คำตอบ นางโลมชั้นสูง แต่!! เราไม่สามารถเรียกนางโลมทุกคนว่า โอยรันได้ค่ะ จริงๆโอยรันเป็นแค่ระดับขั้น ขั้นหนึ่งเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วคำเรียกนางโลมคือ "ยูโจะ" (遊女) หรือ "โจะโร" (女郎) แต่ส่วนใหญ่จะเรียกกันว่ายูโจะน่ะ ถ้าแปลตามตัวอักษรก็แนวๆ Play girls หรือผู้หญิงที่ให้ความเพลิดเพลิน
แล้วนางโลมพวกนี้มาจากไหนล่ะ?
อันที่จริงแล้วอาชีพขายเรือนร่างมีมาเรื่อยๆ แต่ไม่ถูกจัดระเบียบให้เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายอย่างชัดเจน ในสมัยเคโช (慶長 1596 - 1614) ตอนนั้นสถานบริการ’เรื่องอย่างว่า’ มีกระจายทั่วไปในเมืองเอโดะ แต่ก็มีที่ใหญ่ๆอยู่ 3 ที่ ที่รู้กันในหมู่หนุ่มๆว่าถ้าต้องการปลดปล่อยให้ไปที่นี่รับรองไม่ผิดหวัง นั่นก็คือ
1.โคจิมาจิ ฮัทโชเมะ มีสำนักโคมเขียวอยู่กว่า 15 แห่ง
2.คามาคุระกาชิ มีสำนักโคมเขียวตั้งอยู่ 15 แห่งเช่นกัน
3.อุจิ-ยานางิมาจิ มีสำนักโคมเขียวตั้งอยู่ 20 แห่ง ที่นี่นั่นมีชื่อเรียกเล่นๆว่า “ยานางิมาจิ” (เมืองต้นหลิว) ชื่อนี้ได้มาจากมีต้นหลิวตั้งตระหง่านอยู่ 2 ต้นบริเวณทางเข้าย่านยานางิมาจิ
แต่ดูเหมือนทั้ง 3 ย่านนั้น ราคาค่าตัวสาวๆอาจจะแพงสักหน่อย แถมสาวๆต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบมากมาย สาวน้อยสาวใหญ่บางส่วนจึงเลือกจะเดินเตร็ดเตร่ไปรอบเมืองเพื่อหาลูกค้าเอง คิดค่าตัวถูกๆหน่อยแต่ก็ไม่กระทบปากท้องเพราะยังไงก็ไม่ถูกหักค่านายหน้า เมื่อค่าตัวถูกหนุ่มๆก็เข้าถึงได้ง่าย จึงมีลูกค้ามากมาย เพราะแบบนั้นปัญหาโสเภณีเกลื่อนเมืองจึงแก้ไม่ได้สักที
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1589 ฮาระ ซาบุโร่ซาเอม่อน ร้องขอต่อโชกุนฮิเดโยชิให้สามารถเปิดย่านสถานเริงรมย์แบบถูกกฎหมายเพื่อลดปัญหาโสเภณีเกลื่อนเมือง ในคำร้องนี้ยังขออนุญาตให้สร้างกำแพงล้อมพื้นที่บางส่วนของเขต นิโจ ยานางิมาจิ เกียวโต โดยจะตั้งชื่อที่แห่งนั้นว่า “ยานางิมาจิ” ตามชื่อของยานางิมาจิแหล่งโคมเขียวที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น แต่คำขอนั้นไม่เข้าตากรรมการ จึงถูกปัดตกไปอย่างง่ายดาย
สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นก็มีแค่การจัดระเบียบเล็กๆน้อยๆ โดยการไล่ที่ให้สถานโคมเขียวในเกียวโตไปเปิดกันแถวๆย่านโรคุโจ มิทสึมาจิแทนในปี 1602 แต่ที่ตรงนี้ก็ยังไม่ค่อยถูกใจรัฐบาลเท่าไรจึงมีคำสั่งให้ย้ายอีกครั้งในปี 1640 ให้ไปตั้งกันที่ซุซาคุโนะ และต่อมาที่นี้นั่นเองกลายเป็นแหล่งเริ่งรมณ์เลื่องชื่อนาม “ชิมาบาระ เกียวโต”
ย้อนกลับมาที่เมืองเอโดะ หลังจากคำขอของฮาระ ซาบุโร่ซาเอม่อนที่ถูกปัดตกไป ก็มีพ่อเล้าคนหนึ่งนามว่า โชจิ จินเอม่อนตั้งใจรื้อคำขอขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเขารู้สึกว่าการที่มีโสเภณีค่าตัวถูกเกลื่อนเมืองแบบนั้นมันไม่ค่อยจะยุติธรรมกับธุรกิจของเขาสักเท่าไร
สาวๆที่เขาใช้เวลาทุ่มเทปลุกปั้นมาอย่างดีจะแพ้นางโลมค่าตัวถูกงั้นรึ!? ยอมไม่ได้!
