เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
พม่ารำลึกtyphoonbooks
บทที่ 1
  • อูโพจีง ผู้พิพากษาศาลแขวงแห่งเมืองเจ้าก์ตะดาในพม่าตอนเหนือ นั่งอยู่ที่ระเบียงบ้าน เวลาเพิ่งจะแปดโมงครึ่ง แต่เพราะเป็นเดือนเมษายนอากาศจึงอบอ้าว บ่งว่าช่วงเที่ยงวันจะร้อนอ้าวไปอีกนาน กล้วยไม้ที่เพิ่งรดน้ำไปหมาดๆแขวนอยู่ตามชายคาแกว่งไกวเบาๆ เมื่อต้องลมเอื่อยที่โชยมาเป็นครั้งครา รู้สึกราวเป็นลมเย็นไปทีเดียวเมื่อเทียบกับความร้อนของอากาศ ถัดจากกล้วยไม้ไปจะเห็นต้นตาล ลำต้นอูมเขรอะฝุ่นดิน เลยขึ้นไปเป็นท้องฟ้าสีสดเจิดจ้า มีแร้งสองสามตัวบินร่อนวนโดยไม่กระพือปีกอยู่บนยอดฟ้าสูงลิบจนทำให้ตาพร่าเมื่อเงยหน้าขึ้นดู 

    อูโพจีงเหม่อมองไม่กะพริบตาออกไปยังแสงแดดจ้า จนดูราวเทวรูปกระเบื้องเคลือบ เขาอายุราวห้าสิบปี ร่างอ้วนเสียจนหลายปีที่ผ่านมาต้องให้คนช่วยพยุงเวลาลุกจากเก้าอี้ แต่รูปร่างก็ยังมีทรวดทรงและซ้ำดูงามทั้งที่พ่วงพี เนื่องจากคนพม่าไม่ได้อ้วนเผละเหมือนคนผิวขาว แต่อวบอูมเสมอกันทุกส่วนทั้งตัวเหมือนผลไม้ที่อวบเป่ง อูโพจีงมีใบหน้าใหญ่ ผิวหน้าเหลืองและไม่ค่อยมีรอยย่น ดวงตาสีน้ำตาลปนเหลือง เท้าที่สั้นม่อต้อ ฝ่าเท้าโก่งสูงและนิ้วเท้ายาวเสมอกันนั้นไม่ได้สวมรองเท้า เช่นเดียวกับศีรษะที่ตัดผมเกรียนก็ไม่ได้โพกผ้า เขาสวมผ้าโสร่งที่เรียกว่าโลงจี เป็นแบบชาวยะไข่ สีสดตาหมากรุกสีเขียวสลับม่วงแดง เหมือนที่ชาวพม่าชอบสวมในโอกาสลำลอง อูโพจีงเคี้ยวหมากจากเชี่ยนหมากเขินบนโต๊ะพลางหวนคิดถึงชีวิตในอดีต

    ชีวิตของเขาเท่าที่ผ่านมาก็เจริญรุ่งเรืองดี อูโพจีงนึกย้อนไปสมัยตั้งแต่ที่ตนเริ่มจำความได้เมื่อช่วงคริสต์ทศวรรษ 1880 ตอนที่ยังเป็นเด็กพุงโรยืนแก้ผ้ามองดูกองทหารอังกฤษตบเท้าเข้ากรุงมัณฑะเลย์อย่างมีชัย เขาจำได้ว่ารู้สึกหวาดกลัวเจ้าพวกกินเนื้อวัวซึ่งล้วนเป็นคนตัวสูงใหญ่ หน้าแดง สวมเสื้อแดง อูโพจีงยังจำปืนไรเฟิลกระบอกยาวที่พวกนั้นแบกไว้บนบ่ากับเสียงรองเท้าบู๊ตที่กระทืบเป็นจังหวะได้ เขาวิ่งแจ้นหลังจากมองดูคนพวกนี้เพียงไม่กี่นาที ตามความคิดแบบเด็กๆเขาพอรู้ว่าพี่น้องร่วมชาติไม่อาจเทียบกับพวกชนชาติร่างใหญ่ยักษ์เหล่านี้ได้ การได้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ข้างเดียวกับพวกอังกฤษและได้แฝงตัวเป็นพยาธิอาศัยเกาะคนพวกนี้ จึงกลายเป็นความทะเยอทะยานที่ครอบงำจิตใจของเขามาตลอดตั้งแต่ยังเด็กด้วยซ้ำไป

