เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
MONOTONE (Canada, Christmas and Maple) YUMARKtarry_tory
Canada, Christmas and Maple
  • เสียงล้อของกระเป๋าเดินทางกระทบกับรอยต่อพื้นกระเบื้องดังกุกกักเมื่อมันถูกดันโดยเท้าข้างหนึ่งให้เข้าไปในห้องนอน ก่อนที่เจ้าของห้องจะใช้เท้าอีกข้างเกี่ยวประตูเข้ามาปิดตามหลังอย่างคล่องแคล่วเพราะมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรังจนไม่สามารถเอื้อมมือไปปิดได้ตามปกติ

     

    โชคดีที่คุณแม่เจ้าระเบียบของเขาอยู่ด้านล่าง ไม่อย่างนั้นถ้ามาเห็นการกระทำอย่างเมื่อครู่แล้วก็คงโดนบ่นจนหูชาอีกเช่นเคย แถมตัวช่วยไกล่เกลี่ยอย่างพี่ชายก็ดันออกไปข้างนอกพอดีซะด้วย

     

    ช่วงวันหยุดคริสต์มาสปีนี้ เป็นอีกปีหนึ่งที่คยอมไม่ได้อยู่ฉลองกับที่บ้าน มาร์คชวนเขาไปเที่ยวบ้านเกิดที่ LA ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว เขาตัดสินสินร่วมทริปตามคำชวนของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล ทีแรกคุณแม่เขามีบ่นน้อยใจบ้างตามประสาที่พอถึงช่วงเวลาพิเศษก็คงอยากอยู่กับลูกๆพร้อมหน้ากันทุกคน ยังดีที่พี่อึยคยอมช่วยพูดกล่อมให้อยู่นานจนสุดท้ายคุณแม่ที่น่ารักก็ใจอ่อนจนได้ คยอมรู้ดีว่าคุณแม่น่ะ... ให้เขาไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว เผลอๆอาจจะไม่ได้คิดจะห้ามด้วยซ้ำ ก็นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปซะหน่อย คงเพียงแค่อยากแกล้ง อยากให้เขามาอ้อนใส่เท่านั้นนั่นแหละ...

      

    เจ้าของเรือนผมสีช็อกโกแลตเข้มหยิบของใช้จุกจิกบนโต๊ะสองสามอย่างยัดลงไปในกระเป๋าเดินทางอย่างไม่รีบร้อน สายลมพัดพาลมหนาวเข้ามาหอบหนึ่งจนเขานึกขึ้นมาได้ว่าตนเองลืมปิดหน้าต่าง ร่างสูงโปร่งก้าวเดินเข้าไปใกล้กับหน้าต่างกระจกใสที่เปิดไว้

     

    เขาหลับตา...ปล่อยให้แสงแดดอุ่นที่ลอดผ่านเข้ามาลามเลียใบหน้าขาวสะอาดพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปอย่างอิสระ เส้นผมทอประกายยามต้องแสงแดดยิ่งทำให้ใบหน้าดูอ่อนละมุนยิ่งขึ้นไปอีก ชั่วอึดใจหนึ่งสายเรียกเข้าที่โทรเข้ามาทำให้เสียงเพลงที่เปิดไว้ตลอดเช้าหยุดชะงัก เขาเอื้อมมือกดรับอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าสายที่โทรมาเป็นของใคร

     

    “ครับมาร์ค”

     

    “นายจัดของเสร็จหรือยัง” เสียงปลายสายเอ่ยถามอย่างงัวเงียเหมือนคนเพิ่งตื่น

     

    “ยังฮะ แต่ใกล้เสร็จแล้วล่ะ เหลืออีกสองสามอย่าง มาร์คมาเลยก็ได้นะ”

     

    ปลายสายตอบรับก่อนจะกดวางสายไป จริงๆคยอมโกหก เขาเพิ่งจะเริ่มจัดของลงกระเป๋าไปไม่กี่อย่างจะเอาตรงไหนไปเสร็จกัน ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ถ้ามาร์ครู้ความจริงแล้วต้องมานั่งรอเขาอีกนาน ก็คงไม่ว่าอะไรอยู่ดีนั่นแหละ ก็คุณคนนี้ของเขาน่ะ

     

    ใจดีที่สุดในโลกนี้แล้ว…

     

    *

     

    มาร์คหยิบกุญแจรถคันเก่งขึ้นมาควงเล่นจนโลหะกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง เขาเดินไปที่ลานจดรถหน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ แค่พอรู้ว่าจะได้กลับอเมริกา ใจเขาก็ไม่ได้อยู่ที่โซลอีกแล้ว มาร์คคิดว่าคนที่ได้กลับบ้านนานๆครั้งแบบเขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นจนเกินไปนัก ถึงเมื่อวานเขาจะจัดของอย่างกระตือรือร้นไปหน่อยกว่าจะได้นอนก็ปาไปตีสามจนมาตื่นเอาตอนเกือบเที่ยงของอีกวันก็เถอะ

     

    หลายปีมานี้ทุกครั้งที่ได้กลับบ้านก็มักจะมีเจ้าเด็กคนนั้นติดสอยห้อยตามไปด้วยแทบจะทุกครั้งก็ว่าได้ เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลบ้านคิมกับบ้านต้วนสนิทกันมาก เหตุก็เพราะลูกชายที่เป็นไอดอลทั้งสองเข้าๆออกๆบ้านอีกฝ่ายเป็นว่าเล่น(ถึงบ้านต้วนจะไกลถึงอเมริกาก็เถอะ) จนสมาชิกในครอบครัวแต่ละบ้านก็พลอยคุ้นเคยกันไปด้วย

     