หลังจากคิดอยู่นานเขาก็ยื่นคำร้องกับรัฐบาลโทคุกาว่า ซึ่งคำร้องนี้ใช้เวลาพิจารณาถึง 5 ปีกว่าจะผ่าน
ทางรัฐบาลได้แบ่งพื้นที่ขนาด 11.8 ไร่ ณ เขตฟุคิยะมาจิ ที่เรียกว่า “โยชิวาระ” แต่งตั้งนายจินเอม่อนเป็น “เคย์เซยมาจิ นานุชิ” (ผู้กำกับการย่านสถานเริงรมณ์) เรียกที่แห่งนั้นว่า “ยูคาคุ” (遊廓) และตั้งกฎขึ้นมาดังนี้
1.ไม่อนุญาตให้สถานเริงรมณ์ออกไปเปิดกิจการนอกสถานที่ๆได้รับอนุญาต และจะไม่ให้นางโลมไปทำงานนอกสถานที่ๆได้รับอนุญาตไว้แล้ว
2.แขกจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในสถานเริงรมณ์ได้ไม่เกิน 24 ชม.
3.นางโลมจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ชุดที่ถูกเย็บปักถักร้อยด้วยด้ายเงินและทอง ต้องใส่ผ้าย้อมลายธรรมดาเท่านั้น
4.อาคารภายในเขตนี้ห้ามสร้างให้หรูหราโออ่ามากมายนักเอาให้มันพอดีๆ และผู้อาศัยทุกคนในเขตนี้ต้องปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติตนตามกฎหมายเหมือนผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณอื่นของเมืองทุกประการ
5.ในกรณีที่มีแขกน่าสงสัยหรือมีพฤติกรรมแปลกๆ อนุญาตให้ทางสถานบริการทำการไต่สวนแขกผู้นั้นได้เลย ไม่ว่าเข้าจะเป็นซามูไร, พ่อค้า หรือ ชนชั้นปกครองก็ตาม เมื่อไต่สวนเรียบร้อยให้นำข้อมูลไปให้บุเกียวโช (ผู้คุมกฎ)
นายจินเอม่อนรับทราบทุกกฎเกณฑ์ที่ทางการตั้งให้ และเขาสัญญาว่าจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และรีบทำการเข้าไปพัฒนาที่ดินที่รัฐบาลให้มา ถึงแม้ที่ดินนั้นจะเต็มไปด้วยโคลนตมและวัชพืชนายจินเอม่อนก็ไม่ถอย
แถมเขาเห็นว่าชื่อสถานที่นี้ไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไร (แต่เดิมตัว ‘โยชิ’ ของโยชิวาระแปลว่าสนามรบ) เขาทำการตั้งชื่อที่ตรงนี้ว่า “โยชิวาระ” (吉原) ที่แปลว่า ทุ่งแห่งความโชคดี ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1618 ถึงแม้ว่าย่านนี้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 100% แต่สถานเริ่งรมย์บางแห่งที่เสร็จก่อนก็เริ่มดำเนินธุรกิจแล้ว (โยชิวาระจริงๆแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 1624)
ในยูคาคุนี้รวบรวมเหล่าสาวบริการและพ่อเล้าแม่เล้าที่เคยดำเนินกิจการผิดกฎหมายให้เข้ามาขึ้นทะเบียนตีตรา อีกทั้งยังสร้างกฎระเบียบในยูคาคุ ดำเนินการจัดลำดับขั้นของสาวๆ “ยูโจะ” ให้ง่ายต่อการเรียกใช้
ยูคาคุหรือย่านนางโลมแบบถูกกฎหมายนอกจากที่โยชิวาระแล้ว ยังมีที่อื่นกระจายไปอีก 2ที่ดังนี้
-ชิมาบาระ เกียวโต (ก่อตั้งใน 1640)
-ชินมาจิ โอซาก้า (ก่อตั้งใน 1624 – 1644 )
โอยรันคือนางโลมชั้นสูงแล้วชั้นอื่นล่ะ?