    ครั้นอายุได้สิบเจ็ดปีเขาก็ลองสมัครสอบเป็นข้าราชการแต่สอบตก เขาทั้งยากจนและไร้เพื่อน ต้องไปทำงานเป็นเสมียนให้พ่อค้าข้าวอยู่ในตลาดสดที่มีทางเดินวกวนส่งกลิ่นหึ่งในมัณฑะเลย์เป็นเวลานานถึงสามปี บางครั้งเขาก็เบียดบังจากนายจ้าง พออายุได้ยี่สิบเขามีโชค หาเงินได้ถึงสี่ร้อยรูปีจากการขู่กรรโชก จึงมุ่งหน้าไปย่างกุ้งในทันที แล้วก็อาศัยการติดสินบนจนได้งานราชการตำแหน่งเสมียน งานนี้ให้ผลประโยชน์มากแม้ว่าเงินเดือนจะน้อย ในสมัยนั้นมีเสมียนกลุ่มหนึ่งหารายได้ประจำจากการยักยอกของในคลังของรัฐบาล โพจีงเข้าร่วมวงด้วยอย่างไม่ขัดเขิน (ตอนนั้นเขาเป็นเพียง “โพจีง” อีกหลายปีต่อมาจึงได้คำนำหน้าว่า “อู” ซึ่งใช้เรียกแสดงความนับถือ) แต่เขาก็มีความสามารถเกินกว่าจะเป็นเสมียนต๊อกต๋อยคอยขโมยเศษเงินเพียงไม่กี่อันนาไม่กี่ไพซ์อยู่เช่นนั้น วันหนึ่งโพจีงได้ข่าวว่าทางรัฐบาลซึ่งขาดแคลนเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย กำลังจะเลื่อนตำแหน่งเสมียนบางคนให้สูงขึ้น ข่าวนี้จะทราบทั่วกันในสัปดาห์ต่อมา แต่คุณสมบัติเด่นของโพจีงข้อหนึ่งก็คือมักจะได้รับข่าวสารก่อนคนอื่นๆหนึ่งสัปดาห์ เขาเห็นช่องทาง จึงแฉโพยกลุ่มพลพรรคผู้สมรู้ร่วมคิดหมดทุกคนก่อนที่พวกนั้นจะไหวทัน ส่วนมากก็โดนส่งเข้าคุกส่วนโพจีงได้ครองตำแหน่งผู้ช่วยกำนันเป็นการตอบแทนความซื่อตรง นับแต่นั้นมาเขาก็เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ บัดนี้เมื่ออายุได้ห้าสิบหก โพจีงก็ได้เป็นผู้พิพากษาศาลแขวง ต่อไปคงจะได้เลื่อน
    ตำแหน่งขึ้นไปอีกจนถึงขั้นรองข้าหลวง โดยมีฐานะทัดเทียมคนอังกฤษและซ้ำจะเหนือกว่าพวกนั้นหลายคนเสียอีกด้วย
  • อูโพจีงมีหลักง่ายๆ ในการทำหน้าที่ผู้พิพากษาคือ จะไม่ยอมตัดสินคดีตามที่มีคนติดสินบน ไม่ว่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่สักเพียงใดก็ตาม เพราะเขารู้ดีว่าผู้พิพากษาที่ตัดสินอย่างอยุติธรรมย่อมจะถูกจับได้ไม่ช้าก็เร็ว อูโพจีงใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่านั้นคือ รับสินบนจากทั้งสองฝ่ายที่เป็นคู่ความ แล้วตัดสินคดีไปตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด วิธีนี้ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ลำเอียง ซึ่งก็เป็นผลดีกับตัวเขาเอง นอกจากรายได้จากผู้ที่เป็นคดีความกันแล้ว อูโพจีงยังเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากชาวบ้านทุกคนในเขตอำนาจศาลของตนอย่างไม่ผ่อนผันหยุดหย่อน หากหมู่บ้านใดขาดส่งส่วย เขาก็จะใช้มาตรการลงโทษ อาทิเช่น หมู่บ้านนั้นจะถูกโจรปล้นหรือคนสำคัญๆ ของหมู่บ้านนั้นจะโดนจับด้วยข้อหาต่างๆที่เป็นเท็จและไม่ช้าก็จะต้องยอมจ่ายเงินค่าคุ้มครองที่ค้างอยู่ อูโพจีงได้รับส่วนแบ่งจากการปล้นครั้งใหญ่ๆที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นด้วย เรื่องทั้งหมดนี้เป็นที่รู้กันทั่วทุกตัวคน ยกเว้นก็แต่เจ้าหน้าที่ตำแหน่งสูงกว่าเขา (ไม่มีเจ้าพนักงาน
    ชาวอังกฤษคนใดจะเชื่อเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับคนของตน) แต่ความพยายามจะเปิดโปงอูโพจีงก็ล้มเหลวเสมอมา ผู้สนับสนุนที่ซื่อสัตย์ต่ออูโพจีงเพราะได้ส่วนแบ่งนั้นมีจำนวนมากเกินไป เมื่อมีผู้กล่าวหา
    อูโพจีงก็จะลบล้างเสียด้วยการปั้นพยานเท็จขึ้นมาหลายคนและตามมาด้วยการฟ้องกลับ ซึ่งจะทำให้เขามีฐานะมั่นคงน่าเชื่อถือยิ่งกว่าเดิมอีก เรียกได้ว่าไม่มีใครทำอะไรอูโพจีงได้ เพราะเขาอ่านคนเก่งเกินกว่าจะเลือกใช้คนผิดและเพราะเขาหมกมุ่นกับเล่ห์เพทุบายนานาจนช่ำชองเกินกว่าจะพลาดด้วยความประมาทหรือความเขลา เราอาจกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่าจะไม่มีใครเปิดโปงความผิดของอูโพจีงได้ เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตยิ่งๆขึ้นไป และสุดท้ายจะตายอย่างบุคคลผู้ทรงเกียรติ มีเงินทองหลายแสนรูปี

    ถึงแม้จะตายไปแล้วความสำเร็จของเขาก็จะยังดำเนินต่อไป ศาสนาพุทธเชื่อว่าผู้ก่อกรรมชั่วในชาตินี้เมื่อตายแล้วจะไปเกิดเป็นหนู เป็นกบ หรือเป็นสัตว์เดียรัจฉานอะไรสักอย่าง อูโพจีงเป็นชาวพุทธที่ดีและตั้งใจจะเตรียมการเพื่อป้องกันอันตรายที่ว่ามานี้ เขาจะอุทิศบั้นปลายชีวิตทำความดี ให้กรรมดีมีน้ำหนักมากกว่ากรรมชั่วของช่วงอื่นๆแห่งชีวิต บางทีกรรมดีที่ว่านี้อาจจะมาในรูปของการสร้างเจดีย์ โดยอาจจะสร้างสักสี่ ห้า หกหรือเจ็ดองค์ แล้วแต่ว่าพระท่านจะบอกว่าควรสร้างสักเท่าใด เขาจะให้มีหินสลักประดับกลดปิดทอง มีระฆังเล็กๆให้ลมพัดดังกรุ๋งกริ๋ง ทุกครั้งที่ระฆังดังขึ้นก็เท่ากับว่าได้สวดมนต์ไปหนึ่งจบ แล้วเขาก็จะได้กลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ผู้ชายทั้งนี้เพราะผู้หญิงนั้นมีฐานะเพียงเท่ากับหนูหรือกบ หรืออย่างดีก็แค่เสมอสัตว์ชั้นสูง เช่น ช้าง