    พอถึงช่วงเทศกาลชูซอกในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี เพื่อนคนอื่นๆก็กลับบ้านกันหมด เทศกาลหยุดยาวบ่งบอกถึงช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน สำหรับคนที่อยู่ในสายงานอย่างมาร์คกับคยอมแล้วหลายคนคงเฝ้ารอช่วงเวลานี้อย่างใจจดใจจ่อ การได้หยุดยาว ได้กลับบ้านไปเติมพลังกาย พลังใจ ไม่ว่าปีนี้จะผ่านอะไรมาบ้างการกลับบ้านเพื่อรับการเยียวยาจากคนในครอบครัวก็เหมือนได้ต่อชีวิตออกไปอีกปีหนึ่ง

     

    แต่สำหรับมาร์คแล้วช่วงแรกๆที่มาเกาหลีเขายอมรับอย่างไม่อายเลยว่าช่วงเวลานี้ตัวเขาค่อนข้างที่จะอ่อนไหวเป็นพิเศษ เทรนนีที่มาจากต่างประเทศส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กลับบ้าน ช่วงเวลาไม่กี่วันถึงแม้ว่าจะเรียกวันหยุดเทศกาลก็ไม่เพียงพอที่จะเดินทางกลับบ้านที่อเมริกาได้ ทางป๊ากับม๊าเองก็มีงานที่ต้องจัดการ จะให้เดินทางมาหาก็ไม่สะดวกเท่าไหร่ ตัวเขาก็ไม่อยากให้ที่บ้านต้องลำบากเพราะเรื่องแค่นี้

     

    ยิ่งที่หอเงียบเหงา ก็ยิ่งรู้สึกอ้างว้างเข้าไปอีก เขาได้แต่อดทนเก็บความรู้สึกมาตลอด ทำไงได้...เขาห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงที่บ้านไม่ได้เลยสักนิด ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาอดทนมานานเท่าไหร่ ในปีหนึ่งมาร์คคิดว่าจู่ๆพระเจ้าคงเห็นใจเขาขึ้นมาบ้างหรือไม่พระองค์ก็คงทนความน่าเบื่อของชีวิตเขาไม่ไหวนั่นล่ะ เลยส่งเจ้าเด็กหน้าฝรั่งแต่ดันเป็นคนเกาหลีแท้ๆ มาชวนเขาไปเที่ยวที่บ้านในช่วงวันหยุดชูซอก

     

    ยูคยอมเป็นเด็กที่เทรนมาด้วยกัน มาร์คต้องยอมรับ ถึงแม้จะบ่นกับตัวเองบ่อยๆว่าคงจะดีถ้ามีสักที่ที่ให้เขาไปได้ แต่พอมีคนมาชวนไปจริงๆก็ดันลังเลขึ้นมาซะอย่างนั้น ยิ่งเป็นเจ้าเด็กนี่เขาก็ยิ่งลังเล คงเพราะแต่ก่อนทั้งเขาและอีกคนค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ผิวเผินละมั้ง คือสนิทกันในระดับที่พูดคุยกันได้ แหย่กันได้ แต่เขายังไม่เคยสนิทถึงขนาดไปบ้านใคร หรือมีใครมาชวนไปที่บ้านเลยจริงๆ

     

    ครั้งนั้นเขาตั้งใจที่จะเอ่ยปฏิเสธแต่กลับถูกคนที่มาชวนตรงหน้าดักทางซะไปไม่เป็น เขายอมรับว่าคยอมมีวิธีการพูดโน้มน้าวที่แปลก เหมือนรู้ว่าจะโดนปฏิเสธแต่เด็กนี่กลับสบตาเขานิ่งเหมือนต้องการจะสื่อบางอย่าง

     

    'ไปบ้านผมเถอะฮะ... ตอนนั้นพี่ยังแชร์เตียงนอนกับผมเลย ทำไมผมจะแชร์บ้านให้พี่ไม่ได้'

     

    ตอนนั้นมาร์ครู้สึกเหมือนใจกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่งและเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เขาอ่านสายตาคนไม่ออก ไม่รู้ทำไม... ถึงรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันฟังดูอ้อนวอนชอบกล ดวงตาสีน้ำตาลที่สบกลับมามันแปลกไปจากทุกทีที่เคยมองกัน

     

    เดิมทีเขาเข้าใจว่าคยอมต้องการตอบแทนที่เขาเคยแบ่งเตียงนอนให้เท่านั้น มีครั้งหนึ่งทีมของคยอมเลิกซ้อมดึกมาก พอลงมาก็พบว่าที่เตียงที่หอถูกจับจองไปหมดแล้ว มาร์คที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเห็นเจ้าเด็กหน้าอินเตอร์ยืนเท้งเต้งอยู่กลางห้องก็เลยชวนมานอนด้วยกัน ถึงเตียงจะเล็กแต่อัดกันสองคนก็ยังพอไหว เรื่องอยากขอบคุณมาร์คเข้าใจเจตนาของคนที่เด็กกว่าดี

     

    แต่ไม่รู้ทำไม คำว่า 'บ้าน' ของคยอมต่างหาก ที่มาร์ครู้สึกว่ามันมีอิทธิพลต่อเขา เจ้าเด็กนี่อาจจะไม่รู้สึกว่ามันพิเศษ เสี้ยวหนึ่งมาร์คกำลังรู้สึกว่าความคิดที่เป็นภาษาบ้านเกิดแอบตีกันในหัว เขาไม่รู้ว่า definition ของคำว่า 'บ้าน' ที่เด็กตรงหน้ายื่นมาให้มันเป็นแบบไหน

     

    เขาไม่รู้ว่ามันเป็นคำว่า 'house' หรือคำว่า 'home' แค่ให้ไปเที่ยวเล่น หรือให้พักพิงใจได้...

