศที่นั่นไม่ค่อยดี ลมแน่นิ่ง หายใจไม่ค่อยสะดวกและค่อนข้างร้อน ผมจึงถอดสูทออก พาดลงบนเบาะหลังของจักรยาน ปั่นไปต่อเรื่อย ๆ แล้วคุณเจอใครบ้างไหมครับ ไม่เลย ผมตอบอย่างสั้น ๆ แต่เป็นความจริง และน่าเศร้าเสียด้วย ผมเล่าต่อ ตอนนั้นผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างพิลึก นี่ผมเป็นมนุษย์คนเดียวที่เหลืออยู่บนดาวโลกแห่งนี้หรือไม่ ผมคิดตอนที่กำลังสำรวจในเมือง ผมไม่เจอใครเลยจริง ๆ ไม่มีแม้พวกหมาเจ้าถิ่นที่มักจะชอบเดินเตร่อยู่ตามถนนราวกับเป็นเจ้าของที่แห่งนั้นหลงเหลืออยู่เลย ไม่มีเลย แล้วสรุปมันได้เกิดขึ้นจริง ๆ ไหมครับ หาคำตอบที่ตายตัวไม่ได้น่ะ ผมว่า ยังไม่มั่นใจว่าแท้จริงเป็นเพียงฝันร้ายหรือเกิดขึ้นจริงกันแน่ เพราะหลังจากที่ผมตื่นขึ้นจากฝันบ้า ๆ นั้นตอนหกโมงเช้า ซึ่งตรงกับนาฬิกาปลุกพอดี พาจักรยานออกจากบ้านตระเตรียมไปทำงาน รอบตัวผมกลับมีแต่เพียงความมืดเท่านั้น..