    ความคิดเหล่านี้พรั่งพรูผ่านจิตใจของอูโพจีง โดยส่วนมากคิดเป็นภาพต่างๆ แม้เขาจะมีสมองที่เจ้าเล่ห์แต่มันก็หยาบช้าและไม่เคยทำงานนอกจากเวลาที่มีจุดมุ่งหมายอะไรสักอย่างที่แน่ชัด จะให้เพียงคิดรำพึงไปเฉยๆนั้นเกินความสามารถ ตอนนี้อูโพจีงได้มาถึงจุดที่ตนหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่ เขาจับแขนเก้าอี้ด้วยมือซึ่งค่อนข้างเล็กและปลายเรียวจนดูเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วเอี้ยวตัวหันไปเรียก เสียงเหมือนคนหอบหืด

    “บะไท่ก์! เฮ้ย! ไอ้บะไท่ก์!”

    คนรับใช้ของอูโพจีงชื่อบะไท่ก์โผล่จากหลังม่านลูกปัดออกมาที่ระเบียง เป็นชายร่างเล็กแคระ หน้ามอด ผิวหยาบพรุน ท่าทางเงื่องหงิมและหิวโหย อูโพจีงไม่ได้ให้เงินเดือนบะไท่ก์ ทั้งนี้เพราะบะไท่ก์เป็นนักโทษคดีลักขโมย ซึ่งวาจาเพียงคำเดียวเท่านั้นก็อาจส่งไปเข้าคุกได้แล้ว ขณะเข้ามาบะไท่ก์ก็ไหว้ค้อมต่ำเสียจนดูราวกับกำลังเดินถอยหลัง
  • “ขอรับใต้เท้า?”

    “มีใครมารอพบกูหรือเปล่าวะ บะไท่ก์?”

    บะไท่ก์นับนิ้ว “มีผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านติ๊ดปิ่นจีเอาของกำนัลมา แล้วก็มีชาวบ้านสองคนเอาของมาเหมือนกันขอรับ คนที่เป็นความกันในคดีทำร้ายร่างกายที่ใต้เท้าจะตัดสินน่ะขอรับ โกบะเซย์ หัวหน้าเสมียนของสำนักรองผู้แทนข้าหลวงประจำอำเภอก็มาขอพบ แล้วก็มีนายตำรวจอาลีชาห์กับโจรปล้นทรัพย์คนหนึ่งซึ่งกระผมไม่รู้จักชื่อ เข้าใจว่าสองคนนี้เถียงกันเรื่องกำไลทองที่ขโมยมา แล้วยังมีสาวชาวบ้านคนหนึ่งอุ้มเด็กแดงๆมาด้วยขอรับ”

    “นังนั่นมันต้องการอะไร?” อูโพจีงถาม

    “เห็นบอกว่าเด็กเป็นลูกของใต้เท้าขอรับ”

    “อ้อ เหรอ แล้วนี่ผู้ใหญ่บ้านเขาเอามาเท่าไหร่?”

    บะไท่ก์คิดว่าประมาณแค่สิบรูปีกับมะม่วงตะกร้าหนึ่ง

    “มึงไปบอกผู้ใหญ่นะ” อูโพจีงสั่ง “ว่าควรจะต้องเป็นยี่สิบรูปี ไม่งั้นทั้งผู้ใหญ่และชาวบ้านจะลำบากนะ ถ้าเงินยังมาไม่ถึงวันพรุ่งนี้คนอื่นๆเดี๋ยวกูจะให้เข้าพบ ไปตามโกบะเซย์มาหาหน่อย”

    ครู่ต่อมาบะเซย์ก็ปรากฏกาย เขาเป็นคนตัวตรง ไหล่แคบ ร่างสูงมากสำหรับชาวพม่า ใบหน้าเนียนประหลาดแท้ชวนให้นึกถึงขนมบลองมองฌ์*รสกาแฟ อูโพจีงเห็นว่าคนนี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ บะเซย์เป็นเสมียนที่วิเศษ ทำงานหนักและไม่มีจินตนาการ ทั้งเป็นคนที่มิสเตอร์แม็กเกรเกอร์ผู้แทนข้าหลวงไว้วางใจในข้อราชการที่เป็นความลับแทบทั้งปวง อูโพจีงครึ้มใจในความคิดของตนเองจึงหัวเราะร่าขณะทักทายโกบะเซย์ พลางผายมือไปทางเชี่ยนหมากเป็นเชิงเชื้อเชิญให้กิน

    “ว่าไง โกบะเซย์ เรื่องไปถึงไหนแล้วล่ะ? หวังว่าคงจะเหมือนกับที่มิสเตอร์แม็กเกรเกอร์ที่รักของเราชอบพูดนะว่า…” อูโพจีงเอ่ยต่อเป็นภาษาอังกฤษ “...อี้ต อี้ส เม้กกิ้ง เพอร์เซ็ปติเบิ้ล โพรเกรส [เห็นได้ว่ากำลังก้าวหน้า]?”