     

    ยังไม่ทันจะได้รู้ว่าความคิดฝ่ายไหนจะได้รับชัยชนะ มาร์คก็ตอบตกลงกับคยอมไปแล้ว อีกฝ่ายที่ได้ยินก็รีบนัดแนะเวลาก่อนที่จะส่งยิ้มให้อย่างใจดี

     

    จนถึงวันนี้ มาร์คคิดว่าเขาตัดสินใจถูกที่ตอบรับคำชวน เพราะวินาทีแรกที่ก้าวขาลงมาจากรถที่บ้านคยอมส่งไปรับเขา พอได้พบอึยคยอม คุณพ่อ คุณแม่ของบ้านคิม คำว่า home ก็ดีดตัวออกมาจากในหัวแทบจะทันทีที่มาร์ครู้สึกได้ เขาไม่สงสัยเลยสักนิดว่ารอยยิ้มของคยอมเหมือนใคร เพราะทั้งบ้านก็มีรอยยิ้มพิมพ์เดียวกันหมด

     

    และเขาเองก็ยอมรับ ว่าชอบรอยยิ้มนั้นของคยอมชะมัด…

     

    หลังจากที่ปล่อยให้ภาพใบหน้าที่ยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นโค้งครอบครองพื้นที่ในหัวไปเกือบครึ่ง คนที่กำลังขับรถไปตามทางก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว อา… เขาไม่ได้เจอคยอมมานานเท่าไหร่แล้วนะ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ออกไปกินข้าวด้วยกันก็เมื่อสัปดาห์ก่อน ความจริงเขาสองคนออกไปข้างนอกด้วยกันบ่อยมากจนเพื่อนคนอื่นก็เริ่มหาว่าพี่ใหญ่กับน้องเล็กตัวติดกันเกินไปแล้ว

     

    ก็มันช่วยไม่ได้นี่…ที่เขาชอบไปกับอีกคนเพราะรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ด้วย ทั้งอีกฝ่ายก็เป็นเด็กที่ว่าง่าย แถมบ่อยครั้งยังชอบตามใจเขาสุดๆแบบไม่รู้ตัวอีกต่างหาก

     

    อีกอย่างมาร์คคิดว่าทั้งเขาและคยอมต่างก็มีสไตล์การใช้ชีวิตที่คล้ายๆกัน ไม่ใช่แค่ออกไปข้างนอก เวลาอยู่ที่บ้านเขากับน้องเล็กก็ไปมาหาสู่กันบ่อย ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเรื่องตลกในหมู่เพื่อนๆ เพื่อนคนหนึ่งของเจ้าคยอมดันมากดกริ่งที่บ้านเขาเพื่อถามหาเพื่อนตัวเอง เพราะนึกว่าบ้านคยอมอยู่ที่นี่ ตอนนั้นจำได้ว่าเขางงเป็นไก่ตาแตกที่จู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามากดกริ่งหน้าบ้านเพื่อถามหาคนอื่นจากเจ้าของบ้าน พอเจ้าเด็กต้นเรื่องรู้ก็หัวเราะใส่เขาเป็นบ้าเป็นหลัง กลับกันถ้าวันไหนคนอื่นรู้ว่ามาร์คไม่อยู่ที่บ้านตัวเองก็ต้องเจออยู่ที่บ้านอีกคนอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    จริงๆก็ไม่รู้หรอกว่าจะไปทำไมนัก ไปก็ไม่มีอะไรทำนอกจากพาเจ้าไมโลสุนัขพุดเดิ้ลไปเล่นด้วย บ้างก็ไปนั่งดูหนัง กินหมูสามชั้นย่าง(ซึ่งแน่นอนว่ามาร์คกับอึยคยอมเป็นคนทำ) หรือไม่ก็ไปนอนฟังเพลง ตากน้ำค้างที่สวนหน้าบ้านด้วยกันตอนกลางคืน ถึงจะไม่พูดอะไรกันมากแต่เขาไม่เคยอึดอัดกับความเงียบแบบนั้นเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา บางทีก็จำเจ บางทีก็มีเรื่องน่าตื่นเต้นแต่แล้วก็กลับมาราบเรียบเช่นเดิม

     

    มาร์คไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วคยอมติดเขาหรือเป็นตัวเขาเองที่ชอบอยู่ใกล้ๆอีกคน

    .

    .

    .

    หรือความจริงแล้วเขาทั้งสองต่างก็เสพติดความสัมพันธ์แบบ monotone ของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดที่จะถอนตัวกันแน่นะ…


    *

     

    December 22nd, Los Angeles

     

    เสียงพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินประกาศแจ้งผู้โดยสารว่าเครื่องกำลังจะถึงที่หมายปลุกร่างสูงที่กำลังนั่งสัปหงกให้สะดุ้งตื่น เขาเอียงคอลู่ไปกับไหล่เพื่อคลายความเมื่อยล้า

     

    “...!”

