“ขอรับใต้เท้า?”
“มีใครมารอพบกูหรือเปล่าวะ บะไท่ก์?”
บะไท่ก์นับนิ้ว “มีผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านติ๊ดปิ่นจีเอาของกำนัลมา แล้วก็มีชาวบ้านสองคนเอาของมาเหมือนกันขอรับ คนที่เป็นความกันในคดีทำร้ายร่างกายที่ใต้เท้าจะตัดสินน่ะขอรับ โกบะเซย์ หัวหน้าเสมียนของสำนักรองผู้แทนข้าหลวงประจำอำเภอก็มาขอพบ แล้วก็มีนายตำรวจอาลีชาห์กับโจรปล้นทรัพย์คนหนึ่งซึ่งกระผมไม่รู้จักชื่อ เข้าใจว่าสองคนนี้เถียงกันเรื่องกำไลทองที่ขโมยมา แล้วยังมีสาวชาวบ้านคนหนึ่งอุ้มเด็กแดงๆมาด้วยขอรับ”
“นังนั่นมันต้องการอะไร?” อูโพจีงถาม
“เห็นบอกว่าเด็กเป็นลูกของใต้เท้าขอรับ”
“อ้อ เหรอ แล้วนี่ผู้ใหญ่บ้านเขาเอามาเท่าไหร่?”
บะไท่ก์คิดว่าประมาณแค่สิบรูปีกับมะม่วงตะกร้าหนึ่ง
“มึงไปบอกผู้ใหญ่นะ” อูโพจีงสั่ง “ว่าควรจะต้องเป็นยี่สิบรูปี ไม่งั้นทั้งผู้ใหญ่และชาวบ้านจะลำบากนะ ถ้าเงินยังมาไม่ถึงวันพรุ่งนี้คนอื่นๆเดี๋ยวกูจะให้เข้าพบ ไปตามโกบะเซย์มาหาหน่อย”
ครู่ต่อมาบะเซย์ก็ปรากฏกาย เขาเป็นคนตัวตรง ไหล่แคบ ร่างสูงมากสำหรับชาวพม่า ใบหน้าเนียนประหลาดแท้ชวนให้นึกถึงขนมบลองมองฌ์*รสกาแฟ อูโพจีงเห็นว่าคนนี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ บะเซย์เป็นเสมียนที่วิเศษ ทำงานหนักและไม่มีจินตนาการ ทั้งเป็นคนที่มิสเตอร์แม็กเกรเกอร์ผู้แทนข้าหลวงไว้วางใจในข้อราชการที่เป็นความลับแทบทั้งปวง อูโพจีงครึ้มใจในความคิดของตนเองจึงหัวเราะร่าขณะทักทายโกบะเซย์ พลางผายมือไปทางเชี่ยนหมากเป็นเชิงเชื้อเชิญให้กิน
“ว่าไง โกบะเซย์ เรื่องไปถึงไหนแล้วล่ะ? หวังว่าคงจะเหมือนกับที่มิสเตอร์แม็กเกรเกอร์ที่รักของเราชอบพูดนะว่า…” อูโพจีงเอ่ยต่อเป็นภาษาอังกฤษ “...อี้ต อี้ส เม้กกิ้ง เพอร์เซ็ปติเบิ้ล โพรเกรส [เห็นได้ว่ากำลังก้าวหน้า]?”
บะเซย์ลงนั่งหลังตรงแน่วที่เก้าอี้ว่าง เขาตอบโดยไม่ได้ยิ้มขบขันตลกของอูโพจีง
“ไปได้ดียอดเยี่ยมครับใต้เท้า หนังสือพิมพ์มาถึงเราเมื่อเช้านี้เองครับ ใต้เท้าโปรดพิจารณา”
อยากซื้อคะ