    บะเซย์ลงนั่งหลังตรงแน่วที่เก้าอี้ว่าง เขาตอบโดยไม่ได้ยิ้มขบขันตลกของอูโพจีง

    “ไปได้ดียอดเยี่ยมครับใต้เท้า หนังสือพิมพ์มาถึงเราเมื่อเช้านี้เองครับ ใต้เท้าโปรดพิจารณา”

  • บะเซย์เอาหนังสือพิมพ์ทวิภาษาฉบับหนึ่งชื่อว่า เดอะเบอร์มีส แพตทริอ็อต ออกมา เป็นหนังสือพิมพ์ขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดแปดหน้า พิมพ์อย่างเลวด้วยกระดาษชนิดหยาบพอๆ กับกระดาษซับหมึกและประกอบด้วยข่าวที่ขโมยมาจากหนังสือ เดอะ แรงกูน กาแซตต์ เนื้อหาค่อนไปทางปลุกใจให้รักชาติอย่างอ่อนๆ หน้าสุดท้ายตัวพิมพ์เคลื่อน ทำให้หมึกเปื้อนเลอะจนดำปื้นไปทั้งหน้า ราวจะไว้ทุกข์ให้กับยอดพิมพ์จำหน่ายอันน้อยนิดของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ บทความที่อูโพจีงเปิดขึ้นอ่านไม่ค่อยจะเหมือนบทความอื่นๆ โดยมีเนื้อความดังนี้

    ในยุคแห่งความสุขสบายที่ผองเราชาวผิวดำผู้ต่ำต้อยได้รับการยกระดับขึ้นโดยอารยธรรมตะวันตกอันทรงพลังยิ่งใหญ่พร้อมด้วยคุณวิเศษนานัปการ เช่น ภาพยนตร์ ปืนกล ซิฟิลิส ฯลฯ เช่นนี้ เรื่องใดจะจรรโลงใจเรายิ่งไปกว่าเรื่องชีวิตส่วนตัวของชาวยุโรปผู้มีพระคุณของเราอีกเล่า? เราจึงคิดว่าท่านผู้อ่านคงจะสนใจฟังบางเรื่องที่เกิดในเมืองเจ้าก์ตะดาซึ่งอยู่ทางเหนือ โดยเฉพาะเรื่องมิสเตอร์แม็กเกรเกอร์ ท่านรองผู้แทนข้าหลวงผู้ทรงเกียรติแห่งเมืองนั้น

    มิสเตอร์แม็กเกรเกอร์เป็นสุภาพบุรุษอังกฤษขนานแท้และดั้งเดิม ดังที่มีตัวอย่างให้เราเห็นหลายรายในยุคอันแสนสุขนี้ ท่านเป็นคนอย่างที่ชาวอังกฤษญาติร่วมโลกของเราเรียกว่า “คนรักครอบครัว” มิสเตอร์แม็กเกรเกอร์ช่างรักการมีครอบครัวจริงแท้ทีเดียว รักเสียจนบัดนี้ท่านมีลูกถึงสามคนแล้วในเมืองเจ้าก์ตะดาที่ซึ่งท่านเพิ่งมาประจำอยู่ได้เพียงปีเดียว ส่วนในเมืองเฉว่เมียวที่ท่านประจำอยู่ก่อนหน้านี้ ท่านก็ได้ทิ้งผลิตผลไว้ถึงหกชีวิต บางทีมิสเตอร์แม็กเกรเกอร์อาจไม่ทันนึก จึงได้ทิ้งทารกน้อยเหล่านี้ไว้โดยไม่ได้บำรุงเลี้ยงดู แม่ของเด็กเหล่านี้ต่างก็อับจนเจียนอดตาย ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

    มีข้อความทำนองนี้ไปอีกคอลัมน์หนึ่ง และถึงแม้คุณภาพจะเลว แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าบทความอื่นๆทั้งหมดในหนังสือพิมพ์นั้น อูโพจีงยืดแขนถือหนังสือพิมพ์ไว้สุดมือเพราะสายตายาว เขาอ่านอย่างละเอียดจนจบพลางเหยียดริมฝีปากออกอย่างครุ่นคิด ทำให้แลเห็นฟันซี่เล็กๆจำนวนมากที่มีสภาพสมบูรณ์และล้วนแดงสดดังเลือดเพราะคราบน้ำหมาก

    “บรรณาธิการจะโดนขังหกเดือนโทษฐานที่ลงพิมพ์” อูโพจีงเอ่ยขึ้นในที่สุด

    “มันไม่เดือดร้อนหรอกครับ มันบอกว่าเวลาเดียวที่ไม่โดนเจ้าหนี้รังควานก็คือตอนที่โดนขังคุก”

    “แล้วแกบอกว่าไอ้เสมียนฝึกงานของแกที่ชื่อหละเผ่เป็นคนเขียนเรอะ? ไอ้หมอนี่ฉลาดเอาเรื่อง--ท่าจะไปได้ไกล! อย่ามาบอกข้าอีกเชียวว่าโรงเรียนมัธยมของรัฐบาลนี่ไม่ได้เรื่อง หละเผ่มันจะต้องได้งานเป็นเสมียนแน่”

    “งั้นใต้เท้าคิดว่าบทความนี้พอแล้วหรือครับ?”