     

    จังหวะที่เอนศีรษะไปทางด้านซ้าย แก้มของเขากลับชนเข้ากลุ่มผมหอมนุ่มของอีกคนที่หลับอยู่ข้างๆ คยอมตัวแข็งทื่อ เขาไม่ได้สังเกตว่ามาร์คนอนเอียงหัวมาทางเขา ถึงจะไม่เรียกว่าซบไหล่แต่ก็เกือบนั่นแหละ ถ้าหมอนรองคอไม่กั้นอยู่ก็คงได้ซบไหล่เขาจริงๆไปแล้ว… ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองไหมว่าเขาน่ะ...กำลังเสียดาย...แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกำลังเสียดายอะไร

     

    หลังจากพยายามดึงสติกลับมา คยอมละใบหน้ากลับมาองศาเดิมอย่างช้าๆเพราะกลัวอีกคนจะตื่น ไม่บ่อยที่มาร์คจะหลับสนิทแบบนี้ เพราะปกติเวลาแชร์ห้องกันที่โรงแรมในต่างประเทศแค่เขาทำของตกมาร์คก็ตื่นแล้ว แถมช่วงนี้เขาเองก็ยังรู้สึกเพลียบ่อยๆเหมือนกันจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ยังไม่รู้ตัว

     

    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนลอบมองใบหน้าเรียวเล็กในยามหลับของอีกคน วินาทีหนึ่งเขาคิดว่าพระเจ้าลำเอียงไปหรือเปล่านะ พี่มาร์คมีใบหน้าอย่างที่ใครหลายคนชอบหรือเรียกว่าเป็นพิมพ์นิยมนั่นแหละ แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่งตัวยังไงก็รอดทุกลุค จะเท่ห์ก็ได้ จะหวานก็ได้ ให้ทำท่าน่ารักตามที่แฟนเรียกร้องก็รอดที่สุดในบรรดาเขาเจ็ดคนแล้ว แถมยังออกมาในแบบที่เขาโคตรจะแพ้

     

    ‘พระองค์...ลำเอียงจริงๆสินะครับ’

     

    คยอมเปิดโทรศัพท์ดูถึงรู้ว่าแอพฟังเพลงที่มีไอคอนเป็นสีเขียวเล่นเพลงในเพลย์ลิสต์ที่เขาเลือกไว้จนหมด เขากดปิดมัน ถอดแอร์พอดออกจากหูข้างหนึ่ง ก่อนจะอ้อมตัวไปเอาแอร์พอดอีกข้างที่แชร์กับอีกคนออกอย่างเบามือแล้วปลุกเขา

     

    “มาร์ค...มาร์คฮะ”

     

    “...” ไม่ได้ผล อีกคนยังหลับเหมือนเดิม

     

    “พี่มาร์คฮะ ตื่นได้แล้วครับ ถึงแล้ว” ไม่พูดเปล่า รอบนี้เขาจับไหล่อีกคนเขย่าเบาๆ จนมาร์ครู้สึกตัว

     

    “ถึงแล้วหรอ” น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยถามคนข้างตัว

     

    “ถึงแล้วครับ กลับบ้านกันเถอะ”

     

    รถคันหรูเลขทะเบียนที่ใครดูก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เลขและตัวอักษรจะเรียงกันเป็นชื่อวงศิลปินวงหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ย่านหนึ่งใน Los Angeles โจอี้กับพี่แทมมี่หลังจากที่ออกมาทักทายก็ขอตัวไปทำธุระข้างนอก ปล่อยให้พี่น้องคิมต้วนทั้งสองพักผ่อน ก่อนไปก็ไม่ลืมกำชับว่ามื้ออาหารค่ำป๊ากับม้าต้วนก็จะมาร่วมด้วย

     

    “นายจะนอนห้องไหน”

     

    เสียงมาร์คเอ่ยถามเจ้าเด็กอีกคนที่เดินถือกระเป๋าขึ้นบันไดตามมาข้างหลัง บ้านเขามีห้องรับรองอยู่ประมาณสี่ห้องได้ เพราะคนในบ้านมีพวกพ้องเยอะกันทุกคน แขกไปใครมาก็มักจะมาพักที่ห้องรับรองกันอยู่แล้ว

     

    คำถามนั้นทำเอาคยอมมองเขาแบบไม่เข้าใจนิดหน่อย “ก็ต้องห้องพี่อยู่แล้วสิฮะ...เหมือนทุกๆปี”

     

    เหมือนทุกปี… นั่นสินะ มันก็เป็นแบบนั้นมาหลายปีแล้ว ก็เจ้าเด็กนี่น่ะขี้กลัวอย่าบอกใครเชียว

     

    “บ้านฉันไม่มีผีซะหน่อย เมื่อไหร่จะเลิกกลัวเนี่ย”

     

    “ก็ไม่ได้กลัวผีบ้านพี่ซะหน่อย รู้ตั้งนานแล้วว่าไม่มีน่ะ”

     

    “...”

     

    “...”

     

    อยู่ๆมาร์คก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันออกจะแปลกๆ เหมือนมีผีเสื้อที่มองไม่เห็นบินวนอยู่รอบๆตัวจนเขาอยากจะเอื้อมมือไปปัดมันทิ้ง เขาไม่ตอบอะไรก่อนจะรีบจ้ำเท้าขึ้นบันไดในจังหวะเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย

     

    คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ดูจะมีอาการไม่ต่างกันนัก ใบหูของคนตัวโตขึ้นสีแดงจางๆ ข้อเสียของคนผิวขาวจัดอย่างคยอมคือพอเขินอายคนก็ดูออกกันหมด นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เขารู้สึกว่าพระเจ้าลำเอียงอีกแล้ว เพราะอย่างมาร์คน่ะถึงจะผิวขาวแต่ผิวค่อนข้างดีกว่าเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะเก็บความรู้สึกเก่งอีกคนก็คงแสดงออกแต่เขาดันสังเกตไม่เห็น เขาไม่เคยจับได้เลยสักครั้งว่ามาร์คมีอาการเขินตอนไหนบ้างในช่วงเวลาปกติที่ไม่ใช่ต่อหน้ากล้องหรือเวที

     

