เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber | #Firthgrantsean and his nightmares
ตีลังกา | stranger roommate
  • Day 27: ตีลังกา (stranger roommate) | #Novelber

    Author: Sean

    Pairing: Colin Firth x Hugh Grant




     





    ตึก.. ตึก..

     

    เสียงของถุงพลาสติกแผ่นบางกระทบกันทุกครั้งที่ก้าวเท้าไปข้างหน้า พร้อมๆกับเสียงของส้นรองเท้าที่กระทบพื้นดังสะท้อนไปทั่วโถงทางเดิน

     



                หนักแน่น..ร้อนรน – ของหนัก เสียงความคิดที่ดังออกมาจากริมฝีปากบางท่ามกลางความมืดมิดที่รายล้อมรอบๆตัวเขา

     

     


                ตึก.. ตึก.. ตึก..

     

    เสียงย่ำฝีเท้ายังคงดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

     

     

                ตึก.. ตึก

     

    เสียงลากรองเท้าเข้ากระทบกันดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับเสียงยับของถุงพลาสติกที่ตกลงบนพื้น ไม่ใช่น้ำเสียงที่ดังเหมือนการโยนแต่เป็นการวางด้วยความระมัดระวัง

     

     


              “อืม..

     

    รอยยิ้มเหยียดที่ดูเหมือนการกระตุกของกล้ามเนื้อบนใบหน้า ปรากฏขึ้นที่มุมปากของคนที่อยู่ก่อนหน้าดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทเข้าหากัน แต่ดูเหมือนอวัยวะที่เขาใช้ทำงานจะมีเพียงแค่หูเท่านั้น

     

               


              ติ๊ด..ติ๊ด..ตี๊ด!”

     

    เสียงรูดคีย์การ์ดดังขึ้นที่ประตูด้านหน้าห้อง ใช่.. เขากำลังเปิดประตูห้องเข้ามา – ถุงพลาสติกถูกยกขึ้นอีกครั้งตามด้วยเสียงประตูกระแทกเข้าหาผนังอย่างจังเพราะแรงผลัก

     

     

    ประตูถูกปิดลงโดยอัตโนมัติพร้อมกับเสียงถุงพลาสติกที่กำลังถูกวางลงบนโต๊ะความมืดมิดทำให้เขามองเห็นเพียงแค่เงาลางๆของสิ่งของที่อยู่ภายในห้อง มือหนาพยายามควานหาปลั๊กไฟที่อยู่บนผนังตามความเคยชิน

     

     

    แสงสว่างจากหลอดไฟทำให้คอลินมองเห็นได้สะดวกยิ่งขึ้นแต่กลับกัน มันทำให้ฮิวจ์แทบจะลืมตาไม่ได้

     



    ปิดไฟนั่นซะน้ำเสียงเยียบเย็นถูกเอ่ยออกมาช้าๆแต่ชัดเจน.. ชัดเจนจนสามารถทำให้อีกคนที่ยืนอยู่ตกใจจนหงายหลังลงไปนั่งอยู่กับพื้นแทบจะไม่เป็นท่า

     


    ตาเถร!” ในสมองของคอลินตอนนี้คงเห็นเพียงแค่ภาพของแม่และพระเจ้าสลับกัน เขาหลับตาแน่น มือทั้งสองข้างจิกพื้นและสั่นระรัว

     


    เจ้างั่ง..ไม่มีตาเถรที่นี่หรอกนะ..ฮิวจ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดๆก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ทั้งๆที่ลืมตาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

     


    ฮ..ฮิวจ์เหรอดูเหมือนเมื่อภาพศาสดาของศาสนาที่นับถือและภาพของบุพการีที่รักยิ่งหายไป สติสตังก็เริ่มไหลกลับเข้ามาในสมองของคอลินอีกครั้ง – คำพูดแรกที่เขาเอ่ยถึงคือชื่อของรูมเมทที่เป็นคนบอกกับเขาเองว่าจะกลับบ้านเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

     