    อูโพจีงมิได้ตอบในทันใด เขาเริ่มส่งเสียงเหนื่อยหอบเพราะพยายามลุกจากเก้าอี้ บะไท่ก์คุ้นเสียงนี้ดีจึงรีบโผล่ออกมาจากหลังม่านลูกปัดเพื่อช่วยบะเซย์พยุงปีกอูโพจีงให้ลุกขึ้นยืน อูโพจีงยืนโงนเงนตั้งหลักครู่หนึ่งเพื่อเลี้ยงน้ำหนักพุง ท่าทางราวคนแบกเข่งปลากำลังปรับดุลน้ำหนักของที่แบกอยู่ แล้วเขาก็โบกมือไล่บะไท่ก์ไป

    “ไม่พอ” เขาตอบบะเซย์ “ยังไงก็ไม่พอ ยังต้องทำอีกมาก แต่ก็นับว่าเริ่มได้ถูกทางแล้ว ฟังนะ”

    อูโพจีงเดินไปที่ราวระเบียงเพื่อบ้วนน้ำหมากสีแดงก่ำ แล้วเอามือไพล่หลังและออกเดินก้าวสั้นๆวนเวียนอยู่บนระเบียง ต้นขาที่ใหญ่โตเสียดสีกันทำให้เดินขาถ่างตัวโยกเยกเล็กน้อย เขาเดินไปพลางก็พูดด้วยสำนวนที่มักใช้กันเป็นพื้นตามหน่วยงานราชการ คือประกอบด้วยคำกริยาภาษาพม่าปนกับวลีนามธรรมเป็นภาษาอังกฤษ

    “เอาละ ไหนคิดดูให้ดีแต่ต้นซิ เรากำลังจะรวมหัวกันโจมตี หมอวีรสวามีซึ่งรับราชการเป็นศัลยแพทย์และพัศดี เราจะต้องป้ายสีทำลายชื่อเสียงและทำให้มันฉิบหายไปตลอดกาลในที่สุด เรื่องนี้จะต้องทำอย่างแนบเนียนสักหน่อย”

    “ขอรับใต้เท้า”
  • “เราต้องไม่เสี่ยง แต่ต้องดำเนินการไปช้าๆ เราไม่ได้กำลังจัดการกับเสมียนชั้นเลวหรือตำรวจหางแถว แต่เรากำลังจัดการกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง การเล่นงานเจ้าหน้าที่ระดับนี้ ถึงจะเป็นแขกก็เถอะ ก็ย่อมจะไม่เหมือนที่เราเล่นงานเสมียนสักคน เราจะจัดการกับเสมียนได้ยังไงรึ? ง่าย เพียงคำกล่าวหา มีพยานสักสองโหล ปลดออกและขังคุก แต่กรณีนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ วิธีของข้านั้นต้องค่อยๆ ค่อยๆ ต้องไม่มีเรื่องอื้อฉาว ที่สำคัญต้องไม่มีการสอบสวนเป็นทางการ ไม่มีการกล่าวหาที่มันสามารถโต้แย้งได้ แต่คอยดูเถอะ ภายในสามเดือนข้าจะฝังความคิดเข้าไปในหัวชาวยุโรปทุกคนในเจ้าก์ตะดาว่าหมอเป็นคนชั่วช้า ข้าจะกล่าวหามันว่ายังไงดี? จะว่ารับสินบนก็ไม่ได้ เพราะอาชีพหมอมันไม่มีสินบนอะไรจะให้กิน แล้วจะกล่าวหาเรื่องอะไรดีล่ะ?”

    “บางทีเราจัดให้นักโทษแข็งข้อลุกฮือขึ้นในเรือนจำก็ได้ครับใต้เท้า” บะเซย์ว่า “ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเรือนจำ หมอต้องโดนตำหนิ”

    “ไม่ได้ อันตรายไป ข้าไม่อยากให้ผู้คุมนักโทษเที่ยวยิงปืนเปะปะไปหมด แล้วอีกอย่างคือมันสิ้นเปลืองเกินไป ฉะนั้นก็เห็นชัดแล้วว่าต้องเป็นเรื่องความไม่จงรักภักดี--เรื่องชาตินิยม เรื่องการโฆษณายุยงก่อกวน เราต้องจูงใจไอ้พวกยุโรปว่าหมอมีความคิดต่อต้านและไม่จงรักภักดีต่ออังกฤษ นี่แหละเลวร้ายเสียยิ่งกว่าการรับสินบนอีก พวกนั้นมันคาดว่าคนพื้นเมืองต้องกินสินบนอยู่แล้ว แต่ลองให้มันสงสัยในความจงรักภักดีแม้สักชั่วขณะเดียวเท่านั้น หมอก็จะสิ้นชื่อ”

    “เรื่องนี้เราคงพิสูจน์ได้ยากนะครับ” บะเซย์ค้าน “หมอจงรักภักดีฝรั่งมาก แกจะโกรธเวลามีใครว่าอะไรคนพวกนั้น ใต้เท้าไม่คิดหรือครับว่าพวกฝรั่งจะต้องรู้เรื่องนี้?”

    “ไม่หรอก มันจะไปรู้อะไร” อูโพจีงพูดเสียงเอื่อยๆอย่างสบายใจ “ไอ้พวกฝรั่งมันไม่มีหน้าไหนสนใจเรื่องข้อพิสูจน์อะไรทั้งนั้น ถ้าไอ้คนที่ว่านี้มันตัวดำๆแล้วละก็ แค่โดนสงสัยก็คือข้อพิสูจน์แล้ว บัตรสนเท่ห์สักไม่กี่ฉบับก็คงได้ผลน่าอัศจรรย์ เรื่องอย่างนี้มันต้องตอกย้ำไม่ลดละ ต้องคอยกล่าวหา กล่าวหามันไปเรื่อยๆ กับพวกฝรั่งเราต้องใช้วิธีแบบนี้แหละ แล้วทีนี้พอเราแหย่จนมันเริ่มระแวงขึ้นมาเต็มที่แล้ว--” อูโพจีงปล่อยมือข้างหนึ่งที่ไพล่หลังขึ้นมาดีดนิ้วดังเปาะแล้วกล่าวต่อ “เราเริ่มด้วยบทความชิ้นนี้ใน เดอะ เบอร์มีส แพตทริอ็อต ไง พวกฝรั่งคงจะเอะอะโกรธเกรี้ยวกันน่าดูเวลาที่ได้อ่าน ขั้นต่อไปคือ
    เราต้องจูงใจให้มันเชื่อว่าหมอเป็นคนเขียน”