    หลังจากปล่อยเบลอบรรยายกาศแปลกๆที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย ทั้งสองคนก็กลับมาปกติอีกครั้ง ช่วงค่ำป๊ากับม้ามาถึงบ้านก็กอดหอมมาร์คกันยกใหญ่ แถมยังขยายรัศมีการแบ่งปันความรักมาที่คยอมอีกหลายฟอด กว่าจะเลิกซักถามสารทุกข์สุขดิบกันก็นานอยู่หลายนาทีจนเสียงท้องร้องของโจอี้ดังลั่นห้องนั่นแหละทุกคนถึงพากันไปที่โต๊ะอาหาร

     

    ระหว่างมื้อค่ำที่สนทนากัน คยอมก็พบว่ามีเรื่องเซอร์ไพรซ์อยู่สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือคริสมาสต์ที่จะถึงนี้ป๊ากับม้ามีงานเลี้ยงของบริษัทที่ต้องไปเข้าร่วมทำให้ไม่สามารถอยู่ฉลองที่บ้านกับลูกๆได้ โจอี้ไปเที่ยวกับแฟนที่อีกรัฐหนึ่ง ส่วนพี่แทมมี่ก็ไปเฝ้าเพื่อนที่ป่วยอยู่โรงพยาบาล

     

    ฉะนั้นเลยกลายเป็นเรื่องเซอร์ไพรซ์เรื่องที่สองนั่นก็คือป๊ากับม๊าให้โควต้าตั๋วฟรีพร้อมที่พักสำหรับสองวันคือคริสต์มาสอีฟกับวันคริสต์มาสให้มาร์คกับคยอมแทนคำขอโทษที่อยู่ฉลองด้วยไม่ได้

     

    “อยากไปไหนพี่มาร์คเลือกเลย ผมยังไงก็ได้ฮะ” อย่างที่มาร์คคิดเลย เจ้าเด็กนี่ตามใจเขาอีกแล้ว...

     

    “ไม่เอาอ่ะ...นายเป็นแบบนี้ทุกทีเลยนะ อยากได้อะไรก็หัดพูดบ้างสิ” แล้วเขาก็ถูกมาร์คเอ็ดจนได้…

     

    “งั้นม้าว่าพูดพร้อมกันเลยดีไหม จะได้รู้ว่าใครอยากจะไปไหนบ้าง เอาละนะ หนึ่ง...สอง..สาม!”

     

    “ควิเบก!/ควิเบก!”

     

    *

     

    Québec, Canada

    December 24th, Christmas Eve

     

    คงมีหลายคนที่เป็นแฟนซีรีส์ Goblin แล้วดันอยากมาที่ควิเบกเพื่อตามรอยสถานที่ที่อยู่ในฉากประหนึ่งว่าตัวเองเป็นจีอึนทักกับอาจอชี(คุณลุง)กงยูก็ไม่ปาน พลังการติ่งบางทีนั้นก็ไม่ได้จำกัดอยู่กับแค่ผู้หญิงเท่านั้น ดังจะเห็นได้ชัดจากผู้ชายตัวโตสองคนที่กำลังเถียงกันเพื่อแย่งตำแหน่งนางเอกสาวจีอึนทักระหว่างเดินเที่ยวรอบเมือง

     

    “ผมยอมให้พี่ไม่ได้จริงๆ จีอึนทักมันต้องผมอ่ะ”

     

    “ที่ฉันจำได้จีอึนทักไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนี้มั้ยล่ะ”

     

    “ไม่เกี่ยวเหอะ เอเนอร์จี้ผมได้มากกว่าพี่อีก รุ่นพี่กงยูก็คูลจะตายทำไมพี่ไม่เป็น”

     

    “ก็โลกนี้จะมีกงยูสองคนไม่ได้” มาร์คตอบด้วยสีหน้ามั่นใจแบบไม่สนว่าคำพูดนั้นจะดูหลงตัวเองแค่ไหน

     

    “Ew!!! เพิ่งรู้ว่าพี่ก็มีมุมนี้อ่ะ ผมทึ่งนะเนี่ย...คุณกงยู”

     

    คยอมทำท่าล้อเลียนตอนที่ก็อบลินดึงดาบออกจากหน้าอกตัวเองด้วยการสวมบทบาทนักแสดงคิม(ที่ออกจะติดความเล่นใหญ่มากไปหน่อย) จนคนพี่ที่พอทนความมันเขี้ยวไม่ไหวก็เอื้อมมือไปดึงหูคนขี้ดื้อเบาๆ อีกคนถึงได้สงบเสงี่ยมลงบ้าง

     

    หลังจากมาถึงที่พักเมื่อตอนสายพวกเขาสองคนก็พากันออกมาชมเมืองโดยการเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไปเรื่อย เห็นที่ไหนน่าสนใจก็แวะไปถ่ายรูปบ้าง แอร์พอดที่แชร์กันคนละข้างส่งเสียงเพลงเบาๆเสริมบรรยากาศเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอารยธรรมของแคนาดา บรรยากาศโดยรอบสวยเกินกว่าจะจินตนาการถึง ทั้ง แสง สี โทน ท้องฟ้าโปร่ง อากาศหนาว แสงแดดอุ่นๆ ยิ่งประกอบกับการตกแต่งดวงไฟต้อนรับวันคริสต์มาสมันก็ยิ่งลงตัวไปหมด

     

    พวกเขาเดินมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่มีลานน้ำพุรูปปั้นเทพธิดากำลังสีไวโอลินด้วยกริยาอ่อนช้อย มาร์คอาสาไปซื้อน้ำมาให้เพราะเขาสื่อสารได้ดีกว่า คยอมเลยตัดสินใจที่จะขอไปหาที่นั่งรอแถวๆในสวน

     