การแบ่งลำดับขั้นของนางโลมนั้นมีมาตั้งแต่สมัยที่ยูคาคุยังไม่สร้างขึ้น ตอนที่หอนางโลมทั้งหลายตั้งอยู่ในย่านยานางิมาจิ ในตอนนั้นนางโลมมีเพียง 2 ลำดับคือ ทะยู และ ฮาชิโจะโร ถามว่าแบ่งไปทำไม? คำตอบคือ ราคาค่าตัวไม่เท่ากัน รูปแบบการรับแขกจะไม่เหมือนกันด้วยค่ะ
อย่างทะยู เป็นตำแหน่งที่ผู้ได้รับตำแหน่งนี้ต้องมีความงามราวหญิงงามล่มเมือง ฉลาดรอบรู้แตกฉานทั้งในด้านศิลปะและกวี สามารถต่อกลอนกับบัณฑิตชายอย่างฉะฉาน การร้องรำและดนตรีก็เป็นที่หนึ่ง ว่ากันว่าในตอนนั้นหากใครได้พบทะยูมักจะพร่ำเพ้อถึงความงามว่างามราวพระโพธิสัตว์เลยทีเดียว นอกจากนี้ทะยูยังเป็นผู้นำแฟชั่นของสาวๆในสมัยก่อนอีกด้วย อาทิเช่นทะยูนามคัทสึยามะที่คิดสร้างสรรค์ผมทรงคัทสึยามะขึ้นมาใหม่ ว่ากันว่าหลังจากนั้นสาวๆทั้งเอโดะก็ทำผมตามทะยูคนนี้กันทั่วบ้านทั่วเมือง
ส่วนฮาชิโจะโรนั้นมาจากการที่เวลาที่หอนางโลมจะขายสาวๆ สาวใดที่เป็นนางโลมระดับสูงจะได้นั่งตรงกลาง แต่นางโลมที่ระดับต่ำลงมาจะได้นั่งริมๆหรือท้ายแถว คำว่า “ฮาชิโจะโร” (端女郎) อาจแปลว่า “ผู้หญิงปลายแถว” ก็ได้เช่นกัน
มาถึงยุคโยชิวาระเปิดทำการก็มี 3 ระดับเกิดขึ้นมาใหม่คือ โคชิโจะโร, ทสึโบเนะโจะโร, คิริมิเสะโจะโร
เมื่อโยชิวาระย้ายมาเปิดทำการที่ชินโยชิวาระ (เพราะโยชิวาระเดิมไฟไหม้) ในช่วงปี 1688 - 1703 ฮาชิโจะโระ และทสึโบเนะโจโระก็หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วย ซังฉะโจะโรและอุเมฉะโจะโร
และหลังจากปี ค.ศ.1800 ลำดับขั้นของสาวๆที่ยังมีอยู่ในโยชิวาระก็เหลือเพียง โยบิดาชิ(หรือโอยรันนั่นเอง), จูซัง, ทสึเคะมาวาฉิ, ซาชิกิโมจิ, เฮยะโมจิ และคิริมิเสะโจะโร
ส่วนทะยู หรือตำแหน่งที่สูงที่สุดนั้นหายไปจากโยชิวาระนานแล้วเนื่องจากไม่มีสาวๆคนไหนมีความสามารถถึงจนสามารถเรียกว่าทะยูได้ ระดับสูงสุดชึงเป็นโยบิดาชิหรือโอยรันแทน แต่ในชิมาบาระ เกียวโตนั้นยังคงมีทะยูอยู่
โอยรันกับเกอิชาต่างกันยังไง
คำตอบ เว้าซื่อๆคือยูโจะ(ต่อไปนี้ขอเรียกนางโลมว่ายูโจะนะคะ) "ขาย" แต่เกอิชา "ไม่ขาย" แต่เอาจริงๆคือที่มาของเกอิชาก็เกิดขึ้นมาเพราะยูโจะนั่นแหละค่ะ เลยไม่แปลกที่แยกกันไม่ค่อยออก