    “คงจะยากนะขอรับ เพราะหมอมีเพื่อนฝรั่งอยู่หลายคน พวกฝรั่งไปหาหมอกันทุกคนเวลาที่ไม่สบาย หมอยังเคยรักษาอาการท้องอืดของมิสเตอร์แม็กเกรเกอร์เมื่อตอนหน้าหนาวนี้เลยครับใต้เท้า รู้สึกว่าพวกนั้นจะยกย่องว่าเป็นหมอที่เก่งมากคนหนึ่ง”

    “แกนี่ช่างเข้าใจความคิดจิตใจของพวกฝรั่งน้อยเหลือเกินโกบะเซย์เอ๋ย! ที่พวกฝรั่งมันไปหาวีรสวามีก็เพราะว่าไม่มีหมอคนอื่นอีกแล้ว ในเจ้าก์ตะดา ไอ้พวกนี้มันไม่ไว้เนื้อเชื่อใจคนหน้าดำๆหรอกว่ะ ไม่หรอก เรื่องบัตรสนเท่ห์นี่ก็ขอให้ส่งไปให้มากพอเท่านั้นแหละ สักหน่อยเถอะข้าจะจัดการไม่ให้หมอมีเพื่อนเหลือสักคนเดียว”

    “ยังมีมิสเตอร์ฟลอรี่ พ่อค้าไม้” บะเซย์ว่า (เขาออกเสียงว่า“มิสเตอร์พอร์ลี่ย์”) “เป็นเพื่อนสนิทของหมอ ผมเห็นเวลาที่เขาอยู่ในเจ้าก์ตะดา เขาจะแวะไปเยี่ยมหมอที่บ้านทุกเช้า เคยถึงกับเชิญหมอไปกินอาหารค่ำตั้งสองครั้ง”
  • “เออ แกพูดถูก ถ้าฟลอรี่เป็นเพื่อนของหมอก็อาจเป็นผลร้ายกับเราได้ เราจะทำอะไรคนอินเดียที่มีเพื่อนฝรั่งไม่ได้ เพราะมันทำให้ไอ้คนนั้นมี--มีอะไรนะ คำที่มันชอบใช้กันนัก--มีศักดิ์ศรี แต่พอเกิดเรื่องยุ่งๆ ขึ้นฟลอรี่มันจะต้องทิ้งเพื่อนมันแน่ ไอ้พวกนี้มันไม่มีความซื่อสัตย์ต่อคนพื้นเมืองหรอก อีกอย่าง ข้าเผอิญรู้ว่าไอ้ฟลอรี่มันขี้ขลาด ไอ้หมอนี่ข้าจัดการได้ ส่วนแกน่ะ โกบะเซย์ แกต้องคอยดูความเคลื่อนไหวของมิสเตอร์แม็กเกรเกอร์เอาไว้ พักหลังมานี่มันเขียนอะไรไปถึงท่านผู้แทนข้าหลวงบ้างหรือเปล่า--หมายถึงพวกเอกสารปกปิดน่ะ?”

    “เขียนเมื่อสองวันที่แล้วครับ แต่พอเราแอบเอาจดหมายไปอังไอน้ำเปิดอ่านดู ก็ไม่พบอะไรสำคัญ”

    “เออ ดีละ เราจะหาอะไรให้มันเขียนเอง ทันทีที่มันเริ่มสงสัย หมอ ก็เท่ากับถึงเวลาที่เราจะเริ่มอีกเรื่องที่ข้าเคยบอกแกแล้ว ทีนี้ละเราก็จะ--มิสเตอร์แม็กเกรเกอร์มันเรียกว่าไงนะ? อ้อ ‘ยิงกระสุนนัดเดียว
    ได้นกสองตัว’ แต่นี่ได้นกทั้งฝูงเลยว่ะ--ฮ่า ฮ่า!”

    เสียงหัวเราะของอูโพจีงเป็นเสียงน่าชังที่ผุดกระเพื่อมขึ้นมาจากส่วนลึกในท้อง เหมือนเสียงตอนกำลังจะไอ แต่ก็เป็นเสียงที่เริงร่าแทบเหมือนเด็กหัวเราะ เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมถึง “อีกเรื่อง” ที่ว่าซึ่งเป็นเรื่องลับเฉพาะเกินกว่าจะนำมาพูดแม้ที่ระเบียงบ้าน บะเซย์เห็นว่าหมดเรื่องแล้วจึงลุกขึ้นยืนและโค้งตัวงอเป็นมุมหักเหมือนไม้ฉาก

    “ใต้เท้ามีอะไรจะสั่งอีกหรือเปล่าขอรับ?” บะเซย์ถาม

    “ดูให้แน่ใจว่ามิสเตอร์แม็กเกรเกอร์ได้อ่าน เดอะ เบอร์มีส แพตทริอ็อต ด้วย แล้วแกไปบอกหละเผ่ให้มันอ้างว่าป่วยท้องเสีย จะได้ไม่ต้องไปทำงาน ข้าจะให้มาช่วยเขียนบัตรสนเท่ห์ ตอนนี้แค่นี้ก่อน”

    “กระผมไปได้แล้วใช่ไหมขอรับ?”