    ม้านั่งในสวนถูกจับจองจนเต็มหมด ความจริงแล้วจะบอกว่าหมดก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะม้านั่งสำหรับสองที่สองตัวสุดท้ายมีคนจับจองแค่หนึ่ง ตัวที่ติดกับต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ที่สุดในสวนมีหญิงชราผิวสีคนหนึ่งกำลังนั่งถักนิตนิ้ง อีกตัวห่างออกไปหน้าลานน้ำพุ ชายผิวขาววัยกลางคนกำลังดีดกีต้าร์โปร่ง ส่งท่วงทำนองสดใสดังเป็นจังหวะตามนิ้วที่ดีดขึ้นลงอบอวนไปทั่วลาน

     

    คยอมกำลังชั่งใจ... คงต้องเลือกนั่งหนึ่งในม้านั่งสองตัวที่เหลือร่วมกับคนที่มานั่งอยู่ก่อนแล้ว เขาเลือกเดินไปนั่งข้างหญิงชราแทนชายที่นั่งดีดกีต้าร์เพราะไม่อยากไปขัดจังหวะเขาเท่าไหร่ อีกอย่างคุณยายท่านนี้ก็น่าจะเอ็นดูพวกเด็กๆอย่างเขาอยู่บ้าง คยอมขออนุญาตอย่างสุภาพ เธอไม่ได้ละสายตาจากนิตติ้งมามอง เขาเลยคิดว่าเธอคงไม่ว่าอะไร จึงหย่อนตัวลงนั่งอย่างเมื่อยล้า

     

    ช่วงวินาทีหลังสัมผัสพนักพิงไม้ เขาเหมือนจะได้ยินเสียงขาทั้งสองข้างร้องประท้วงหลังจากที่เดินเที่ยวรอบเมืองมาเกือบสองชั่วโมงเต็ม ไม่รู้ว่ามาร์คทนไหวได้ยังไง เขาดูสดใสแถมกระรือร้นทุกครั้งที่เจอสถานที่แปลกๆในรัศมีสองร้อยเมตร ถึงจะเมื่อยมากแค่ไหนคยอมไม่คิดที่จะบ่นเลยสักนิด...

     

    เพราะรอยยิ้มของมาร์คน่ะ เหนื่อยแค่ไหนก็คุ้มที่จะได้เห็นเสมอนั่นแหละ...

     

    ร่างสูงในชุดเสื้อโค้ทตัวยาวสีดำปล่อยให้แสงแดดอุ่นทอดผ่านลงมากอดรัดร่างกาย เขาฟังเสียงกีต้าร์ของคุณลุงคนนั้นอย่างใจลอย ก่อนที่คำถามจากคุณยายข้างๆจะดึงความสนใจของเขาไป

     

    “เขาน่ะ… first Canada ของเธอหรอ” เจ้าของดวงตาสีเขียวสุกใสถามเขา

     

    “ขอโทษนะครับคุณยาย แต่ผมไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสเลย”

     

    คยอมพูดภาษาอังกฤษตอบกลับอีกฝ่าย คือเข้าพอรู้มาบ้างว่าคนที่อยู่ในควิเบกส่วนใหญ่ก็มีคนพูดฝรั่งเศส ถ้าเรื่องภาษาอังกฤษเดี๋ยวนี้ทักษะของเขาก็พัฒนาขึ้นมาบ้างแล้วเพราะต้องคอยฝึกเอาไว้พูดกับมาร์ค แถมช่วงที่เขาขี้เกียจมากๆมาร์คก็เล่นไม่พูดเกาหลีกับเขาเลยสักประโยคเดียว ถึงพอฟังออกแต่พอตอบกลับเป็นเกาหลีมาร์คก็ไม่พูดด้วยอยู่ดี ก็เลยเหมือนต้องเอาตัวรอดถ้าอยากคุยกับอีกคน

     

    “ขอโทษทีจ้ะ ฉันเคยชินไปหน่อย มาแคนาดาครั้งแรกหรอพ่อหนุ่มน้อย” คุณยายปรับการพูดเป็นภาษาอังกฤษ ท่าทางอ่อนโยน รอยยิ้มน่ามองของคุณยายท่านนี้ทำให้คยอมอดยิ้มบางๆตามไม่ได้

     

    เขาสังเกตว่าคุณยายคนนี้ดูแปลกๆ เป็นผู้หญิงผิวสี ดวงตาสีเขียวใส สวมชุดกระโปรงสีขาวสะอาดนิ้วมือขยุกขยิกกับกองไหมสีแดงสดอยู่ตลอดเวลา กลิ่นหอมที่เขาคุ้นมากๆลอยมาแตะจมูกเป็นระยะเวลาลมพัดผ่าน มันแปลก...แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดี

     

    “ครั้งแรกครับ”

     

    “อา...งั้นเขาก็เป็น first Canada ของเธอด้วยสินะ”

     

    “เขาไหนครับ… หมายถึงคนที่ผมมาด้วยหรอ”

     

    “ใช่ซีจ๊ะ… ‘เขา’ คนนั้นของเธอนั่นแหละ”

     

    “ใช่ครับ ผมมากับพี่เค้าครั้งแรกก่อนหน้านี้ก็ไปเพิ่งเคยไปอเมริกาด้วย..”