เกอิชา (芸者), เกโกะ (芸子-สำเนียงเกียวโต) หรือ เกกิ (芸妓-สำเนียงนีงาตะ) คือ ศิลปินที่คอยให้ความบันเทิงแก่ลูกค้าด้วยศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ศิลปะที่ว่าก็มีการขับร้อง, เล่นดนตรี, ร่ายรำ, เล่นเกมส์ หรือแม้กระทั่งนั่งคุยเฉยๆ การ “นั่งคุยเฉยๆ” ในที่นี้ก็มีตั้งแต่เรื่องจิปาถะลมฟ้าอากาศ เรื่อยไปจนถึง สังคม ศิลปะ เศรษฐกิจ การเมือง เรียกได้ว่าผู้เป็นเกอิชาต้องมีความรอบรู้ในศาสตร์หลายแขนง เพราะชายหนุ่มที่มาใช้บริการหาความบันเทิงจากเธอนั้นมีหลายระดับตั้งแต่ชนชั้นพ่อค้าไปจนถึงผู้ทรงคุณวุฒิ และตัวตัดสินว่าจะได้รับความนิยมหรือไม่ขึ้นอยู่กับความฉลาดหลักแหลมของพวกเธอทั้งสิ้น
ในขณะที่ ยูโจะ (遊女) ก็ถือเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่แตกฉานในศิลปะและในความบันเทิงเช่นกัน แต่พวกเธอแตกต่างไปจากเกอิชาเพราะพวกเธอขายศิลปะแห่งเรือนร่างด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องใช้สมองหรอกนะ สมรภูมิที่ยูโจะต้องเผชิญนอกจากต้องรู้ลึกปฏิบัติได้จริงในศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมและศิลปะแห่งการใช้เรือนร่างแล้ว เธอยังต้องศึกษาเรื่องราวเศรษฐกิจ การเมือง วรรณกรรมด้วยเช่นกัน ตัวชี้วัดว่าจะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปสู่ความสุขสบายได้รับแขกชนชั้นสูงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความฉลาดหลักแหลมเหล่านี้ด้วย แน่นอน หากเธอไม่แตกฉานในศาสตร์ใดเลย ใช้เพียงเรือนร่าง เธอก็จะได้รับแขกแต่ชนชั้นล่างเท่านั้น
และยูโจะหายไปจากญี่ปุ่นนานมากแล้วเขาเพราะถือเป็นอาชีพผิดกฎหมาย
ความแตกต่างคร่าวๆ
1.ทรงผม - ยูโจะทรงผมจะแฟนซีกว่ามาก ในขณะที่เกอิชา/ไมโกะ(เกอิชาฝึกหัด) ผมจะมินิมอลตะมุตะมิน่ารักตามรูปด้านล่างเลยค่ะ
2.โอบิ (ผ้าผูกเอว) - ยูโจะจะผูกโอบิที่ด้านหน้าเพื่อง่ายต่อการถอดเข้าถอดออกเวลารับแขกค่ะ ส่วนเกอิชาจะผูกไว้ด้านหลัง และกิโมโนของเกอิชาจะไม่อลังการเท่า
เกอิชามาจากไหน
ตอบ มาจากการมีนางโลมชั้นสูงนี่แหละ เมื่อเป็นนางโลมชั้นสูงที่มีความป็อปมากการใช้บริการนางก็จะไม่ง่ายอีกต่อไป บางครั้งแค่เงินถึงคงยังไม่พออาจต้องใช้น้ำอดน้ำทนรอกว่าค่อนคืนถึงจะได้พบ แล้วช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ต้องนั่งรอพวกลูกค้าจะทำอะไรแก้เบื่อล่ะ!!