    “ไปดีมาดีเถอะ” อูโพจีงพูดใจลอยๆแล้วก็ตะโกนเรียกหาบะไท่ก์อีกในทันที เขาไม่เคยเสียเวลาแม้ชั่วขณะเดียวในแต่ละวัน อูโพจีงใช้เวลาไม่นานนักก็เสร็จธุระกับผู้มาเยือนรายอื่นๆ รวมทั้งได้ไล่หญิงสาวชาวบ้านไปโดยไม่ได้ให้อะไรเลยหลังจากที่พินิจใบหน้าแล้วบอกว่าจำไม่ได้ ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเช้าของเขาแล้ว ท้องไส้เริ่มทรมานด้วยความหิวจี๊ดอย่างรุนแรงซึ่งโจมตีอูโพจีงในเวลานี้ทุกเช้าอย่างตรงเวลาเผง เขาตะโกนเร่งเร้า

    “บะไท่ก์! บะไท่ก์โว้ย! ขิ่น ขิ่น! ยกสำรับได้แล้ว! เร็วๆเข้า หิวจะตายแล้วโว้ย!”

    ในห้องนั่งเล่นหลังม่านมีโต๊ะที่วางสำรับอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว มีข้าวโถใหญ่และกับข้าวกว่าสิบสองจาน มีทั้งแกงกะหรี่ กุ้งแห้ง และมะม่วงดิบที่ฝานไว้ อูโพจีงเดินขาปัดไปนั่งที่โต๊ะพร้อมด้วยเสียงครางในคอ แล้วก็ลงมือฟาดอาหารโดยไม่รีรอ ภรรยาของอูโพจีงชื่อมะขิ่น ยืนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างหลัง มะขิ่นเป็นหญิงร่างผอมอายุสี่สิบห้าปี ใบหน้าสีน้ำตาลอ่อนเหมือนลิง ดูใจดี  อูโพจีงไม่ได้สนใจนางเลยระหว่างที่กินอาหาร เขาเอาชามข้าวจ่อติดจมูกขณะยัดอาหารเข้าไปในตัวด้วยนิ้วมันย่องว่องไวและลมหายใจถี่กระชั้น อาหารทุกมื้อของอูโพจีงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เมามัน และมีปริมาณมหาศาล มิใช่เป็นเพียงการกินอาหาร แต่เป็นการระเริงรสข้าวและแกง พอกินเสร็จอูโพจีงจะเอนหลัง เรอออกมาหลายครั้ง แล้วบอกให้มะขิ่นไปเอาบุหรี่ขี้โยมวนเขียวมาให้ เขาไม่เคยสูบยาของอังกฤษซึ่งเขาติว่ารสจืดชืด
  • ครู่ต่อมาอูโพจีงแต่งตัวชุดไปทำงานโดยมีบะไท่ก์ช่วย เสร็จแล้วก็ยืนชมเงาสะท้อนของตนเองจากกระจกยาวในห้องนั่งเล่นอยู่ครู่หนึ่งห้องนี้กั้นฝาไม้ อกไก่รองรับด้วยเสาดั้งสองต้นซึ่งยังคงรูปทรงให้เห็นได้ว่าเป็นลำต้นของต้นสัก ห้องนี้มืดและมอมเขรอะเช่นเดียวกับห้องในบ้านชาวพม่าทั่วไป แม้ว่าอูโพจีงจะตกแต่งห้องนี้ “แบบอิงกะเล่ย์” [แบบอังกฤษ] โดยให้มีตู้ข้างฝาและเก้าอี้ที่แต่งผิวด้วยไม้อัดชักเงารูปพิมพ์หินพระราชวงศ์อังกฤษและเครื่องดับเพลิง พื้นห้องปูด้วยเสื่อไม้ไผ่เลอะคราบน้ำหมากน้ำปูน

    มะขิ่นนั่งเย็บอิงจี [เสื้อแบบพม่า] อยู่บนเสื่อตรงมุมห้อง อูโพจีงหมุนตัวช้าๆหน้ากระจกเพื่อพยายามจะมองดูด้านหลังของตนเอง เขาพันกองบอง [ผ้าโพกศีรษะ] ทำด้วยผ้าไหมสีชมพูอ่อน สวมอิงจีผ้ามัสลินลงแป้งและนุ่งปะโซ่ [โสร่งผู้ชาย] ผ้าไหมมัณฑะเลย์สีชมพูเหลือบแสดยกดอกสีเหลืองงดงาม อูโพจีงหันหน้าไปมองด้านหลังของตนเองในกระจกด้วยความลำบาก แล้วก็รู้สึกปลื้มปะโซ่ที่คับรัดและเรืองอร่ามอยู่บนบั้นท้ายขนาดมหึมา อูโพจีงภูมิใจในความอ้วนของตนเพราะถือว่าเนื้อหนังที่พอกพูนนั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงบุญบารมี ก็ตัวเขานี้เมื่อครั้งก่อนยังต่ำต้อย ไม่มีหน้ามีตาและอดอยากอยู่แท้ๆ มาบัดนี้กลับอ้วนพี มั่งคั่งและเป็นที่ยำเกรง ร่างกายพองเป่งด้วยร่างของเหล่าศัตรู ซึ่งความคิดนี้เองที่ชื่นชูใจอูโพจีงราวได้สดับบทกวีนิพนธ์อันไพเราะ

    ปะโซ่ของฉันแค่ยี่สิบสองรูปีเท่านั้นเอง ราคาถูกดีไหม หือ ขิ่น ขิ่น?” อูโพจีงอวด

    มะขิ่นก้มหน้าก้มตาเย็บผ้าง่วน นางเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาที่หัวโบราณ รู้นิสัยคนยุโรปน้อยยิ่งกว่าอูโพจีงเสียด้วยซ้ำ นางรู้สึกอึดอัดไม่ถนัดทุกครั้งที่นั่งเก้าอี้ ทุกเช้า นางจะเอาตะกร้าทูนหัวไปจ่ายตลาดเหมือนหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ในตอนเย็นก็จะเห็นนางคุกเข่าอยู่ในสวน นั่งไหว้ยอดแหลมสีขาวของเจดีย์ที่เสียดฟ้าอยู่ในเมือง มะขิ่นได้รับรู้เรื่องเล่ห์เพทุบายต่างๆของอูโพจีงมานานถึงยี่สิบปีหรือกว่านั้น