     

    “แสดงว่า first America ของเธอก็เป็นเขาด้วยงั้นสิ” ยังไม่ทันที่คยอมจะพูดจบประโยค ก็โดนคนสูงวัยพูดขัดมาก่อน ท่าทางสนอกสนใจของคุณยายทำคยอมเริ่มสับสน เขางงตั้งแต่ใครเป็น first อะไรของใครแล้ว

     

    “เขาคือ first ของอะไรนะครับ”

     

    “เล่าให้ฉันฟังได้ไหม สำหรับเธอเขาเป็นยังไงหรอ” คุณยายไม่ตอบแต่ดันถามเขาแทน แถมรอยยิ้มที่ส่งมาทำเขาปฏิเสธไม่ออกซะด้วย ทั้งที่จริงก็ไม่ควรเล่าอะไรให้คนแปลกหน้าฟังแต่เขาก็พูดออกไปโดยไม่ได้ยั้งความคิดตัวเอง

     

    “อืม… เขาใจดีครับ ใจดีแบบที่ดีมากๆ นิสัยดี เข้าใจคนอื่นเสมอ ไม่ค่อยเรื่องมาก ชอบดูแลคนรอบข้าง ไม่ค่อยโกรธเท่าไหร่ แล้วก็...อืม ตบมุกไม่เก่งแต่เสียงหัวเราะสดใสมาก ถ่อมตัวแล้วก็...”

     

    “ฉันไม่ได้ถามว่าเขานิสัยยังไง ฉันแค่อยากรู้ว่าสำหรับเธอน่ะ เขาเป็นยังไง เป็นคนที่เธอจะตัดเกสรดอกไม้ที่เขาแพ้ทิ้งให้ก่อนจะยื่นให้เขาไหม หรือเป็นคนที่เธอจะไม่รู้สึกอะไรถ้าเขาหายไป หรือว่าเป็นคนที่เธอ...อยากให้เขามีแต่รอยยิ้มไปตลอดกาล...”

     

    “...”

     

    สมองของคยอมเหมือนถูกตีรวน เขาไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจมันจริงๆหรือเปล่า ไม่รู้ว่าควรตอบอะไร เขาฟังบางคำไม่ทันด้วยซ้ำ แต่จู่ๆเหมือนเขาจะนึกถึงเพลงท่อนนึงของ Shayne Ward ที่แทบจะแทนคำตอบทั้งหมดของคำถามตรงหน้า

     

    ‘I don’t wanna run away,

    just wanna make your day

    It’s no body until you :)

     

    แค่นั้นจริงๆ…

     

    คยอมปล่อยให้ความคิดไหลไปตามสายลม เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ หนึ่งถึงสองวินาที หรือไม่มีจุดสิ้นสุด แต่เขาก็ไม่ได้ตอบคุณยายกลับ

     

    “เหมือนฉันจะได้คำตอบจากเธอแล้วนะพ่อหนุ่มน้อย… ” คุณยายโน้มตัวเข้ามาใกล้เขาเหมือนต้องการจะกระซิบบอกบางสิ่งซึ่งตอนนี้เหมือนสมองของเขาจะหยุดทำงานไปแล้ว

     

    “... คนสองคนที่เป็น first place ของกันและกันถึงสองที่ หากไม่ใช่ด้วยมีเหตุจำเป็นแล้วก็จะเป็นอะไรได้อีกนอกจากพวกเธอจะเชื่อใจและรักกันมาก… ฉันยินดีที่ได้พบเธอนะที่รัก”

     

    เหมือนถูกดูดเข้าไปอีกมิติจู่ๆสมองเขาก็เบลอ ไม่นานสติก็ถูกดึงกลับมาตามเสียงเรียกของมาร์คที่กำลังถือขวดน้ำเปล่าสองขวดเหนือศีรษะเขา คนพี่ส่งขวดน้ำให้ก่อนจะเอื้อมมือไปเอาใบเมเปิ้ลที่ตกใส่หัวของคนที่นั่งอยู่มาพัดเล่น คยอมที่หันไปที่นั่งด้านข้างก็พบว่าคุณยายคนเมื่อกี้หายไปแล้ว ที่นั่งข้างๆเหลือเพียงใบเมเปิ้ลสีส้มสดสวยเพียงใบหนึ่ง เขายิ่งละล่ำละลักจะพูดก็พูดไม่ออก เต็มๆเลย...เขาเจอผีแคนาดาเข้าให้แล้ว!

     

    หลังจากกลับไปที่โรงแรม ตกค่ำคยอมก็เล่าให้มาร์คฟังในตอนที่ทั้งสองออกมานั่งเล่นในสวนหย่อม พร้อมกับชุดชาคาโมไมล์ที่ทางโรงแรมนำมาเสิร์ฟ ปกติยูคยอมกลัวเรื่องแบบนี้อยู่แล้วยิ่งพอเจอแบบนั้นก็ยิ่งตามติดเขาแจขึ้นไปอีก

     

    มาร์คยังเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ เขาไม่ตัดสินว่าเรื่องที่คนน้องพูดเป็นเรื่องที่เขาคิดไปเอง แต่ตามหลักทฤษฏีของมาร์คถึงเรื่องที่เด็กนี่พูดจะเหลือเชื่อแค่ไหน...แต่คยอมไม่เคยโกหก เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อ ความจริงคยอมก็ไม่ได้เล่าทั้งหมดยิ่งตรงคำพูดสุดท้ายนั่น เขาคิดว่าบางสิ่งบางอย่างก็ควรให้มันเป็นความลับต่อไปน่ะดีแล้ว พอได้มาวิเคราะห์กัน เขาก็ลงความเห็นว่าคุณยายท่านนั้นไม่น่าจะใช่ผี

     

    “จริงๆแล้วเป็นภูตหรอกหรอฮะ”

     

    “ใช่ ฉันคิดว่าเป็นภูตนะไม่ใช่ผีหรอก อย่างในก็อบลินก็มีป้ายเขตภูตนี่นา”

     

    “ก็น่ากลัวอยู่ดีนั่นแหละ แต่คุณยายเขาใจดีจริงๆนะ”

     