แน่นอนว่ายูคาคุเมืองสวรรค์จะไม่ปล่อยให้ลูกค้านั่งตบยุงรอเบื่อๆแน่นอน พวกเขาจัดจะหา “เกอิชา” (芸者 ความหมายตรงๆคือศิลปิน) หรือข้ารับใช้ “ชาย” ในหอนางโลมมาคอยให้ความบันเทิงลูกค้าแก้เบื่อก่อนที่จะพบโอยรัน
ความบันเทิงในที่นี้ไม่ได้แปลว่าให้เกอิชาชายมาพลีร่างให้ลูกค้าแก้ขัดก่อนหรอกนะ แต่พวกเขาจะเข้ามาเล่นดนตรีร้องรำทำเพลงเสิร์ฟเหล้าชวนแขกเล่นเกมฆ่าเวลา แน่นอนว่าในระยะแรกเกอิชาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายเนื่องจากในยูคาคุมีกฎชัดเจนว่าห้ามผู้หญิงธรรมดาๆเข้าไปข้างใน คนพวกนี้จะเรียกตัวเองว่า “เกอิชา” ที่มาจากคำว่า “ศิลปิน”
แล้วเกอิชาผู้หญิงล่ะ? มาจากไหน?
ผู้บุกเบิกเส้นทางของเกอิชาผู้หญิงนั้นเริ่มมาจาก ในศตวรรษที่ 16 มีอาชีพหนึ่งที่เรียกว่า “โอโดริโกะ” (踊り子) หรือ “นางรำสาว” พวกเธอจะถูกฝึกฟ้อนรำแบบญี่ปุ่นอย่างเข้มงวดและถูกปฏิบัติด้วยราวกับสิ่งบริสุทธิ์ล้ำค่า พวกเธอมักจะถูกจ้างไปให้ความสำราญแบบส่วนตัวในบ้านของซามูไรชั้นสูง แต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องในอาชีพนี้ก็อยู่ได้เพียงไม่นาน โอโดริโกะบางส่วนผันตัวเองไปให้บริการความบันเทิงบนฟูกนอนไปพร้อมๆกับการร่ายรำ
แต่แน่นอนความสาวย่อมมีวันโรยรา เมื่อพวกเธออายุมากขึ้นแม้จะยังยึดอาชีพเดิมแต่จะเรียกตัวเองว่าโอโดริโกะ(นางรำสาว)คงประดักประเดิดน่าดู (แม้ตอนนั้นพวกเธอจะอายุเพียงแค่ 20 ต้นๆก็เถอะ) พวกเธอจึงเรียกตัวเองว่า “เกอิชา” แทน
สาวคนแรกที่เรียกตัวเองว่า “เกอิชา” คือสาวโสเภณีคนหนึ่งในเขตฟุคากาวะ โตเกียว เธอมีนามว่า “คิคุยะ” ช่วงนั้นเป็นเวลาราวๆปี ค.ศ.1750 สาวคนนี้มีชื่อเสียงขจรขจายในด้านการขับร้องและเล่นซามิเซ็งเป็นอย่างมาก และเธอประสบความสำเร็จในด้านให้ความบันเทิงด้วยศาสตร์เหล่านี้มากกว่าการใช้ร่างกายเสียอีก!!
ส่งผลให้หญิงสาวที่มีความสามารถหันมาทำอาชีพเกอิชา จนฟุคากาวะกลายเป็นแหล่งเกอิชาที่เป็นที่นิยมในช่วงปี 1750
การประสบความสำเร็จของอาชีพเกอิชานั้นเริ่มขยายวงกว้าง จากตอนแรกมีเพียงแค่ที่ฟุคากาวะ แต่ในช่วงปี 1760-1770 เกอิชาหญิงก็แทรกซึมเข้ามาจนถึงในยูคาคุจนได้ โดยพวกเธอให้บริการเฉพาะการร้องรำทำเพลงเท่านั้น ส่วนเรื่องให้ความบันเทิงบนฟูกนอนพวกเธอจะไม่ทำ ทำให้อาชีพเกอิชาดูลึกลับน่าค้นหามากกว่าเดิมเข้าไปอีก แน่นอนว่าพอมีสาวๆมายึดอาชีพนี้ พ่อหนุ่มๆเกอิชาของเราก็ตกกระป๋อง ไม่มีแขกคนใดสนใจเกอิชาชายอีก ผู้ชายจึงเลิกอาชีพนี้ไปโดยปริยาย…
เคยดูหนังเห็นว่าเกอิชาขายนี่?