    “โกโพจีง [พี่โพจีง]” นางเอ่ยขึ้น “ชีวิตนี้พี่ทำบาปทำกรรมมามากแล้วนะ”

    อูโพจีงโบกมือ “ไม่เห็นจะเป็นไร ฉันจะสร้างเจดีย์ไถ่บาป ยังมีเวลาอีกถมไป”

    มะขิ่นหันกลับไปก้มหน้าก้มตาเย็บผ้าต่อดื้อๆ อย่างที่มักทำเวลาที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของอูโพจีง

    “แต่…โกโพจีง พี่จะวางแผนใช้เล่ห์เพทุบายนี่ไปทำไมกัน? ฉันได้ยินพี่พูดกับบะเซย์ที่ระเบียง พี่วางแผนร้ายจะเล่นงานคุณหมอวีรสวามี พี่จะทำร้ายหมอแขกคนนี้ทำไม? เขาเป็นคนดีนะพี่”

    “เรื่องงานราชการพวกนี้เธอจะไปรู้เรื่องอะไร? ก็มันขวางทางฉัน ประการแรกมันไม่ยอมรับสินบน ทำให้พวกเราที่เหลือต้องลำบากกันหมด นอกจากนี้--เอาเหอะ มันก็มีเรื่องอื่นด้วยก็แล้วกันที่คนอย่างเธอไม่มีปัญญาเข้าใจหรอก”

    “โกโพจีง พี่ก็ร่ำรวยมีอำนาจขึ้นมาแล้ว แต่ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรกับพี่เลย? ตอนที่ยากจนเรายังมีความสุขมากกว่านี้เสียอีก เออนะ ฉันยังจำได้ตอนที่พี่เป็นแค่กำนัน ครั้งแรกที่มีบ้านเป็นของเราเอง เราเห่อเครื่องเรือนหวายของเราแค่ไหน แล้วยังปากกาของพี่อันที่มีแหนบเป็นทองคำ! แล้วตอนที่ตำรวจหนุ่มชาวอังกฤษมาเยี่ยมบ้านเรา มานั่งดื่มเบียร์ที่เก้าอี้ตัวดีที่สุด ตอนนั้นเรายังปลื้มใจกันเหลือเกิน! ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่เงินหรอกนะพี่ ตอนนี้พี่จะหาเงินมากกว่านี้ไปทำอะไรกัน?”
  • “พูดอะไรเพ้อเจ้อไม่เข้าเรื่อง! เธอตั้งใจทำกับข้าวกับปลาและเย็บผ้าไปให้ดีๆเถอะ ปล่อยงานราชการให้คนที่เข้าใจเขาทำไป”

    “ฉันก็ไม่รู้นะ ฉันเป็นเมียพี่ ก็เชื่อฟังพี่เสมอมา แต่อย่างน้อยการสร้างกุศลน่ะ ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปหรอก พยายามทำบุญทำกุศลให้มากๆเถอะพี่! พี่ไม่ซื้อปลาไปปล่อยบ้างเหรอ? ได้อานิสงส์แรงดีนะ เออแน่ะ เมื่อเช้านี้พระที่มารับบิณฑบาตท่านบอกว่า ที่วัดมีพระมาใหม่สองรูปยังขาดปัจจัย จะไม่ถวายปัจจัยท่านหน่อยหรือพี่? ฉันน่ะยังไม่ได้ถวายอะไรท่านหรอก เพื่อว่าตัวพี่จะได้มีโอกาสสร้างกุศล”

    อูโพจีงเบือนสายตาจากกระจก คำขอของเมียกระทบจิตใจเล็กน้อย เขาไม่เคยพลาดโอกาสสร้างกุศลหากสามารถทำได้โดยไม่ลำบาก ในสายตาของเขากองบุญกองกุศลเป็นดังบัญชีเงินฝากในธนาคารที่จะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆตลอดกาล ปลาทุกตัวที่ปล่อยไป ปัจจัยทุกชิ้นที่ถวายพระ ล้วนเท่ากับได้เข้าใกล้นิพพานไปอีกหนึ่งก้าว ช่างเป็นความคิดที่น่าอุ่นใจ เขาสั่งให้ส่งมะม่วงทั้งตะกร้าที่ผู้ใหญ่บ้านนำมากำนัลไปถวายพระ 

    ในไม่ช้าอูโพจีงก็ออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปตามถนนโดยมีบะไท่ก์ถือแฟ้มเอกสารเดินตามต้อยๆ อูโพจีงเดินช้าๆ ตัวตรงเผงเพื่อคานน้ำหนักพุงที่ล้นหลาม เขากางร่มไหมสีเหลืองไว้เหนือศีรษะ ปะโซ่สีชมพูที่สวมนั้นสะท้อนประกายในแสงแดดเป็นมันเลื่อมระยิบราวขนมพราลีน** เขากำลังไปศาลเพื่อพิจารณาคดีประจำวัน

    ---
    * Blancmange (ภาษาฝรั่งเศสออกเสียงว่า บลองมองฌ์) เป็นขนมพุดดิ้งสีขาวลักษณะคล้ายวุ้น ทำจากแป้งและนม

    ** พราลีน (Praline) ขนมทำจากอัลมอนด์และน้ำตาล มักใช้ทำเป็นไส้ช็อกโกแลต
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
tangbcd95 (@tangbcd95)
ซื้อได้ที่ใหนครับ
Kantharat Meeprom (@fb1629229837129)
ชอบ คะ สนุกมากคะ
อยากซื้อคะ