    “แถวนี้ก็อาจจะมีไหมน้า”

     

    “ขอเหอะพี่ ผมกลัวจริงๆ” คยอมพูดปรามพร้อมทำเสียงสั่นๆไปด้วย

     

    มาร์คเห็นท่าทางกลัวของอีกคนก็หัวเราะพร้อมยกสามนิ้วเพื่อบอกว่าจะไม่แกล้งแล้ว เขายื่นกล่องของขวัญสีน้ำเงินสลับขาวที่แอบไปซื้อมาตอนที่เจ้าตัวดีเจอคุณยายให้ คยอมเอ่ยขอบคุณแบบที่ถ้าใครมาเห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเจ้าเด็กนี่ก็คงอดยิ้มตามไม่ได้แน่ๆ อีกฝ่ายก็ตัดพ้อว่ายังไม่ได้ซื้ออะไรให้มาร์คเป็นการตอบแทนเลย แต่มาร์คน่ะ...ไม่ถือเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ที่ให้ก็เพราะเขาอยากให้

     

    “มาร์คผมถามอะไรอย่างนึงได้มั้ย”

     

    หลังจากที่ไม่มีใครพูดอะไรมานานคยอมก็เอ่ยทำลายความเงียบ ระหว่างที่สั้งสองกำลังฟังเสียงเพลงจากลำโพงตัวโปรดของมาร์ค มันกำลังเล่นเพลงสากลจังหวะสบายๆอันเชื่องช้า

     

    ‘I wanna know, I know you’

     

    “จะถามอะไร”

     

    ‘But I'm so scared to tell you’

     

    “พี่น่ะ...แบบ...พี่ก็รู้ใช่ป้ะ”

     

    ‘just how I really feel’

     

    มาร์คยิ้มบางเมื่อได้ยินคำถามถามของอีกคน อาการพูดติดๆขัดของคยอมจะเกิดเมื่อตอนเจ้าตัวประหม่ามากๆ ถามขนาดนี้ถ้าเขายังพูดปฏิเสธ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงยังแล้ว

     

    ‘If you don’t mind baby

    Crazy I may be in Love...’

     

    “I do.” ดวงตาของเขาสบกันนิ่ง บรรยากาศรอบตัวดูพร่าเลือนไปชั่วขณะ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากเจ้าคนตัวสูง “...แล้วนายอ่ะ ก็รู้ใช่ป้ะ”

     

    “Yes, I do too.” คยอมตอบพร้อมกับยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆที่มาร์คเคยเห็น “...งั้นผมยอมให้พี่เป็นจีอึนทักก็ได้”

     

    “อ้าว ถ้าให้พี่เป็นแล้วนายจะเป็นอะไร กงยู?”

     

    “เป็นคุณยมฑูตครับ” พูดโดยไม่ได้หุบยิ้มแม้แต่น้อย

     

    “...”

     

    “คุณคิมมาร์ค คุณเกิดวันที่ 4 กันยายน 1993 ถูกต้องมั้ยครับ?”

     

    “...ครับ”

     

    คยอมเลื่อนถ้วยชาคาโมไมล์ที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆไปข้างหน้าอีกคน ชาอุ่นๆระเหยเป็นไอสีขาว ตัดกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยไฟประดับหลากสีในสวน

     

    “ถ้าอย่างนั้น คุณจะยอมดื่มชาถ้วยนี้...เพื่ออยู่กับผมตลอดไปไหมครับ :)”

     

    *

     

    11.59 p.m. December 24th,

    1 minute before Christmas Day

     

    ถ้วยชากลิ่นดอกคาโมไมล์หวานล้ำที่ว่างเปล่าถูกวางทิ้งไว้ในสวนหย่อมของโรงแรมในหน้าหนาวคู่กับชุดชากาใบสวย สวนแห่งนี้ถูกทิ้งให้ร้างผู้คนไปเกือบสามสิบนาทีหลังจากที่ชายคู่หนึ่งจะเดินกลับจากสวนเข้าไปด้านใน ดวงไฟในสวนหรี่แสงลงเหมือนกำลังจะดับ ทุกสรรพสิ่งกำลังเข้าสู้ห้วงนิทรา เตรียมพร้อมที่จะตื่นมารับแสงอรุณในยามเช้าที่สดใสของวันพรุ่งนี้ มันก็เหมือนกับทุกๆวัน แต่สำหรับคนสองคนที่พักกันอยู่ในห้องอันแสนอบอุ่น...คริสต์มาสที่จะถึงในวันพรุ่งนี้คงไม่เหมือนกับปีที่ผ่านมาอีกแล้ว…

     

    I wouldn't say it's over or ended

    It just begins

    ;)


    Talks

    สำหรับใครงงๆกับ first America หรือ first Canada ทีแรกเราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีเพราะเหมือมันเข้าใจอยู่แค่ในหัว TT แต่จะพยายามนะคะ คือเราคิดว่าเวลาคนเราไปท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ๆ หรือประเทศใหม่ๆเป็นที่แรก เราคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปความทรงจำจะจดจำว่าเรา 'ไปกับใคร' คือมันคล้ายๆกับ เราจะจำเขาในภาพ first place นั้นๆของเรา และการออกจาก safe-zone ไปในสถานที่แปลกใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้า แต่คนที่ไปด้วยกลับเป็นคนๆเดิม เราว่ามันพิเศษนะคะ เหมือนเราเริ่มต้นเดินทางครั้งใหม่กับคนเดิมอีกแล้ว ดูน่ารักดี...


    ปล. ติชมได้เลยค่ะ และขอให้ first place ของทุกคนเป็นความทรงจำที่ดีนะคะ...


    Tarry

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in