หากพูดถึงเกอิชา ภาพในสายตาของคนส่วนใหญ่จะนำเธอไปซ้อนทับกับเรื่องเซ็กส์อย่างช่วยไม่ได้ ในความเป็นจริงเกอิชาคือผู้สืบทอดศิลปะก็จริงอยู่ แต่ในอดีตเกอิชาก็มีพิธีกรรมเกี่ยวกับเซ็กส์ที่พวกเธอต้องผ่านเช่นกัน แม้จะไม่ได้ขายร่างกายแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าไม่ขายเสียทีเดียว
อย่างพิธีมิทสึอาเกะ หรือการประมูลพรหมจรรย์ของไมโกะ(เกอิชาฝึกหัด) มันก็เคยมีจริงๆในอดีต พิธีนี้ดำเนินมาจนนปี ค.ศ.1959 รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการขีดเส้นให้จริงจังว่าอาชีพ “เกอิชา” คือศิลปินผู้สืบทอดศิลปะญี่ปุ่น พวกเธอควรจะอยู่ในฐานะที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง การประมูลพรหมจรรย์นั้นไม่ต่างอะไรกับโสเภณีที่ทางการญี่ปุ่นขีดเส้นให้ผิดกฎหมายไปก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้น พิธีมิซึอาเกะจึงถูกยกเลิกไป แต่ก็ไม่ได้ยกเลิกไปเสียทีเดียวแค่ปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยตัดขั้นตอนที่เกี่ยวกับเซ็กส์ออกไปทั้งหมดเป็นเพียงการเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษและมอบของที่ระลึกเท่านั้น
แต่ๆ ก็ยังได้ยินกันว่าเกอิชามี "ดันนะ" (ผู้อุปถัมภ์) ที่คล้ายสามี?
ในปัจจุบันมีเกอิชาจำนวนน้อยมากที่จะมีดันนะ เพราะค่าใช้จ่ายต่อเดือนนั้นสูงมาก ในภาวะเศรษฐกิจแบบทุกวันนี้ไม่มีใครสู้ไหว ส่วนใหญ่ดันนะในสมัยนี้จะมาในรูปแบบบริษัทหรือหน่วยงานมากกว่า หน่วยงานหรือบริษัทจะเป็นดันนะให้เกอิชาเพื่อเรียกเธอมาแสดงเวลาหน่วยงานนั้นๆมีงานสำคัญๆ
และในสมัยนี้ไม่ได้มีกฎตายตัวแบบเมื่อก่อนแล้วว่าห้ามแต่งงานมีลูก สมัยนี้เธอสามารถแต่งงานได้ เมื่อเธอชอบพอใครสักคน และอยากแต่งงานกับเขา เธอสามารถออกจากอาชีพนี้ได้ตลอดเวลา
สรุป
เข้าใจกันใหม่เนอะว่าโอยรันไม่ใช่เจ้าหญิง และไม่ได้นับเป็นอย่างเดียวกับเกอิชาด้วย ทุกวันนี้ยูโจะหายไปแล้วค่ะ แต่เกอิชายังคงมีอยู่ กลายเป็นอาชีพแห่งศิลปะเต็มตัว
ข้อมูลนี้มาจากการรวบรวมของตัวเราเอง ผิดพลาดยังไงติดต่อได้ที่ทวิต @mayauki เราจะทวิตเรื่องแบบนี้บ่อยๆเพราะปลายปีเราจะออกหนังสือทำมือเรื่องนี้ล่ะค่า ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
เป็นคนแรกที่แจงรายละเอียดครอบคลุมส่วนใหญ่บทความที่เกี่ยวกับเรื่องเกอิชาจะเล่าแค่ครึ่งเดียวโดยไม่พูดถึงพิธีมิทสึอาเกะกับดันนะ แล้วก็บางบทความยังให้ค่านิยมผิดๆ เน้นแค่ว่าเกอิชากับโอยรันได้แต่งตัวสวยๆ อย่างเดียวกับเด็กผู้หญิง จนมีเด็กผู้หญิงบางคนบอกโตขึ้นจะเป็นโอยรัน (ปาดเหงื่อ)