    หนะ..ไหนนายบอกว่ากลับบ้านตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วถึงสติจะกลับมาแทบครบแล้วแต่คอลินก็ยังคงขวัญผวาไม่หาย แหงสิ.. เจอคนตีลังกาห้อยหัวอยู่ข้างกำแพงแบบนี้

     


    ไปแล้ว มาแล้ว สั้นๆง่ายๆกระชับ และได้ใจความแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คอลินเข้าใจว่าทำไมถึงต้องอยู่ในท่านี้ในเมื่อนั่งหรือนอนธรรมดาๆเหมือนคนอื่นเขาก็ได้ – ถึงอย่างนั้นก็เถอะคอลินเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ารูมเมทของเขาก็ดูไม่เหมือนคนธรรมดาที่จะทำอะไรง่ายๆให้เหมือนที่คนปกติเขาจะทำกัน หลังจากที่สังเกตมาเกือบๆสองเดือน

     


    แล้วทำไมนายต้องนั่ง.. ไม่สิ.. ต้องบอกว่ายืน.. ไม่ มันก็ไม่ใช่อยู่ดี..เหมือนคอลินจะลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้ตัวเองเพิ่งจะตกใจล้มจนเสียท่า – เขาขยับลุกขึ้นนั่งยองๆมองอีกคนที่ยังคงหลับตาและห้อยหัว แต่ปากก็ขยับบ่นพึมพำกับตัวเองราวกับกำลังใช้ความคิด

     


    ถ้าไม่มีอะไรทำก็ช่วยอยู่นิ่งๆและเงียบปากซะ.. ฉันกำลังใช้สมาธิใบหน้าที่เรียบนิ่งราวกับรูปปั้นขยับเขยื้อนเพียงแค่ปากที่ใช้พูดเท่านั้น

     


    ตะ..แต่---” ชายหนุ่มร่างสูงแต่ใจเล็กพยายามจะพูดต่อ แต่ก็ถูกชายร่างผอมบางหยุดปากของเขาด้วยนัยน์ตาที่เบิกโพลงทันที่ที่คำพูดหลุดออกจากปาก

     


    ..ก็ได้” ถ้าเอานิ้วชี้จิ้มกันได้ คอลินคงทำไปแล้วติดเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายห้อยหัวจ้องเขาอยู่.. แค่นี้ก็โดนด่าว่าเป็นเด็กปัญญาอ่อนอยู่แล้ว และฮิวจ์ยังเคยบอกคอลินไว้ด้วยว่าให้เลิกทำท่าแบบนี้ เพราะมันเหมือนคนไร้ความคิด

     


    แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี ว่าทำไมต้องตีลังกาอยู่ในท่าแบบนี้ด้วย มันอาจทำให้ปวดหัวก็ได้นะ เพราะเขาเคยทำมาแล้ว


    ตอนเด็กๆน้องชายของเขาเคยบอกให้เขาห้อยหัวอยู่เกือบชั่วโมง เขาบอกว่าถ้าตีลังกาแล้วค้างขาไว้บนอากาศจะช่วยให้ฉลาดขึ้น เพราะเลือดจะไหลจากเท้าไปหัวเพื่อไปเลี้ยงสมอง

     


    ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เลือดจากเท้าไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้น .. หยุดทำหน้าโง่ๆแบบนั้นเสียทีเถอะฮิวจ์หย่อนแขนที่กอดอยู่บนอกลงมาค้ำกับพื้น ก่อนจะหย่อนขาทั้งสองข้างตามลงมาทีหลัง เขาใช้เวลาเพียงแค่สองวินาทีในการทรงตัวหลังจากยืนขึ้น ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เตียงของเขาและหยิบหนังสือการ์ตูนที่วางอยู่ใต้หมอนออกมาอ่าน

     

    ทิ้งให้อีกคนนั่งจมอยู่กับความเงียบงันและความสับสนในสิ่งที่น้องชายของเขาเคยบอกเมื่อตอนเด็กๆ

     

    แต่ว่า..โจอี้บอกแบบนี้จริงๆนะ

     




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in